[X-Men Fic][ErikCharles] Beyond The Point of No Return

 
 
Beyond The Point of No Return
X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii *
 
 
 
 
 

 
Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier

 
 
 
 
 
 
* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ * 
 
 
 
 
REMARK: เหมือนจะเป็นตอนต่อของเรื่องนี้ >> [ErikCharles] The Space Between Parallel Lines
 
 
 
 
 

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

 
 
 
 
 
 

 

And the arms of the ocean are carrying me

And all this devotion was rushing out of me

In the crushes of heaven for a sinner like me

But the arms of the ocean delivered me

 

Though the pressure’s hard to take

It’s the only way I can escape

It seems a heavy choice to make

And now I am under all

 

And it’s breaking over me

A thousand miles down to the sea bed

Found the place to rest my head

Never let me go

Never let me go…

 

— Never let me go, Florence + The Machine

 

 

 

 

 

 

*****

              

 

 

“ถึงแล้วครับโปรเฟสเซอร์”

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์ เซเวียร์ยิ้มให้แฮงค์ แมคคอย…หนึ่งปีที่แล้ว เจ้าของเสียงนี้เคยเป็นเด็กหนุ่ม หากตอนนี้…ภาพที่เห็นมีเพียงใบหน้าที่เป็นผลของการผสมผสานของลักษณะถ่ายทอดทางพันธุกรรมเท่านั้น

              

 

 

 

 

“ขอบใจนะแฮงค์” เขากล่าวเสียงนุ่ม…จับที่เท้าแขนของเก้าอี้เลื่อนไว้มั่นเมื่อแบล็คเบิร์ดร่อนลงต่ำ มองเห็นทิวทัศน์นอกหน้าต่างแล้ว…ชายหาดขาวกับน้ำทะเลสีครามระยิบระยับในแสงแดดยามบ่าย

           

 

 

 

 

…เหมือนวันนั้นไม่มีผิด 

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์หลับตาลงเพื่อไม่ให้ใครสังเกต…ข่มทุกความรู้สึกให้หายกลับไปในใจ ล้อของแบล็คเบิร์ดแตะลงบนพื้นด้วยเสียงกระหึ่ม ประตูท้ายเครื่องบินค่อยๆ ลดลงจนสุด…เผยให้เห็นพื้นทราย ในความเงียบที่ตามมามีเพียงเสียงลมจากชายหาดหวีดหวิวข้างหู

              

 

 

 

 

อเล็กซ์ ซัมเมอร์ช่วยเข็นเก้าอี้ของเขาให้ลงไปถึงพื้นอย่างเรียบร้อย…ชาร์ลส์กล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะพูดต่อเสียงนุ่มนวล

              

 

 

 

 

“ฉันขอเวลาสักพัก…ไม่นานหรอก”

              

 

 

 

 

“ไม่เป็นไรครับโปรเฟสเซอร์” เด็กหนุ่มผมทองพูดเสียงเคร่งขรึม…แววเข้าใจฉายในดวงตา “…นานเท่าที่คุณต้องการเลย พวกเรารอได้ครับ”

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์ยิ้ม…หากนั่นก็เป็นรอยยิ้มที่อ่อนล้าเต็มที เขารอจนกระทั่งเครื่องบินลำเพรียวสีดำลอยขึ้นและลับหายไปในท้องฟ้าแล้วจึงหันมามองภาพรอบตัว…ก่อนจะเริ่มต้นเคลื่อนเก้าอี้เลื่อนของตนลงไปสู่ชายหาดที่เขาสูญเสียทุกอย่างด้วยความเจ็บลึกที่ซ่านในใจ

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำสูดลมหายใจลึกๆ…เขาเตรียมใจกับวินาทีนี้มาตลอดหนึ่งปีเต็ม แต่เวลาเหล่านั้นดูจะไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง ทุกเสียงของคลื่นที่กระทบฝั่ง…ทุกเสียงของสายลมที่พัดผ่าน…ดูจะไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ทำให้รู้สึกหนักหน่วงจนหายใจไม่ออก

              

 

 

 

 

หนึ่งปีที่แล้ว เขาร้องไห้ยามที่ตัวเองปฏิเสธคำขอของคนที่รักที่สุด…หากตอนนี้กลับไม่มีน้ำตาสักหยดไหลริน ทุกความเจ็บปวดดูจะแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าไปเสียแล้ว…รอยกรีดลึกที่ไม่มีวันเติมเต็มได้

           

 

 

 

 

…เพราะอีริคจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้ว 

              

 

 

 

 

หนึ่งปีแล้วที่เขากับอีริคสูญเสียกันและกัน…เขานึกถึงวินาทีสั้นๆ นั้นซ้ำไปซ้ำมาเสมอในหัว เฝ้าถามตัวเองว่าทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวตั้งแต่ตอนไหน

                

 

 

 

 

เป็นตอนนั้นหรือเปล่า…เสียงตนที่ร้องห้าม…เหรียญที่ตัดเฉือน…และวินาทีที่เขาเอื้อมไม่ถึงความคิดของอีริคแม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม…?

              

 

 

 

 

มือสั่นระริก…บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าต่อให้เอื้อมออกไปอีกสักกี่ครั้ง ก็จะไม่มีคนคนนั้นให้รั้งไว้อีกแล้ว ชาร์ลส์หลับตา…ทุกอย่างในตอนนั้นเหมือนเป็นภาพเบลอในตอนนี้ แต่สิ่งที่เขาจำได้แม่นยำนั้นคือบทสนทนาสั้นๆ ของพวกเขา…ความเจ็บปวดของกระสุนที่แผ่ซ่านในร่างกาย…นัยน์ตาสีเทานั้นเว้าวอน…คำขอร้องที่กรีดลึกทุกครั้งที่นึกถึง

              

 

 

 

 

“ฉันต้องการให้นายอยู่เคียงข้างฉัน…”

              

 

 

 

 

แต่สิ่งที่ฉีกกระชากหัวใจให้เจ็บปวดที่สุดคือคำปฏิเสธจากปากเขาเอง

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์รู้ตั้งแต่วินาทีที่อีริคเลือกฆ่าชอว์แล้วว่าพวกเขาไม่มีวันจะกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีก…มั่นใจพอกันว่าอีริคเองก็รู้ นั่นจึงทำให้น้ำตาไหลออกมาตอนได้ฟังคำขอจากอีกฝ่าย…คำขอที่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์…ไม่ใช่เพื่อชัยชนะใดๆ

              

 

 

 

 

…คำขอที่คนพูดไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้มีคนที่รักที่สุดอยู่เคียงข้างเท่านั้น

              

 

 

 

 

