[The Avengers Fic][ThorKi] Where Our Hearts Belong (8)

           

Where Our Hearts Belong

The Avengers Fanfiction by Tippuri~ii *

 

 

 

Pairing: Thor Odinson x Loki Laufeyson

Type: AU Fanfiction
Remark : domestic love story, no adoption issue involved

Warning: YAOI ALERT; ENTER AT YOUR OWN RISK
 

REMARK: เป็น side story ของ [ErikCharles] Where Our Hearts Belong  เพราะงั้นอาจมีเรื่องราวเกี่ยวโยงกันหรือตัวละครจากเรื่องหลักโผล่มานะคะ

 

 

*  เป็นฉบับเต็ม ยาวกว่าตอนรุ่นทดลองอ่านแล้วนะคะ จบตอนเลย 🙂 *


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

Chapter 8

 

 

 

 

 

เขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด…

 

 

 

 

 

ยามเช้าของวันนี้เป็นยามเช้าที่สดใส…แสงแดดสีทองส่องลอดยอดไม้สูงเหนือศีรษะ เสียงหัวเราะของบรรดาเด็กๆ ที่ได้มาเจอกันแต่งเติมให้บรรยากาศยิ่งชวนรื่นเริงใจ…และไม่ควรทำให้มีความคิดดำทะมึนแบบนี้สักนิด

           

 

 

 

 

 

เขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด…

 

 

 

 

 

แต่แน่นอนว่าโลกิ ลาฟีย์ซันไม่ได้สนใจ…เพราะไม่ว่าจะฝนตกแดดออก เขาก็นั่งคิดแบบนี้มาซ้ำๆ จะร่วมสี่เดือนได้แล้ว ความจริงเป็นความจริงเสมอไม่ว่าจะในสภาพอากาศแบบไหน…และไม่มีความจำเป็นจะต้องยกเว้นวันนี้แต่อย่างใด

     

 

 

 

     

เขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด…

 

 

 

 

 

“พี่ฮะๆ…ไอติมแอปเปิ้ลมินต์สามโคนฮะ”

 

 

 

 

 

เสียงเรียกจากด้านล่างเคาท์เตอร์ทำให้ร่างเพรียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วชะโงกมองลงไป…สิ่งที่เห็นคือเด็กชายผมสีเข้มใส่แว่นที่ยืนเขย่งขาเพื่อให้ตัวเองสูงเลยขอบเคาท์เตอร์ขึ้นมา มือผอมบางโบกธนบัตรสีเขียวหยอยๆ พร้อมพูดซ้ำเมื่อเห็นเขา

 

 

 

 

 

“แอปเปิ้ลมินต์สามโคนฮะ”

 

 

 

 

 

ด้านหลังของหนุ่มน้อยคือเด็กชายอีกสองคน…คนหนึ่งผมทองและอีกคนผมแดง โลกิจำเด็กพวกนี้ได้ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาจำผู้ปกครองของเด็กพวกนี้ได้ต่างหาก…ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ถึงจะทำสีหน้าเย็นชาเสมอก็ยังหล่อราวกับนายแบบอยู่ดีคนนั้น

 

 

 

 

          

แต่หมดสิทธิ์จะหวังแล้วล่ะนะ…ก็ได้ข่าวว่าเอาแฟนย้ายมาอยู่ด้วยกันจะได้สองเดือนแล้วนี่นา

 

 

 

 

 

“โอเค” โลกิเอื้อมมือจะออกไปรับธนบัตร…ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กพวกนี้ถึงมีความคิดจะมาทานไอศกรีมเอาตอนก่อนโรงเรียนเข้าแบบนี้ แต่ก็ไม่สนใจจะท้วงห้ามแต่อย่างใด นึกขอบคุณสวรรค์ที่อย่างน้อยเดือนนี้เขาก็กำลังจะพูดได้แล้วว่ามีรายได้

 

 

 

 

 

