[X-Men Fic][ErikCharles] White Love Rhapsody (2)

 

 

White Love Rhapsody

 

 

 

X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii *

 

 

 

 

Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier

Type: AU Fanfiction

Remark : Highschool love story, no mutations involved

* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบังเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

 

 

 

 

 

 

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 2

ถึงช่วงแรกๆ จะไม่มีใครกล้าพูดคุยด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปและอีริค เลนเชอร์ก็ไม่มีท่าทีจะหมายหัวเจ้าตัวแต่อย่างใด…ชาร์ลส์ เซเวียร์ก็กลายเป็นขวัญใจของระดับชั้นเกรดสิบเอ็ดอย่างง่ายดายด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลและอัธยาศัยที่ดี เด็กหนุ่มถูกสาวๆ ยกให้เป็นเจ้าชายโดยที่ไม่มีใครคิดค้าน และเหล่าอาจารย์ก็ชื่นชมในมารยาทและความชาญฉลาดของเขา

 

 

 

 

อีริคไม่ได้สนใจนักว่ามีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าตอนนี้ตัวเขาและชาร์ลส์กำลังเป็นหัวข้อสนทนาที่ฮอตที่สุด ทุกคนต่างซุบซิบและรอดูว่าเมื่อไหร่เขาจะลงไม้ลงมือกับชาร์ลส์สักที ซึ่งพูดตามตรงแล้ว…อีริคไม่ได้มีความคิดจะทำอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ การโยนบุหรี่ของเขาทิ้งไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เขาโมโหถึงขีดสุดอะไรมากมาย เพราะอย่างน้อยที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นก็ไม่ใช่เพื่อจะหาเรื่องเขา…และไม่รู้ว่าทำไม นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นกับใบหน้าที่ยิ้มละไมของอีกฝ่ายทำให้อารมณ์โมโหเขามันสงบลงอย่างง่ายดาย

 

 

 

 

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนร่วมโต๊ะของเขาพยายามจะชวนเขาคุยเรื่องสัพเพเหระบ่อยเสียจนน่ารำคาญ อีริคไม่เคยต้องการเพื่อน…โดยเฉพาะเพื่อนที่คอยเซ้าซี้ หากเขาก็รู้สึกได้ว่าชาร์ลส์ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เคยพบ…คนที่เข้ามาหาเขานั้นมักจะหวังผลประโยชน์จากฐานะของเขาที่มาจากตระกูลโด่งดังหรือไม่ก็อยากจะมาลองดี แต่ความพยายามของชาร์ลส์ที่จะพูดคุยกับเขาไม่ใช่เพราะทั้งสองเหตุผล…อีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการจะได้ทำความรู้จักกับเขาเท่านั้นเอง

 

 

 

 

…ซึ่งพูดตามตรง มันเป็นความจริงใจที่อีริคไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว

 

 

 

 

 

 

* * * * *

 

 

“อรุณสวัสดิ์เลนเชอร์”

 

 

 

 

เสียงนุ่มทักทายเหมือนทุกวัน มือเรียววางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกัน…อีริคแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการแสดงความสนิทสนมกับอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธที่จะเรียกชื่อต้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ชาร์ลส์เรียกเขาด้วยนามสกุลเช่นกัน

 

 

 

 

อีริคปรายตามองร่างสมส่วนที่วันนี้ก็ยังคงแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนเดิมด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้พูดตอบอะไร นิ้วเรียวยังคงแตะหน้าจอไอโฟนของตนซ้ำไปซ้ำมา ชาร์ลส์ยิ้มอ่อนๆ อย่างไม่คิดถือสาก่อนจะเดินไปทางกลุ่มนักเรียนหญิงที่กวักมือเรียกเขา

 

 

 

 

นัยน์ตาสีเทามองตามชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาสนใจโทรศัพท์มือถือของตนอีกครั้ง นิ้วเรียวแตะโทรออกหมายเลขเดิมซ้ำอีกครั้ง…และเสียงตอบก็ยังคงเป็นภาษาเยอรมันประโยคเดิม

 

 

 

 

“ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขปลายสาย คุณสามารถทิ้งข้อความไว้ได้หลังเสียงสัญญาณ…”

 

 

 

 

อีริคกดตัดสายก่อนจะระบายลมหายใจหนักๆ…เขาเข้าใจดีตั้งแต่ตอนที่แม่จากไปแล้วว่าการโหมทำงานเป็นเครื่องช่วยระบายความเจ็บปวดของพ่อ และถึงตอนนี้ธุรกิจของตระกูลเลนเชอร์จะใหญ่โตเสียจนไม่ต้องขวนขวายเหมือนแต่ก่อนแล้ว…พ่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนนิสัยเห็นงานเป็นทุกสิ่ง