อีริค เลนเชอร์ไม่เคยคุกเข่าให้ใครมาก่อน…และชาร์ลส์ก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลจะยอมทำ เพราะฉะนั้น…ในตอนที่เขานอนนิ่งในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ชาร์ลส์รู้ดีว่าตนกำลังกุมทุกความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำขอร้องจากอีริคมากที่สุด

              

 

 

 

 

…และเขาก็ทำลายมันลงด้วยคำพูดเรียบง่ายประโยคเดียว

              

 

 

 

 

“ฉันขอโทษ…อีริค” ชาร์ลส์พยายามจะไม่ร้องไห้…แต่ทำไม่ได้ รู้ดีว่ากำลังทำลายความรักของตนลงไปด้วยทุกๆ คำจากปากตัวเอง “…แต่เราไม่ได้ต้องการสิ่งเดียวกัน”

              

 

 

 

 

แสงที่หม่นหายไปจากนัยน์ตาจนเหลือเพียงสีเทาเยียบเย็นนั้นเป็นภาพที่ชาร์ลส์จะไม่มีวันลืมไปจนชั่วชีวิต…ภาพที่ยังคงทำให้เขาหายใจไม่ออกได้ทุกครั้งที่คิดถึง นึกอยากร้องบอก…เหนี่ยวรั้ง…ทำอะไรก็ได้ให้อีริครู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ใจจริงเขาต้องการสักนิด

              

 

 

 

 

แต่สิ่งเดียวที่เขาทำคือนิ่งเงียบ…และปล่อยให้คนที่รักที่สุดจากไป

              

 

 

 

 

หัวใจทั้งสองแตกสลาย…และต่างก็รู้ดีว่ามันจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก

           

 

 

 

 

เพราะหัวใจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร…ในเมื่อชิ้นส่วนของมันหายไปเสียแล้วครึ่งหนึ่ง..? 

 

 

 

 

 

 


*****

 

           

 

เสียงคลื่นที่ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ บอกให้ชาร์ลส์รู้ว่าเขาใกล้ถึงชายหาดแล้ว

              

 

 

 

 

หัวใจเต้นแรง…บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนจะมาที่นี่ทำไม…มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีอะไรเป็นที่รักให้คิดถึง และไม่มีความทรงจำสวยงามอะไรเกิดขึ้น

           

 

 

 

 

ไม่สิ…เขารู้ดีว่าเขามาที่นี่ทำไม…ความหวังน้อยนิดที่แสนจะไร้สาระ… 

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์หลับตา…และเมื่อนัยน์ตาสีแซฟไฟร์ลืมขึ้นอีกครั้ง หัวใจที่เต้นแรงก็แทบหยุดนิ่งกับภาพที่เห็น

              

 

 

 

 

อีริคยืนอยู่ตรงหน้า

              

 

 

 

 

สายตาของพวกเขาประสานกัน…ความประหลาดใจฉายวูบในสีเทานั้น ก่อนที่ชาร์ลส์จะร้องออกมาเบาๆ เมื่อความเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาในหัว…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของหญิงสาวผมบลอนด์อ่อนในชุดขาวข้างกายร่างสูง

              

 

 

 

 

“เอ็มม่า…”

              

 

 

 

 

เสียงทุ้มกดลงต่ำราวกับจะเตือน…หญิงสาวยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ย้อนกลับเสียงเรียบเฉย “แค่วางสนามพลังเท่านั้น…ลืมไปแล้วเหรอคะว่าเทเลพาธทำอะไรได้บ้าง?”

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมน้ำตาลถอนหายใจอย่างระอา แต่ก็ไม่ว่าอะไรมากไปกว่านั้น…มือในถุงมือสีดำสนิทถอดหมวกเหล็กออก ชาร์ลส์ใจเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า…ความคิดถึงเอ่อขึ้นมา อีริคตอนนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบ มีเพียงผมที่ยาวขึ้นนิดหน่อยกับวงหน้าที่ดูคร้ามขึ้น…และผ้าคลุมกับเสื้อสีแดงสด

              

 

 

 

 

…สีที่ย้ำเตือนว่าพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันอีกแล้ว

             

 

 

 

 

สนามพลังได้ผลดีเยี่ยม…ชาร์ลส์ไม่ได้ยินความคิดของใครทั้งสิ้น เขาจึงได้แต่นั่งนิ่ง…นึกสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน แต่สิ่งเดียวที่อีริคทำมีเพียงแค่เอ่ยสั่งหญิงสาวเสียงเรียบแต่เฉียบขาด

              

 

 

 

 

“ไปซะ…แล้วฉันจะเรียกเอง”

              

 

 

 

 

เอ็มม่าพยักหน้ารับโดยไร้คำพูดใด ก่อนจะเอื้อมมือไปจับกับเทเลพอร์ตเตอร์ผิวแดง…และหลังเสียงคล้ายดอกไม้ไฟประทุ ก็เหลือเพียงเขากับอีริคในความเงียบของสายลม

              

 

 

 

 

ไม่มีใครกล่าวอะไร สองสายตามองประสาน…ราวกับจะซึมซาบภาพของคนที่ไม่ได้เห็นมาตลอดหนึ่งปีไว้ในใจ ทุกคำพูดหายไปในวินาทีนี้…เพราะไม่มีทางจะบรรยายทุกความคิดถึงทั้งหมดที่มีออกมาได้ ความกังวล…ความหวาดกลัว…ทุกอย่างดูจะหายไปเพียงแค่ได้สบตากันและกัน

           

 

 

 

 

คนคนนี้เท่านั้น…ที่ทำให้ใจสงบได้แบบนี้ 

              

 

 

 

 

ทุกความโหยหาที่ก่อตัวทำให้ชาร์ลส์เบือนหน้าหนี…ย้ำกับตัวเองอีกครั้งให้ลืมมันไปเสีย ขยับเก้าอี้เลื่อนเพื่อมุ่งหน้าไปที่จุดหมายเดิมของตน…ชายหาดไร้ผู้คนนั้น

              

 

 

 

 

เขานิ่งขึงไปเล็กน้อยเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ มือใหญ่ในถุงมือแตะลงบนที่จับตรงพนักด้านหลัง…ชาร์ลส์จึงปล่อยการควบคุมจากที่เท้าแขน เก้าอี้เลื่อนเคลื่อนตัวตามจังหวะของมืออีกฝ่าย…ไม่มีคำถามถึงจุดหมาย เพราะชาร์ลส์คิดว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลรู้ดีอยู่แล้ว

              

 

 

 

 

หนึ่งปีผ่านไป…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่ยังลืมทุกอย่างไม่ลง

 

              

 

 

 

 

 

*****

 

              

 

ชายหาดยังคงเหมือนเดิมอย่างที่เห็นครั้งสุดท้าย

              