แต่ลูกโป่งแห่งความหวังของเขาก็แตกดังสนั่นในวินาทีสั้นๆ ที่ตามมาด้วยเสียงของเด็กชายผมแดง

 

 

 

 

 

“ไม่เอาแล้วอ่ะแฮงค์ ฉันว่ากินแพนเค้กดีกว่า”

 

 

 

 

 

ธนบัตร์สีเขียวที่อยู่ห่างนิ้วเขาออกไปไม่ถึงมิลลิเมตรโดนดึงวืดกลับไป โลกิมองตามสามหนุ่มที่ข้ามถนนไปที่ร้านแพนเค้ก…ความรู้สึกอยากทำลายข้าวของพุ่งปรี๊ดในใจ แต่ทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วขยำผ้าเช็ดเคาท์เตอร์จนยู่ยี่แทน

 

 

 

 

 

เจ้าเปี๊ยกสามคน…พวกแกมันตาไม่มีแววเรื่องขนมที่สุด สมแล้วที่กล้าเรียกตัวเองว่าพี่น้องทั้งๆ ที่หน้าไม่ได้มีความเหมือนกันสักนิด!!

 

 

 

 

 

นัยน์ตาสีน้ำทะเลคู่สวยเขม่นมองไปยังอีกฝั่งถนน…ตึกแถวยาวเป็นแนวโดนแบ่งซอยเป็นห้องๆ แล้วก็โดนปรับปรุงให้เป็นร้านค้าหรือคาเฟ่ตามแต่ใจเจ้าของอีกทีหนึ่ง แต่แค่มองก็เห็นได้ชัดว่าร้านไหนเป็นร้านที่มาแรงที่สุด…ทั้งเด็กนักเรียนและสาวๆ มากมายรุมต่อคิวกันเต็มหน้าร้านจนล้นออกมายืนบนฟุตบาธ

 

 

 

 

          

เขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด…

 

 

 

 

 

โลกิทำหน้ายี้ใส่แล้วเอามือปัดๆ ให้กลิ่นแพนเค้กทอดใหม่หอมน่าทานออกไปไกลๆ ตัว…ชายหนุ่มที่เขานั่งแช่งชักมาตลอดสามจะสี่เดือนได้แล้วคือเจ้าของร้านที่กำลังส่งยิ้มสดใสยิ่งกว่าแสงแดดให้ทุกคนอยู่ ผมสีทองยาวระต้นคอโดนมัดขึ้นเพื่อให้คล่องตัว นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววร่าเริงตลอดไม่ว่าลูกค้าจะเป็นเด็กประถมหรือสาวสวย และวงหน้าหล่อเหลานั้นก็น่ามองเข้าไปอีกยามที่เจ้าตัวหัวเราะกับสีหน้าตื่นเต้นของเด็กๆ ตอนเห็นแพนเค้กโดนโยนขึ้นสูงแล้วมือใหญ่เอากระทะรับไว้ได้ทัน

 

 

 

 

 

วงหน้าหวานขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเก่ากับภาพที่เห็น ไม่มีทางจะยอมรับเด็ดขาดว่าเอาเข้าจริง…แค่หน้าตาและหุ่นอันแสนจะเพอร์เฟคของเจ้าหมอนี่ก็ทำให้ยากมากแล้วที่จะละสายตา แต่นี่ดันมีผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายน้องเป็ดกับฝีมือการทำแพนเค้กบวกเข้ามาอีก…ทุกอย่างจึงยิ่งทำให้คนมองรู้สึกว่าเจ้าตัวทั้งหล่อและน่ารักไปพร้อมๆ กัน

 

 

 

 

          

มันเหมือนเวลาที่เห็นหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่แต่ใจดีสุดขีดนั่นแหละ…เป็นใครจะไม่อยากเล่นด้วย?