 

 

 

 

คนส่วนใหญ่มองว่าพฤติกรรมเสียๆ ของเขามีเหตุมาจากการกระทำของพ่อ แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ใช่…อีริคไม่ได้รู้สึกโมโหจนทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเพื่อประชดพ่อ เขาเข้าใจด้วยซ้ำว่างานเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยทำให้พ่อลืมความทรงจำเลวร้าย สาเหตุจริงๆ คือความรู้สึกว่างเปล่าในใจของเขาเองต่างหาก…ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกเกลียดตัวเองที่แก้ไขหรือทำอะไรไม่ได้เลย

 

 

 

 

อีริคถอนหายใจหนักๆ…เขาเกลียดที่จะคิดถึงอดีต เพราะในเมื่อไม่อาจแก้ไขอะไรได้…สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือหาทางอยู่กับสิ่งที่เหลืออยู่ต่อไป

 

 

 

 

เขาพยายามโทรหาเบอร์เดิมอีกรอบแล้วก็ตัดใจ นิ้วเรียวเปลี่ยนมากดเบอร์เลขาของพ่อแทน…ซึ่งไม่ต้องรอเกินชั่วอึดใจเลยที่อีกฝ่ายรับสาย

 

 

 

 

“สวัสดีค่ะ”

 

 

 

 

“หวัดดี…ผมอีริคนะ” เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันเป็นตลกร้ายจริงๆ ที่พ่อของเขาไม่ว่างรับโทรศัพท์จนเขาต้องโทรหาคนนอกเพื่อฝากเรื่องในครอบครัวเอาไว้ “วันนี้โรงเรียนให้รายละเอียดค่าเทอมมาแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งเมล์ไปพร้อมกับค่าใช้จ่ายของบ้านที่นี่นะ ฝากบอกให้พ่อเซ็นสั่งจ่ายแล้วก็ส่งกลับมาให้หน่อย”

 

 

 

 

เด็กหนุ่มย้ำคำสั่งกับเลขาของพ่ออีกสองสามครั้งแล้วจึงวางสาย อันที่จริงเขาจะอยู่กับพ่อที่บ้านในเยอรมนีก็ได้…แต่อีริคเป็นคนขอมาเรียนที่เวสต์เชสเตอร์เองเพราะรู้สึกทนไม่ได้กับบรรยากาศหม่นมัวของบ้านใหญ่

 

 

 

 

“นายพูดเยอรมันได้ด้วยเหรอ?”

 

 

 

 

เสียงนุ่มนวลที่ลอยมาทำให้เขาหันไปมอง…ชาร์ลส์ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ โต๊ะ ดวงตาสีน้ำเงินมีแววประทับใจอย่างไม่ปิดบัง อีริคไม่ตอบคำ…แต่เด็กหนุ่มอีกคนก็ไม่ยอมหยุด

 

 

 

 

“ยอดไปเลย…นายพูดคล่องสุดๆ เลยนะ” เสียงนุ่มกล่าวอย่างชื่นชม “นายเป็นเยอรมันแท้เลยเหรอ? แล้วทำไมมาเรียนที่นี่ล่ะ? หรือว่า…”

 

 

 

 

รอยยิ้มจริงใจนั้นทำให้อารมณ์เสียๆ ที่ทับถมของคนมองขาดผึงอย่างไม่มีสาเหตุ…นัยน์ตาสีเทาตวัดมองอย่างดุดัน เสียงทุ้มพูดขัดอย่างแข็งกร้าว

 

 

 

 

“นายจะมาถามนั่นถามนี่ฉันทำไม? น่ารำคาญเป็นบ้า”

 

 

 

 

เหล่านักเรียนในห้องเริ่มสะกิดให้กันและกันมองมาทางพวกเขา…และนั่นก็ทำให้อีริครู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม

 

 

 

 

“ฉันก็แค่อยากเป็นเพื่อนกับนาย” ชาร์ลส์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ฉันคิดว่าเรามีอะไรคล้ายกัน…ฉันเข้าใจนายนะ…”

 

 

 

 

“พวกเราเนี่ยนะคล้ายกัน?” คนฟังกล่าวเสียงหยัน “นายเพ้อรึเปล่าเซเวียร์? เด็กตัวอย่างของโรงเรียนอย่างนายกับฉันเนี่ยนะ? ให้ตายสิ…”

 

 

 

 

ร่างสูงลุกขึ้นยืน เสียงทุ้มดังชัดในความเงียบของห้องเรียน

 