 

 

 

 

นัยน์ตาสีเทาเหม่อมอง ไม่ว่าจะเป็นผืนน้ำหรือพื้นทราย…ทุกอย่างถูกโอบล้อมไว้ในเสียงคลื่นและสายลมเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้เคยอยู่ในใจกลางสงครามที่เกือบจะประทุระหว่างสองประเทศมหาอำนาจที่หวังจะลงมือให้แตกหักกันไปข้างหนึ่ง

              

 

 

 

 

เขากับชาร์ลส์ยังคงไม่ได้กล่าวคำใดให้กัน…ไม่มีแม้แต่คำทักทาย อีริคได้แต่เข็นเก้าอี้เลื่อนไปนิ่งๆ…ในใจสับสนด้วยความรู้สึกที่มากมาย เขาประหลาดใจที่ได้พบอีกฝ่าย…แต่ในขณะเดียวกันก็กลับเหมือนรู้อยู่แล้วว่าชาร์ลส์จะต้องมา พวกเขารู้ดีว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ต่างฝ่ายจะไม่มีวันลืม…และล้วนมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าจะต้องได้พบกันที่นี่ในวันนี้อย่างแน่นอน

                

 

 

 

 

หนึ่งปีเต็มๆ ผ่านไปโดยไม่ได้พบหน้าพูดคุยใดๆ…แต่สุดท้าย พวกเขาก็รู้ดีเสมอว่าคนที่ตนรอและรอตนก็คือกันและกันเท่านั้น 

              

 

 

 

 

เพราะแสงแดดยามบ่ายโรยราความแรงลงบวกกับลมที่พัดเอื่อยทำให้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ร่ม อีริคหยุดเก้าอี้เลื่อนตรงที่กลางชายหาด ก่อนจะชะงักกับการตระหนักรู้

           

 

 

 

 

…จุดนี้เองที่กระสุนพุ่งใส่ชาร์ลส์  

              

 

 

 

 

ความรู้สึกหนักอึ้งแล่นปราดในใจ…หนึ่งปีผ่านไปแล้ว แต่อีริคยังไม่ลืมน้ำหนักของร่างในอ้อมแขนในวันนั้น…วินาทีที่หัวใจแทบหยุดเต้นเพราะความกลัวที่ถ่าโถมใส่ตอนเห็นชาร์ลส์ล้มลง…วินาทีที่พร้อมจะโยนทุกสิ่งที่ตนมีทิ้งไปถ้ามันแลกได้กับคนสำคัญคนเดียวของเขาปลอดภัย

              

 

 

 

 

ทันทีที่เห็นว่าชาร์ลส์ยังมีชีวิต…อีริคก็นึกสิ่งใดไม่ออกนอกจากคำขอร้องเรียบง่ายประโยคเดียว

              

 

 

 

 

“ฉันต้องการให้นายอยู่เคียงข้างฉัน…”

              

 

 

 

 

เขาขอร้องทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีหวัง ชายหนุ่มผมน้ำตาลรู้ตั้งแต่วินาทีที่ได้สบตากับคนในอ้อมแขนหลังจากที่ลงมือฆ่าชอว์แล้วว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่มีวันจะสามารถกลับไปร่วมทางกันได้อีก

              

 

 

 

 

แต่ถึงแม้ทุกความจริงจะชัดเจนอยู่ตรงหน้า…เขาก็นึกอยากจะหลอกตัวเองอีกสักนิดว่าจะสามารถรั้งมือของอีกฝ่ายไว้ได้ 

              

 

 

 

 

…แล้วโลกทั้งใบของอีริคก็แตกสลายลงอย่างเงียบงันด้วยคำพูดแหบโหยของชาร์ลส์

              

 

 

 

 

“ฉันขอโทษ…อีริค” น้ำตาเอ่อในดวงตาสีแซฟไฟร์…รอยยิ้มนุ่มนวลไม่ช่วยในการปกปิดความเจ็บปวดของคนพูด “…แต่เราไม่ได้ต้องการสิ่งเดียวกัน”

              

 

 

 

 

อีริคนึกอยากปฏิเสธ…อยากบอกว่าตนรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ต้องการ…อยากกอดอีกฝ่ายไว้แล้วหยุดน้ำตาที่ไหลรินด้วยคำสัญญาว่าเขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น แต่รู้ดีว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้…เขาไม่เปลี่ยนใจในทางเลือกของตัวเองอีกแล้ว และท่าทางสงบนิ่งของชาร์ลส์ก็บอกชัดว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้คิดต่างกัน

           

 

 

 

 

เขาเสียชาร์ลส์ไปแล้ว…และชาร์ลส์เองก็ไม่ต้องการจะรั้งเขาไว้เช่นกัน 

              

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มยอมคลายอ้อมกอดแล้วจากมาโดยไม่เรียงร้องอะไรอีก และหลังจากนั้น…ถึงจะสามารถรวบรวมมิวแทนต์เพื่อเสริมให้กองทัพของตนแข็งแกร่งขึ้นได้มากแค่ไหน…ถึงจะได้ชัยชนะมากมายเท่าไหร่มาไว้ในกำมือ…แต่อีริคก็รู้ดีว่าสิ่งเดียวที่เขาต้องการไม่มีวันจะหวนคืน

              

 

 

 

 

“คิดอะไรอยู่หรือ…?”

              

 

 

 

 

เสียงนุ่มนวลที่ถามขึ้นทำให้ชายหนุ่มหลุดจากห้วงความคิด…มันไม่ใช่คำถามที่ต้องการรู้จุดอ่อนอะไรทั้งนั้น ชาร์ลส์มักจะถามแบบนี้เสมอเวลาที่รู้สึกได้ว่าเขาไม่สบายใจ…เจ้าตัวเชื่อว่าการได้พูดระบายออกมาจะช่วยได้ และอีริคก็ยอมให้ชาร์ลส์เป็นคนคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรู้ถึงด้านอ่อนแอของเขา

              

 

 

 

 

โดยไม่รู้ตัว…เขาขยับมือลงไปแนบกับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนที่เท้าแขน ถึงจะมีทีท่าประหลาดใจเล็กน้อย…แต่ชาร์ลส์ก็จับมือเขาไว้แน่นเป็นการตอบรับ นิ้วเรียวสอดประสานเข้าหาอย่างที่เคยทำเสมอในวันวาน

              

 

 

 

 

…และสัมผัสง่ายๆ เหมือนในช่วงเวลาที่ไม่มีวันจะย้อนกลับมานี้เองที่ทำให้อีริคไม่สามารถเก็บกลั้นคำพูดใดๆ ได้อีกต่อไป

              

 

 

 

 