 

 

 

 

 

โลกิแย้งตัวเองทันควันเมื่อคิดถึงตรงนี้

 

 

 

 

           

ก็เขานี่ล่ะคนนึงที่จะไม่เล่นด้วย…เพราะเขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด!

 

 

 

 

 

ในที่สุดก็ถึงคิวของสามหนุ่ม โลกิไม่อาจละสายตาจากธนบัตรที่ควรเป็นของเขาตอนมันโดนวางลงในมือของชายหนุ่มผมทองแล้วหายเข้าไปในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนสีชมพู ความคิดอยากทำลายข้าวของเริ่มเปลี่ยนเป็นอยากเอาข้าวของพวกนั้นฟาดหน้าอีกฝ่ายมากกว่าแล้ว การเริ่มต้นของร้านแพนเค้กตำรับแอสการ์ดเป็นเหมือนกับจุดจบของร้านไอศกรีมตำรับโยธันไฮม์ของเขา… ลูกค้าที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วแห่กันไปอุดหนุนชายหนุ่มผมทองกันหมด และลูกค้าใหม่ก็ไม่คิดจะชายตาแลร้านเงียบเหงาไร้คนเข้าสักนิด

 

 

 

 

 

โลกิถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้…ร้านของเขาไม่ได้มีรายได้มากมายอยู่แล้ว ยิ่งพอโดนแย่งลูกค้าไปหมดแบบนี้…รายได้เลยแทบจะกลายเป็นศูนย์ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความแค่ว่าจะไม่มีเงินค่าวัตถุดิบ…แม้แต่ค่าเช่าของทั้งร้านและอพาร์ตเมนท์ โลกิก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหามาได้ยังไง

           

 

 

 

 

บ้าชะมัด…

 

 

 

 

 

ร่างเพรียวสบถในใจ รู้ดีมันไม่ใช่ความผิดของชายหนุ่มผมทองแต่อย่างใด…เขาแค่หงุดหงิดเท่านั้นเองที่เห็นอีกฝ่ายเป็นที่รักด้วยนิสัยร่าเริงของเจ้าตัว โลกิมองออกว่าลูกค้าของร้านแพนเค้กนั้นทั้งติดใจรสชาติและความสดใสเป็นกันเองของเจ้าของร้าน…และอย่างหลังนี่เองที่ทำให้ผู้คนเต็มใจกลับมาอุดหนุนอีกครั้ง

 

 

 

 

 

           

สรุปคือ…เขามีร้านไอศกรีมที่ไม่มีใครคิดอยากเข้า กำลังจะไม่มีที่อยู่และเงิน แถมนิสัยไม่ดีด้วย…ใช่ไหม?

 

 

 

 

 

           

โลกิถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับความจริงของชีวิต…แต่ก็อดจิกสายตากรีดแทงข้ามถนนไปหาคนที่แย่งลูกค้าเขาไปหมดที่อีกฝั่งถนนไม่ได้ แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นก็ทำให้ชะงัก…นิ่งขึงตอนที่สายตาสบประสานกับดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นอย่างจัง

 

 

 

 

 

ความรู้สึกแปลกๆ พุ่งวาบในใจทันควัน…ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมองอีกฝ่าย แต่นั่นมันก็แค่แอบมอง ไม่ใช่สบตาตรงๆ แบบนี้…นั่นจึงทำให้โลกิรู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่ากำลังทำอะไรผิดอยู่ชอบกล

 

 

 

 

 

           

บ้าเอ๊ย…นี่มันเหมือนกับว่าเขาสนใจหมอนั่นอยู่อย่างนั้นแหละ!

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำสติแตกทันที นึกอยากแก้ความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดตามมาแต่รู้ดีว่าทำไม่ได้

           

 

 

 

 

 

แย่…แย่ที่สุด…หมอนั่นจะคิดว่าไงล่ะเนี่ย?!