 

 

 

“จำไว้ซะ…นายกับฉันไม่มีอะไรคล้ายกันสักนิด” นัยน์ตาสีเทามองอย่างเย็นชา “แล้วก็เลิกทำเป็นว่าเข้าใจฉันหนักหนาสักที ฉันไม่ต้องการให้นายมายุ่งกับฉัน”

 

 

 

 

เมื่อกล่าวจบ ร่างสูงก็ก้าวยาวๆ ออกไป…ทิ้งเสียงปิดประตูดังปังและทุกอย่างในห้องเรียนไว้เบื้องหลัง

 

 

 

 

 

 

* * * * *

 

 

รถประจำทางไม่มีคนเพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาสัญจร อีริคจึงจับจองเบาะนั่งด้านหลังไว้คนเดียว นัยน์ตาสีเทาหลับลงเพื่อข่มความงุ่นง่านใจ มือขยับจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาแต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้ข้าวของทุกอย่างของตนนอกจากกระเป๋าสตางค์กับมือถือโดนทิ้งไว้ในห้องเรียน

 

 

 

 

เมื่อทำอะไรไม่ได้ นัยน์ตาสีเทาก็มองเรื่อยเปื่อยออกไปนอกหน้าต่างรถ…ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นที่รู้กันไปทั่วแล้วและเขาก็โดดเรียนจนได้ เด็กหนุ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ…มันเหมือนกับว่าทุกครั้งเมื่อเขาพยายามจะรักษาอะไรบางอย่างไว้ ก็จะต้องมีอะไรอีกอย่างที่เขาไม่สามารถคว้าไว้ได้แล้วหลุดมือไปเสมอ

 

 

 

 

อีริคนึกถึงเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมโต๊ะ…หลังจากนี้คงไม่มีรอยยิ้มหรือความพยายามน่ารำคาญจากชาร์ลส์ เซเวียร์อีกแล้ว เด็กหนุ่มพยายามโน้มน้าวกับตัวเองว่าเผลอๆ อีกฝ่ายอาจจะเริ่มต้นเกลียดเขาแล้วทำตัวเย็นชาก็ได้…และนั่นก็จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ แต่ภาพที่ได้เห็นนั้นก็ทำให้ตัวเขาเชื่อความคิดที่ว่าไม่ลง…ชาร์ลส์มองเขาด้วยสายตาที่ไม่แฝงความโกรธเกลียดใดๆ ตลอดเวลาที่เขาระเบิดอารมณ์ ดวงตาคู่นั้นมีเพียงความเสียใจ…สีน้ำเงินของมันระริกราวกับจะเอ่ยคำขอโทษ

 

 

 

 

ถึงจะไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมากมาย แต่อีริคก็รู้ว่าความจริงใจที่ชาร์ลส์มีให้เขานั้นไม่ใช่การเสแสร้ง เพียงแต่ตอนนี้…เขาคงเสียมันไปแล้วกับการระเบิดอารมณ์โกรธของตนใส่อีกฝ่ายที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

 

 

 

 

…และนั่นก็ทำให้อีริคพบว่าตัวเองกำลังรู้สึกผิดและเสียใจกับสิ่งที่ตนได้ทำลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ

 

 

 

 

 

 

* * * * *

 

 

 

เด็กหนุ่มใช้เวลาทั้งวันอย่างเรื่อยเปื่อยและตัดสินใจเดินกลับบ้านแทนขึ้นรถประจำทางเพื่อฆ่าเวลา ร่างสูงเดินช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน…ใจคิดถึงกระเป๋าของตนที่ตอนนี้คงโดนทิ้งไว้ในห้องเรียน มันอาจโดนใครเอาไปหรือโดนโยนลงขยะไปเสียแล้วก็ได้ หากความคิดนี้ก็ไม่ได้ทำให้อีริครู้สึกเดือดร้อนใจอะไร…เขาไม่ได้มีความรู้สึกยึดติดกับสิ่งใดมานานมากแล้ว

 

 

 

 

แสงอาทิตย์ยามเย็นฉาบให้ถนนเป็นสีส้มแก่ๆ…เด็กหนุ่มเห็นป้ายรถที่เขามาขึ้นรถโรงเรียนทุกเช้าใกล้เข้ามาทุกที และตอนนี้มันก็มีร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่คงไม่มีใครจะบ้ามารอรถโรงเรียนตอนนี้ อีริคจำทรงผมเรียบร้อยและเครื่องแบบตรงระเบียบเป๊ะนั้นได้ดีจากระยะไกล คิ้วสีเข้มจึงขมวดกันด้วยความสงสัยทันที

 

ชาร์ลส์ เซเวียร์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ในเวลาแบบนี้กัน?