“รู้ไหม…จนตอนนี้…ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง” เสียงทุ้มพูด…นิ่งเรียบเพราะความเจ็บปวดที่มีมันมากจนเหมือนทุกอย่างด้านชาไปเสียแล้ว “ฉันคิดซ้ำไปซ้ำมาว่าพวกเราตัดสินใจอะไรพลาดไปตอนไหน…ทั้งๆที่ฉันเองก็รู้ดี…ว่าต่อให้ย้อนเวลาไปได้ ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะเปลี่ยนทางเลือกที่ฉันเลือก”

              

 

 

 

 

เสียงขาดห้วง ไม่ใช่เพราะความจริงที่ตนพูดทำร้ายใจตัวเอง…แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังทำร้ายคือใจคนฟังต่างหาก

              

 

 

 

 

“ฉันไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้…แต่ฉันก็รู้ดีว่าฉันจะไม่เลือกทางอื่นทั้งนั้น”

           

 

 

 

 

ใช่…เขาอยากอยู่เคียงข้างชาร์ลส์เสมอ…แต่ก็ไม่มีวันจะยอมรับแนวทางความคิดของอีกฝ่ายได้ 

              

 

 

 

 

ความเงียบปกคลุมชั่วครู่…ก่อนที่ชาร์ลส์จะกล่าวขึ้น

              

 

 

 

 

“ฉันเข้าใจ…อีริค…ฉันเข้าใจดี” เสียงนุ่มนั้นสงบนิ่งเหมือนผืนน้ำไร้คลื่น…กระแสอ่อนโยนบอกให้รู้ว่าทุกคำเป็นความจริง “ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันขอมันก็มากเกินไปสำหรับนาย และฉันเองก็คงไม่มีทางจะยอมทำตามแนวคิดของนายเหมือนกัน…”

              

 

 

 

 

ตอนนี้เองที่เสียงเรียบนิ่งกลับสั่นระริก

              

 

 

 

 

“นายเลือกทางที่นายต้องการและฉันก็เลือกทางที่ฉันต้องการ…พวกเรารักอุดมการณ์ของตัวเองมากเกินไป…มากกว่า…”

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์หยุดพูดกลางคัน…และประโยคต่อมาก็ทำให้อีริคเข้าใจว่าทำไมมันถึงยากนักในการจะเอ่ยต่อ

              

 

 

 

 

“….มากกว่าที่จะรัก…สิ่งที่เรามีให้กันและกัน”

              

 

 

 

 

คำพูดนี้บาดลึกยิ่งกว่าสิ่งใดเพราะมันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ…พวกเขาทั้งคู่ไม่ยอมละทิ้งสิ่งที่แต่ละฝ่ายเชื่อมั่น ความทะนงตนที่มีจึงมากพอจะทำลายทุกอย่าง…นำพาไปสู่การเลือกจะทิ้งหัวใจไปเสียเพื่อทำให้อุดมการณ์ของตัวเองเป็นจริง

              

 

 

 

 

“ต่อให้เทียบกับมิวแทนต์คนอื่น…นายก็รู้ดีว่าพวกเราอยู่ในระดับที่สูงกว่า” อีริคพยายามบังคับให้เสียงของตนมั่นคง…แม้ว่าความรู้สึกในใจจะทำให้ทุกอย่างยากเย็นเหลือเกิน “เรามีบทบาทผู้นำที่ต้องเล่น…เราเท่านั้นที่จะสามารถทำให้อนาคตของมิวแทนต์ทุกคนมีความหวัง เพียงแต่เราเลือกใช้วิธีการที่ต่างกัน…นายเลือกสันติ แต่ฉันคิดว่าสงครามคือคำตอบที่ดีกว่า…”

              

 

 

 

 

ประโยคต่อมาเป็นความจริงที่อีริคไม่มีวันจะยอมให้คนอื่นได้รู้…คนอื่นทุกคนที่ไม่ใช่ชาร์ลส์ เซเวียร์

              

 

 

 

 

“แต่รู้ไหม…บางครั้ง ฉันก็เคยคิดนะ…ว่าทุกอย่างจะง่ายแค่ไหน ถ้าพวกเราเป็นแค่คนธรรมดา…ไม่มีพลัง ไม่มีหน้าที่ใดๆ ที่ต้องแบกรับ…พวกเราคงได้อยู่ด้วยกัน มีความสุขไปด้วยกันเรื่อยๆ จนกว่าเวลาจะหมดลง…”

              

 

 

 

 

สีเทาในดวงตาดูอ่อนโยนยามที่เจ้าตัวคิดถึงจินตนาการอันสวยงาม…แต่ความเจ็บปวดก็ฉายฉานตามมาในชั่วอึดใจด้วยรู้ว่าทุกสิ่งไม่มีวันจะเป็นจริง

              

 

 

 

 

“สิ่งเดียวที่ฉันเสียใจที่ตัวเองเป็นมิวแทนต์…ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันไม่ได้” มือแข็งแรงจับมือของอีกฝ่ายแน่น…ราวกับจะย้ำว่าทุกคำพูดเป็นความจริง “…มันทำให้ฉันต้องเลือก”

              

 

 

 

 

เสียงแหบโหยในประโยคสุดท้ายฟังดูสิ้นหวังและเจ็บปวดจนคนฟังหายใจติดขัด

                

 

 

 

 

“…และทางเลือกของฉันก็ทำให้ฉันต้องเสียนายไป”

              

 

 

 

 

หยดน้ำตาร่วงริน…ชาร์ลส์พบว่าเขาเข้าใจผิดไปถนัด เวลาหนึ่งปีไม่ได้ทำให้จิตใจของเขากลับเป็นปกติ…เพียงแต่มันชาชินกับคำสั่งห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกอะไรของเขาเท่านั้นเอง แต่ในตอนนี้…ในเวลาที่มีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างและพูดทุกความจริงให้ได้รู้…ชายหนุ่มก็ไม่สามารถสวมหน้ากากโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์หรือใครก็ตามที่ทุกคนคิดว่าเขาเป็นได้อีกต่อไป

           

 

 

 

 

เพราะตอนนี้…สิ่งเดียวที่เขาต้องการจะเป็นคือชาร์ลส์ของอีริคเท่านั้น

              

 

 

 

 

“ใช่…” เสียงของชายหนุ่มผมดำตอนนี้สั่นระริกด้วยแรงสะอื้นแผ่วจาง “บางครั้งฉันก็สงสัยนะ…ว่ามันจะดีสักแค่ไหนถ้าเราเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา…เป็นแค่หนึ่งในบรรดาคนมากมายบนโลกใบนี้…”

              

 

 

 

 