       

 

 

 

    

เจ้าของร้านแพนเค้กจะคิดอย่างไรก็สุดจะรู้…แต่ที่แน่ๆ คือเจ้าตัวยิ้มร่าตอบมาพร้อมโบกมือให้เสียด้วย โลกิได้แต่ยืนนิ่งค้าง…คิดไม่ออกว่าควรจะตอบโต้อย่างไรกลับไป แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะมีคนมาหยุดตรงหน้าเคาท์เตอร์…บดบังภาพจากอีกฝั่งถนนไปได้มิด

 

 

 

 

 

“เอ่อ…” ลูกค้าที่โลกิจำได้ว่าเพิ่งย้ายเข้ามาแถวนี้ได้กวาดตามองเมนูที่ติดอยู่ตรงด้านหลังเขา “…แอปเปิ้ลมินต์ถ้วยนึงครับ”

 

 

 

 

 

โลกิรับคำเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีทางจะเป็นรสอื่นไปได้ (เขาทำไอศกรีมที่ขายด้วยตัวเอง และทำแค่ทีละรสเดียวด้วย) มือเรียวหยิบถ้วยกระดาษมาแล้วตักไอศกรีมใส่ลงไป…ลอบมองลูกค้าของตน เขาจำได้ว่าเคยเห็นชายหนุ่มผมดำหน้าตาเรียบร้อยคนนี้ผ่านมาหน้าโรงเรียนสองสามครั้ง และถ้าจำไม่ผิดก็มาเพื่อรับเจ้าเปี๊ยกสามคนนั่นด้วย

 

 

 

 

 

           

นัยน์ตาสีน้ำเงินสวยกับยิ้มหวานสดใส…ใครจะไปลืมคนหล่อน่ารักแบบนี้ได้ง่ายๆ กัน?

 

 

 

 

 

“คุณ…” โลกิเริ่มคำถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…นิสัยชอบทำอะไรตามใจตัวเองที่ดูจะแก้ไม่หายเสียแล้ว “…เพิ่งย้ายมาแถวนี้สินะ?”

 

 

 

 

 

“อืม…ใช่ครับ” ชายหนุ่มดูจะประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถาม แต่ก็ยิ้มนุ่มนวลแล้วตอบโดยดี “ผมอยู่บ้านที่มีเด็กๆ สามคนน่ะ…เรียนกันอยู่ที่นี่แหละ”

 

 

 

 

 

โลกิพยักหน้ารับ…มั่นใจแล้วว่าตนกำลังคุยกับคนที่กำลังเป็นที่พูดถึงว่าเป็นแฟนของชายหนุ่มผมน้ำตาลหน้าตาเย็นชาคนนั้น มือเรียวยื่นถ้วยกระดาษบรรจุไอศกรีมออกไปให้ อีกฝ่ายเอื้อมออกมารับ…ก่อนจะอุทานออกมาหลังตักทานไปได้หนึ่งคำ

 

 

 

 

 

“อร่อยจัง!”

 

 

 

 

 

โลกิอดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางเหมือนเด็กๆ นั้นไม่ได้…คนตรงหน้ารีบตีสีหน้าให้เป็นปกติ แต่แก้มที่เป็นสีชมพูก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

 

 

 

 

 

“มันอร่อยจริงๆ นะครับ…ผมไม่เคยกินรสนี้มาก่อนเลย” เสียงนุ่มพูดอุบอิบ “ไอศกรีมทำเองใช่มั้ยครับเนี่ย?”