 

อีกฝ่ายก็คงมองเห็นเขาเหมือนกัน…ร่างสมส่วนจึงวิ่งเหยาะๆ เข้ามา อีริคไม่แปลกใจที่ริมฝีปากสีเรื่อนั้นไม่ยิ้มให้เหมือนเคย…แต่นึกแปลกใจที่ตัวเองรู้สึกเจ็บแปลบในใจเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มให้ตน

 

 

 

 

“…นายลืมเอาไว้”

 

 

 

 

ความคิดของเขาถูกขัดเมื่อกระเป๋าของตนถูกคนตรงหน้ายื่นมาให้ อีริคเดาเรื่องได้ ทันที…ชาร์ลส์มายืนที่ป้ายรถไร้ผู้คนนี้จนเย็นย่ำก็เพื่อจะเอากระเป๋ามาให้เขานั่นเอง

 

 

 

 

นัยน์ตาสีเทามองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด…วงหน้าขาวนั้นไม่มีรอยยิ้มแถมก้มต่ำไม่ยอมสบสายตาเขาเสียด้วย ท่าทางบอกชัดว่าเจ้าตัวคงอยากจะปลีกตัวไปเต็มทีแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มเหยียดๆ กับตัวเอง…สุดท้าย ทุกอย่างก็เป็นไปตามอย่างที่ควรจะเป็น

 

 

 

 

มือใหญ่เอื้อมไปหยิบกระเป๋าของตน…ไม่ได้กล่าวคำขอบคุณใดๆ แล้วเดินผ่านอีกฝ่ายไป หากคำพูดที่เสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวเบาๆ ก็หยุดเขาไว้

 

 

 

 

“วันนี้…ฉันขอโทษนะ”

 

 

 

 

ร่างสูงยืนนิ่ง…ความรู้สึกที่ไม่อาจบอกได้ว่าคืออะไรหมุนคว้างในใจ แต่เขาก็บังคับให้มันจมหายไปในความคิด ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

 

6 responses to “[X-Men Fic][ErikCharles] White Love Rhapsody (2)

  1. กริ๊ดดดดดดดดด ป๋า!!!!!!
    นี่ป๋าจะใจร้ายกันเกินไปแล้วนะ!! ฟังเหตุผลของมี๊ก่อนเซ่!!!!
    ป๋ากลับมาเดวนี้นะ!!!

    Like

  2. อีริคใจร้ายยยยยยยยยยยย ชาร์ลก็แลดูมีความพยายามและเป็นคนดี 55555+
    #คือหนูจะมโนว่าชาร์ลกำลังจีบอีริคล่ะนะคะ //โดนวีลแชร์ฟาด ฟฟฟฟฟฟฟฟ เหมือนจีบออก!! ตื้อขนาดนี้ //โดนชิ้นส่วนซีรีโบรกระแทกหัว
    แง้ รอตามอ่านต่อในเล่มจริงค่ะ U w U

    Like

  3. ชาร์ลสยังคงดีงามมารอเขาอีกด้วย น่ารักกกก
    อีริคนี่ก็ใจร้ายจัง โธ่ อย่าคิดในแง่ร้ายขนาดนั้น
    แต่ก็เจ็บที่ไม่เห็นเขายิ้ม งี้ดดดดดด
    ตอนต่อไปชาร์ลสก็คงกลับมายิ้มให้อีกสินะคะ ‘ v ‘

    Like

  4. กรี๊ดดด ทำไมอิริคใจร้ายได้ขนาดนี้ล่ะ แงงงงง อ่านแล้วมะนรู้สึกหน่วงๆในท้องแฮะ-*- ในเมื่อทำให้รอยยิ้มเค้าหายไป ก็กรุณาช่วยให้มีรอยยิ้มกลับมาเหมือนเดิมนะคะ!!!!! //ติ่งแทบจาดขาดใจจจจ ซึนอีกแล้ว มาแบบพระเอกซึนอีกแล้ว 555555 แต่น่ารักมาเลยหนูชาร์ล#ได้ข่าวว่าแก่กว่า ฮาาาา แต่จงพยามยามต่อไปนะคะ อิริคเค้าแค่เป็นพวกซึนเท่าน– #โดนอิริคเสยคาง
    ปล. อยากได้เป็นรวมเล่มมากเลยค่ะ ฮือออออ

    Like

  5. อหหหห เอริคเย็นชาอะไรเบอร์นี่สงวารชาร์ลสเบาๆ/กอดปลอบ ;-;

    Like

Leave a reply to tomki Cancel reply