พลังอันแสนแข็งแกร่งที่มีเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งสองยืนอยู่เหนือคนอื่นๆ…หากใครจะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอะไรมากไปกว่าของขวัญที่โดนยัดเยียดให้ อำนาจที่จำต้องถือครองและเปลี่ยนแปลงทุกทางเลือกของพวกเขาไปตลอดกาล

              

 

 

 

 

นัยน์ตาสีน้ำเงินทอดมองออกไป…น้ำทะเลสีครามถูกแต่งแต้มด้วยฟองคลื่น ความเงียบสงบและการที่มีเพียงอีริคอยู่เคียงข้างตอนนี้ทำให้ความหวังไร้สาระของเขาหวนกลับมาอีกระลอก…ความคิดฝันว่าอยากจะหายตัวไป ละทิ้งทุกภาระหน้าที่แล้วเอื้อมมือออกไปหาคนคนเดียวที่ตนปรารถนา

              

 

 

 

 

จะดีสักเพียงไหน…ถ้าโลกใบนี้ไม่ต้องการสิ่งใดจากพวกเขา…ไม่จำเป็นจะต้องมีแมกนีโตหรือโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์…และปล่อยให้พวกเขาได้เป็นแค่อีริค เลนเชอร์กับชาร์ลส์ เซเวียร์…?

              

 

 

 

 

แต่ชาร์ลส์ก็รู้ดีว่าความฝันเป็นได้ทุกอย่าง…ยกเว้นความจริง

              

 

 

 

 

“แต่ต่อให้เราหวังสักแค่ไหน…มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว” เสียงของเขาวูบโหวง…ระโหยด้วยความเจ็บปวดที่ร้อยรัดในใจ “เราเลือกแล้ว…ตอนนี้ฉันกับนายเป็นศัตรูกัน และฉันกับนายก็รู้ดีว่ายังไงพวกเราก็จะไม่เปลี่ยนใจกับทางเลือกนี้”

              

 

 

 

 

อีริคเม้มปากแน่น ดวงตาสีเทาฉายแววเศร้าสร้อยและความเกลียดชังชัดเจน…เกลียดชังความจริงที่หลีกหนีไม่พ้น ชาร์ลส์ไม่ต้องใช้พลังก็รู้ได้ว่าไฟโทสะกำลังเริ่มคุกรุ่นในใจอีกฝ่าย…จึงขยับมือทั้งสองข้างให้กุมรอบมือแข็งแรงในถุงมือสีดำนั้น ถึงจะไม่ได้สัมผัสโดยตรง…แต่เขาก็จำมันได้เจนใจ มือของอีริคใหญ่และอบอุ่น…เจ้าตัวมักจะใช้มันลูบแก้มเขาเบาๆ เสมอเวลาที่เขากังวล สัมผัสง่ายๆ ที่ทำให้สบายใจขึ้นได้ทุกครั้ง

           

 

 

 

 

…มือที่เขาไม่มีวันจะเกี่ยวกุมเพื่อรั้งให้อยู่เคียงข้างได้อีกแล้ว

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์หลับตา จดจำทุกอย่างเอาไว้ คิดถึงทุกสิ่งที่อยากจะพูดบอก…เพราะรู้ดีว่าวินาทีแบบนี้จะไม่มีวันหวนกลับมา

              

 

 

 

 

“รู้ไหม…ตอนที่นายบอกว่านายต้องการให้ฉันอยู่เคียงข้างนาย…” น้ำตาไหลรินอีกหยดจากความทรงจำถึงภาพนัยน์ตาหม่นแสงของอีกฝ่ายในตอนนั้น “ฉันอยากจะตอบออกไปมากนะว่าฉันจะอยู่กับนายตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่…แต่…”

              

 

 

 

 

แรงสะอื้นทำให้ลมหายใจและคำพูดติดขัด…ชาร์ลส์รู้ตัวดีว่าคำปฏิเสธของตนทำร้ายอีกฝ่ายมากเพียงไหน เขาไม่คิดหวังว่าจะได้รับการให้อภัย…และมันก็สายเกินไปแล้วที่จะมาบอกตอนนี้ แต่อย่างน้อยการได้พูดความจริงก็ทำให้เขาสบายใจขึ้น

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มคาดเดาว่าจะได้เห็นแววตาแข็งกร้าวและใบหน้าเครียดขึง แต่สิ่งที่อีริคทำมีเพียงแค่ดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา มันไม่ใช่การกระทำจากความโกรธใดๆ…ชายหนุ่มผมน้ำตาลทำเช่นนั้นเพียงเพื่อที่จะสามารถถอดถุงมือที่สวมอยู่ออก ก้าวมายืนตรงหน้า แล้วใช้มือเปลือยเปล่าแตะซับน้ำตาที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ

              

 

 

 

 

“…แต่โลกแบบที่นายต้องการไม่ใช่โลกแบบที่ฉันต้องการ” เสียงทุ้มต่อประโยคให้จนจบ ไม่มีกระแสตัดพ้อประชดประชันใดๆ เจือปน…เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวรู้ดีอยู่แล้ว “ฉันเข้าใจ…ชาร์ลส์…และฉันก็ไม่เคยโกรธเกลียดนายเพราะเรื่องนี้สักนิดเดียว”

              

 

 

 

 

ความอ่อนโยนจากน้ำเสียง…คำให้อภัยที่ได้ฟัง…สัมผัสของนิ้วเรียวที่ปาดน้ำตาออกไปอย่างนุ่มนวล…ทุกสิ่งรังแต่จะทำให้ความรู้สึกมากมายทั้งหมดถ่าโถมในใจ ชาร์ลส์ได้แต่นั่งนิ่ง…ซึมซาบความรู้สึกที่เหมือนแสงแดดอบอุ่นของฤดูร้อนนี้ไว้เงียบๆ

              

 

 

 

 

ร่างสูงคุกเข่าลงตรงหน้า…สบตากับอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตาของเจ้าตัว

              

 

 

 

 

“หนึ่งปีที่แล้ว…ฉันได้เจอนาย มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงสักนิดเดียวถ้าฉันจะพูดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน”

              

 

 

 

 

เสียงทุ้มพูดแผ่วเบา…ทุกคำเรียบง่ายหากอ่อนหวาน

              

 

 

 

 

“หนึ่งปีที่แล้ว…ฉันบอกนายว่าฉันรักนาย” มืออบอุ่นปาดน้ำตาหยดสุดท้าย…แต่ยังลากไล้บนผิวแก้ม “…ฉันอยากให้นายรู้ว่าตอนนี้มันก็ยังเป็นความจริง”

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์ยิ้มออกมาได้กับคำพูดนี้…เลื่อนมือขึ้นทาบทับกับมือของอีริค พูดตอบเสียงเบาเหมือนกระซิบ

              

 

 

 

 

“สำหรับตัวฉันเอง..ก็ไม่คิดว่าจะมีวันไหนที่มันจะเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน”

              

 

 

 

 

ดวงตาสีแซฟไฟร์หลับลงยามที่อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากที่ทาบทับแผ่วเบาหากอ้อยอิ่ง…ทุกความโหยหาและคิดถึงถูกบอกเล่าในสัมผัสนั้น ความอบอุ่นแผ่ซ่านในใจพร้อมๆ กับที่หนามแหลมของความเจ็บปวดทิ่มแทง…ทั้งคู่ตระหนักรู้ว่าจูบอ่อนหวานนี้จะเป็นจูบสุดท้ายจากคนที่ตนรักและรักตน

           

 

 

 

 

…เพราะพวกเขาผ่านจุดที่จะสามารถย้อนคืนกลับไปมีกันและกันได้เสียแล้ว

              

 

 

 

 

อีริคถอนริมฝีปาก…แต่ยังประคองวงหน้าสีน้ำนมเอาไว้ นัยน์ตาสีเทามองภาพที่เห็น…จดจำทุกสิ่งของคนที่เป็นดั่งตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเขา ตั้งแต่วันที่เขาไปจากชาร์ลส์ อีริครู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขาโดนกรีดเฉือน…แผลลึกที่กลายเป็นความว่างเปล่า ชายหนุ่มเคยสงสัยว่าจะมีวันไหมที่เขาจะพบใครสักคนที่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่านี้…แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

                

 

 

 

 

เขายอมให้หัวใจตัวเองโดนกรีดเป็นแผลลึกเพราะความรักที่แตกสลาย…มากเสียกว่าจะเติมเต็มมันด้วยใครอื่นที่ไม่ใช่ชาร์ลส์ 

              

 

 

 

 

เนิ่นนาน…ก่อนที่ชาร์ลส์จะฝืนพูดสิ่งที่ไม่อยากพูดที่สุดออกมา

              

 

 

 

 

“บอกเอ็มม่าได้ไหม…ว่าช่วยปลดสนามพลังที” เสียงนุ่มขอร้องตรงๆ “…ฉันอยากจะคุยกับเด็กๆ”

              

 

 

 

 

อีริคไม่ได้สวมหมวกกลับไป…ชายหนุ่มทำเพียงแค่หลับตาลงแล้วพูดเบาๆ “เอ็มม่า…สลายสนามพลังได้แล้ว”

              

 

 

 

 

เสียงบาดหูเหมือนคริสตัลเสียดสีกันดังขึ้นในหัว…แล้วชาร์ลส์ก็พบว่ากระแสพลังของเขากลับคืนมา เรียวปากสีเรื่อยิ้มให้แทนคำขอบคุณสำหรับความเชื่อใจ…ก่อนจะส่งเส้นใยความคิดไปถึงเด็กหนุ่มที่เป็นคนควบคุมแบล็คเบิร์ด

           

 

 

 

 

“แฮงค์…ช่วยมารับฉันทีได้ไหม?” 

              

 

 

 

 

เสียงตอบรับสั้นๆ ในหัว…และเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นบนท้องฟ้าหลังจากผ่านไปสักพัก เครื่องบินสีดำเป็นเงาร่อนจอดลงตรงพื้นที่ว่างห่างออกไป ผนังตรงท้ายลำย่อลงต่ำ…เผยให้เห็นด้านในตัวเครื่อง อเล็กซ์ยืนรออยู่…สีหน้ากังวลและไม่กล้าเดินเข้ามาเมื่อเห็นร่างสูงเคียงข้างเขา

           

 

 

 

 

“โปรเฟสเซอร์ครับ…” 

           

 

 

 

 

“ไม่เป็นไร…อเล็กซ์ เธอรอตรงนั้นแหละ” ชาร์ลส์ตอบด้วยพลังของเขา ก่อนจะหันมายิ้มให้อีริค…รอยยิ้มแทนคำลาที่เขาไม่อาจทำใจกล่าวออกมาได้ ขยับจะควบคุมเก้าอี้เลื่อนให้เคลื่อนจากไป…แต่ก็ชะงักเมื่อร่างสูงแตะมือลงตรงที่จับด้านหลังพนักเก้าอี้ ชาร์ลส์เอี้ยวตัวเล็กน้อย…มากพอที่จะได้สบตากับอีกฝ่าย และความรู้สึกโหยหาที่มองเห็นในสีเทานั้นก็ทำให้เขายอมลดมือลงแล้วปล่อยให้อีริคเป็นคนเลื่อนเก้าอี้เลื่อนของเขาไปจนถึงแบล็คเบิร์ด

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์นึกหวังให้ระยะทางนี้ไร้ที่สิ้นสุด…และจังหวะการก้าวเดินที่ไม่เร่งรีบก็บอกชัดว่าอีริคเองก็คงคิดไม่ต่างกัน แต่สุดท้าย…พวกเขาก็มาถึงจุดที่เด็กหนุ่มผมทองยืนรออยู่ ชายหนุ่มผมดำรอจนรู้สึกได้ว่ามือแข็งแรงนั้นผละจากเก้าอี้เลื่อนของเขาแล้วจึงค่อยบังคับให้มันหันไปประจันหน้ากับร่างสูง นัยน์ตาสีน้ำเงินสบประสาน…หวังว่าทุกความห่วงหาทั้งหมดที่ตนมีจะส่งผ่านไปถึงอีกฝ่ายได้ ก่อนจะบังคับให้ตัวเองเอ่ยคำที่ไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงออกมา

              

 

 

 

 

“ลาก่อน…อีริค”

              

 

 

 

 

เจ้าของชื่อมองคนพูด…ความเจ็บปวดร้าวลึกฉายจางๆ ในแววตา คำสั้นๆ ที่ได้ฟังทำร้ายใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ…และทิ้งรอยแผลไว้ในความรู้สึกยิ่งกว่าเก่ายามที่เขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยมันออกไปบ้าง

              

 

 

 

 

“ลาก่อน…ชาร์ลส์”

              

 

 

 

 

อีริคมองรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียงเครื่องบินจะดังกระหึ่มพร้อมกระแสลมที่หมุนคว้าง เขาถอยออกมา…แต่สายตายังคงไม่ละจากเครื่องบินลำเพรียวสีดำวาววับ เหยียดยิ้มให้กับความจริงที่เป็นยิ่งกว่าเรื่องตลกร้ายกาจใดๆ…อีริคไม่เคยคิดว่าเขาจะรักใครได้เพราะหัวใจที่มีแต่ความโกรธแค้นและเกลียดชังของตน แต่เหมือนพระเจ้าจะยังคงหาความสนุกสนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้จากการเห็นทุกความสุขของเขาแตกสลายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

           

 

 

 

 

เพราะสุดท้าย…เขาก็หาความรักเจอ…ในที่ที่ไร้ความหวัง…กับคนที่เขารู้ดีว่าไม่มีวันจะได้ครอบครอง

              

 

 

 

 

ถึงจะเป็นแค่การมองผ่านกระจกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง…แต่ชาร์ลส์ก็ไม่อยากจะละสายตา ระยะทางที่เพิ่มขึ้นย้ำเตือนว่าพวกเขากำลังถอยห่างจากกันไปเรื่อยๆ…ภาพที่สะท้อนความเป็นจริงในมุมกว้างให้ได้ตระหนักอีกครั้ง

           

 

 

 

 

ไม่ว่าจะผ่านไปอีกสักกี่ปี…จุดเดียวที่เขากับอีริคจะยืนได้ก็มีแค่คนละฝั่งของเส้นขนานเท่านั้น 

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนคิดก็ไม่ผิดแผกจากสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่เลย และทั้งสองต่างก็ไม่มีทางจะได้รู้ด้วย…ว่ารอยยิ้มอ่อนล้าก็ระบายบางเบาบนริมฝีปากกับข้อเท็จจริงง่ายๆ ข้อหนึ่งที่พวกเขารู้ดี

           

 

 

 

 

ถึงเส้นขนานจะไม่มีวันบรรจบ…แต่มันก็จะทอดยาวเคียงคู่กันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด        

              

 

 

 

 

นัยน์ตาสีเทาสั่นระริก…มือเผลอเอื้อมออกไป ก่อนที่จะกำแน่นเข้าหากันเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าการกระทำนี้ไม่มีประโยชน์…สูดลมหายใจลึกๆ กับความหวังน้อยนิดที่จะมีสิทธิ์คิดได้

                

 

 

 

 

…นั่นหมายความว่าต่อให้ทุกอย่างกำลังจะจบลง…ต่อให้ไม่เหลือเวลาใดๆ ให้เสียอีกแล้ว… 

           

 

 

 

 

มือเรียวทาบแนบกับกระจก…แม้รู้ดีว่าไม่มีทางจะไขว่คว้าสัมผัสอบอุ่นที่ตนโหยหาได้อีกแล้ว ความเจ็บปวดทิ่มแทงในใจเหมือนหนามแหลม น้ำตาร่วงริน…แต่ดวงตาสีน้ำเงินก็ไม่คิดจะละจากเงาร่างบนชายหาดนั้น 

           

 

 

 

 

…อย่างน้อย…พวกเขาก็จะยังคงมีโอกาสได้มองเห็นอีกฝ่ายเสมอ

           

 

 

 

 

แบล็คเบิร์ดหายไปจากสายตาพร้อมๆ กับที่ภาพชายหาดโดนปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆสีขาว ระยะทางฉีกกระชากความชัดเจนในการมองเห็น ย้ำเตือนถึงตำแหน่งและบทบาทของพวกเขา…หากความเป็นจริงก็ยังไม่อาจห้ามให้ทั้งสองคิดฝันลมๆ แล้งๆ ได้ 

           

 

 

 

 

การได้สบตากับคนที่ตนรักที่สุดในวินาทีสุดท้าย…นั่นคงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่จะพึงขอได้… 

              

 

 

 

 

อีริคหลับตาลง…ลมหายใจหนักหน่วงถูกระบายออกมาราวกับจะข่มความเจ็บปวดที่มี ชาร์ลส์ปาดน้ำตา…เสียงสะอื้นโดนเก็บกลั้นเพราะรู้ดีว่าตนไม่สามารถแสดงความอ่อนแอนี้ออกมาได้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในใจทั้งคู่มีเพียงความปรารถนาน้อยนิดที่พวกเขาหวังว่าจะสามารถเป็นจริง

           

 

 

 

 

…แม้ว่าคนคนนั้นจะยืนอยู่บนอีกด้านของเส้นขนานก็ตาม 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Fin.

 

 – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

 

 

 


17 responses to “[X-Men Fic][ErikCharles] Beyond The Point of No Return

  1. อยากจะร้องไห้ดัง ๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เพิ่งมาอ่านครับคู่นี้… ปกติคริสทอมหลัก ๆ

    มันซึ้งตรึงใจมากกกกกก อยากจะร้องออกมาซะหล่าย ๆ รอบ//อยุ่ที่ทำงานทำไม่ได้ ถถถถถ

    มันเศร้า มากก หนัก ๆ ความรักที่เปนไปได้…ไม่เสมอไป

    Like

  2. แล้วก็มาอ่านอันนี้ต่อ เอาให้เจ็บเข้าไปอีก #ซาดิสม์จริงๆ ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

    Like

  3. แงงงง อ่านแล้วเศร้าอ่าา เจ็บแทนเชริคอ่่าา อยู่ใกล้กันพอจะสัมพัสได้ แต่ยังเศร้าอ่าาา หลังจากดู xmfc ก็ออกหาฟิคทันที มาเจอบล็อกนี้บอกเลยว่าโดนน

    Like

  4. มันปักอกตั้งแต่คำว่า No Return แล้วค่ะ
    TT อะไรคือ 1 ปีผ่านไปแต่ใจยังจำมาก
    คือรู้ว่าต่อให้นานแค่ไหนก็ไม่ลืม
    พวกเค้าเป็นรักแท้ของกันและกัน
    แต่ไม่อาจเอื้อมถึงกันได้เลย

    ชอบที่พี่สาวบรรยายตอนที่อีริคจะเอื้อมมือไปบนฟ้าแล้วกำมือไว้
    มันเป็นอารมณ์ที่แบบ ใช่เลย มันใช่มาก

    แล้วก็ร้องไห้น้ำตาเป็นล้านลิตร
    อ่านย้อนกี่รอบก็ต้องแอบเอาทิชชู่มากองไว้ TT

    Like

  5. ดะ ดะ ดร่ามาต่อเนื่องเลยหรอค่ะะะะะ ; ; นี้ไม่กะให้หยุดพักหายใจกันเลย เเง
    ฉันก็อยากให้พวกนายเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน โถวววว นุ่งอีริค เเงงง
    เสีหายทางใจหลายเเสน (/□\*)・゜
    ขอไปหาอะไรมาบำรุงใจก่อนนะค่ะ โดนดราเมจคู่นี้มาตั้งเเต่เมื่อวานล่ะ ฮืออ T T

    Like

  6. เพิ่งอ่าน space between parallel lines จบ……
    กรี๊สสสสสส จะทำร้ายกันเกินไปแล้วนะคะ….ถึงจะชอบแนวดราม่าก้เถอะ ถถถถถถถ แต่ละประโยคที่ทั้งสองคนพูดนี่ มันบาดลึกตรงหัวใจมาอ่าTT
    //อยากร้องไห้ให้น้ำตาจิหมด สงสารทั้งสองคนมากเลยTT ชอบประโยคนี้มากเลยค่ะ “คนๆนี้เท่านั้น ที่ทำให้ใจสงบลงได้” ยังไงก้ไม่สามารถลอบออกจากหัวใจได้สินะคะ แล้วก้ตอนที่พูดประมาณว่า หัวใจไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพราะมันหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง….. #กัดผ้าเช็ดหน้า
    ใช้ภาษาได้ลื่นไหล โอเคมากๆๆๆๆค่ะะะ
    ฟิคของเชริคเป็นเตาเชื้อเพลิงให้หนูน้อยคนนี้มาสูบก่อนเรียนมากเลยค่ะ โฮวววววว ขอให้เขียนฟิคที่มีคุณภาพแบบนี้ต่อไปนะคะะ#ชูป้ายไฟ

    Like

  7. เข้ามาแด้ดิ้น… น่ารักมากขาาาาาาาาาาดทพ่กมก าแใดมพา

    เจ็บปวดหัวใจหนึบๆตามเลย ดูหนังจะร้องแล้ว เจอฟิคนี้ตายเลยค่ะ ไหลทั้งน้ำตาทั้งกำเดา /ห๊ะ
    ชอบมากค่ะ กรีดดดาพืพาพสำ

    Like

  8. ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนี้ถ้าเป็นเเค่คนธรรมดา โอดราม่ามากค่ะ ขอบคุณสำหรับฟิคค่ะซึ้งจับใจ ;w;

    Like

  9. บ่อน้ำตาแตก กับรักที่ไม่ได้เคียงคู่
    เส้นขนานไม่มีจุดจบ แต่ก็ต้องเดินไปพร้อมๆกัน

    Like

  10. มันเป็นจูบที่เศร้าสุดๆ
    สงสารทั้งคู่ ถ้ามันโลกขนานขนาดนั้น
    ก็ขยับเส้นขนานเข้ามาใกล้ๆได้มั้ย
    ปีละนิด ปีละหน่อย ให้มันขนานจนใกล้แค่เอื้อม
    เรเวนช่วยเป็นสะพานเชื่อมได้มั้ยน้อ T^T
    บีบหัวใจมากๆ สองคนกับ 1 สถานที่แห่งความทรงจำ
    สถานที่ๆสูญเสียทุกสิ่ง แต่เป็นสถานที่ๆไม่เคยลืมจากความทรงจำ

    Like

  11. เข้ามาอ่านติดๆกัน กลางดึกเงียบๆได้อารมณ์มากค่ะ ฮรึก พี่ทิพย์แต่งฟิคสื่ออารมณ์เก่งมาก นับถือเลยค่ะ ชอบมาก บางทีสองคนนี้อาจจะไม่ใช่ศัตรูกัน แต่เป็นเพื่อนที่อยู่บนเส้นขนานแล้วเฝ้ามองอุดมการณ์กับการกระทำของอีกฝ่ายไปด้วยกันก็ได้นะคะ อรั่ก

    Like

    • โอ้วววว มากอดทีสิคะ…พี่ตั้งใจว่าสองเรื่องนี้มันควรอ่านต่อกันค่ะ น้องทำถูกแล้วววว T////T
      สองคนนี้เขารู้สึกกันเกินทั้งรักทั้งชังไปแล้วล่ะค่ะฮืออออออ พี่ไม่สามารถอธิบายได้ดีพอเพราะมันโซดีป TxT
      ชอบมากเลยล่ะค่ะความสัมพันธ์แบบนี้ บาดใจดีนัก TmT

      Like

  12. Pingback: [TAG] สืบประวัตินักเขียน | tippuri's blog (◉◞౪◟◉✿)·

  13. นี่เป็นสิ่งทีทำให้เราตกบ่วงความสัมพันธ์คู่นี้เลยค่ะ และแน่นอนว่าตราบใดที่มันยังเป็นแบบนี้ คงจะไม่มีวันขึ้นหลุมได้อีกตลอดกาล /พราก

    เพราะมันจะไม่มีวันบรรจบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะอยู่กันไปแบบนี้เรื่อยๆ

    อา /มองฟ้า น้ำตามาอีกแล้ว

    พออ่านถึงตอนที่เจอหน้ากันและรู้สึกถึงความสงบในจิตใจอีกครั้ง ก็รู้สึกขึ้นมาอย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ไปมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายและสงบเถอะ ให้สมกับที่หาความสงบของตัวเองเจอ รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ยิ่งรู้ด้วยแล้วว่าไม่มีทาง เฮ้อ…

    ขอบคุณคุณทิพย์มากนะคะ ตาบวมแล้ว TvT 55

    ปล. จะชมมาตั้งแต่ฟิคที่แล้วแล้ว ว่าเลือกเพลงได้เข้ากับความสัมพันธ์คู่นี้ได้ชัดมากเลยค่ะ ฟังไปอ่านไปนี่เห็นเป็นภาพออกมาเลย โดยเฉพาะ Antebellum มันชัดมากจริงๆ โดยเฉพาะการมาร์ชช่วงท้าย โอ๊ยไม่น่าฟังเพลงไปอ่านไปเลย ฮือ 555 แต่เพลงหลังนี่ดูแสดงให้เห็นความดีปของอีริคกับความเป็นแม่เหล็กขั้วบวก (โหยหา ถูกดึงเข้า) ของชาร์ลส์มากกว่า ซึ่งก็ไม่เป็นไร ชอบทั้งสองเพลงเลยเพราะเข้ากับฟิคแถมเพราะทั้งคู่ T_Tb ขอบคุณมากค่ะ

    Like

  14. น้ำตาคลอเลยค่ะ ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี แต่พี่ทิพย์เขียนบรรยายความรู้สึกได้ดีมากเลยค่ะ อินมากเลย T T ถ้าทั้งสองคนเป็นแค่คนธรรมดาก็คงจะดีกว่านี้สินะคะ แง้

    Like

  15. ความสัมพันธ์ของคู่นี้เป็นอะไรที่ รักนะ แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ความหวังสว่างวูบในใจ แต่ก็ถูกดับลงง่ายดายเหมือนเป็นแค่แสงเทียน ฮึกกก //
    อ่านฟิคคู่นี้ทีไรก็ร้าวรานในใจเหลือเกิน แต่ก็ชอบ แต่ก็ร้าวราน ฮึก น้องจะเป็นไบโพล่าร์แล้วค่ะ5555 มันมีแต่คำว่าโหยหา คิดถึง

    Like

Leave a comment