 

 

 

 

 

โลกิพยักหน้า อีกฝ่ายชวนคุยนั่นนี่ต่อ…และก่อนไอศกรีมจะได้ทันหมดถ้วย ทั้งคู่ก็พูดคุยอย่างสนิทสนมกันไปเสียแล้ว โลกิรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกมากเพราะตนไม่ใช่คนที่จะสนิทกับใครง่ายๆ แบบนี้…แต่ชาร์ลส์ เซเวียร์ดูจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาแค่เพียงได้คุยกัน ซึ่งเขาเดาว่ามันคงเป็นเพราะความจริงใจที่ฉายชัดและรอยยิ้มอ่อนโยนของเจ้าตัวเป็นแน่

 

 

 

 

 

บทสนทนาดำเนินไปอีกสักครู่ ก่อนที่ชาร์ลส์จะขอตัวเพราะต้องมีไปซื้อของต่อ โลกิโบกมือตอบให้ตอนที่อีกฝ่ายกล่าวลา สมองกลับมาย้อนคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังอีกครั้ง…ถึงชาร์ลส์จะบอกชัดว่าตนไม่ได้เป็นอะไรกับชายหนุ่มที่อยู่ร่วมบ้านกันมากไปกว่าคนดูแลเด็ก แต่โลกิไม่คิดจะเชื่อเลยว่าคำบอกนั้นจะมีทางเป็นจริง

 

 

 

 

 

ต่อให้ตอนนี้อาจจะไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ก็คงจะได้เป็นในเร็ววันแหงๆ…ใครจะยอมปล่อยคนที่ทั้งนิสัยแล้วก็หน้าตาน่ารักแบบนี้ไปกันได้ล่ะ?

 

 

 

 

 

           

จนเมื่อร่างสมส่วนหายลับมุมถนนไปแล้ว โลกิจึงหันกลับมา…และสิ่งที่เห็นก็คือเจ้าของร้านแพนเค้กที่กำลังนั่งพักอยู่ คงเพราะช่วงนี้ลูกค้าซาลงไปแล้ว…ร่างสูงจึงมีเวลาได้หยุดจับกระทะเสียบ้าง มือใหญ่ดึงผ้ากันเปื้อนออกจากตัว เผยให้เห็นเสื้อยืดคอวีสีขาว…เสื้อธรรมดาไร้ลวดลายใดๆ ที่ดูฮอตขึ้นมาล้านเท่าได้เพราะหุ่นอันแสนจะเพอร์เฟคของคนสวม และเหมือนชายหนุ่มจะยังไม่รู้ตัวว่ากำลังทำลายระบบความคิดของคนมองแค่ไหน…เพราะมือใหญ่ขยับไปดึงคอเสื้อเพื่อพัดให้ตัวเอง ส่วนอีกข้างก็เอื้อมไปปลดให้ผมที่รวบไว้คลายตัวลงมา

   

 

 

 

 

        

พระเจ้า…

 

 

 

 

 

โลกิไม่มีอะไรเหลือในสมองเพราะทุกอย่างดูจะโดนภาพตรงหน้าเผาทำลายไปหมดแล้ว…พยายามไม่มองวงหน้าหล่อบาดใจที่มีเรือนผมสีทองสว่างปรกลงมานั้น แต่ก็พบว่าการเลื่อนสายตาหนีไม่ช่วยอะไรเลย…เพราะมันก็มาติดหนึบอยู่กับแผ่นอกสีแทนแบบนักกีฬาที่เห็นได้รำไรใต้คอเสื้อที่กระพือไปมาอยู่ดี

 

 

 

 

 

           

ให้ตาย…

 

 

 

 

 

 

โลกิรีบบังคับให้ตัวเองหันหลังให้หน้าร้านทันทีที่รวมสติได้ เขาไม่อยากจะยอมรับสักนิดว่าอันที่จริงชายหนุ่มผมทองก็หน้าตาตรงสเป็คสุดๆ…ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าเป็นเจ้าของร้านคู่แข่ง เขาคงมีวางแผนไปทำความรู้จักบ้างแล้ว แต่นี่อีกฝ่ายเล่นมาแย่งทั้งลูกค้าและเงินที่ควรจะเป็นของเขาไปเสียหมด โลกิเลยไม่คิดแม้แต่จะไปถามชื่อเสียด้วยซ้ำ

  

 

 

 

 

              

เขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด…เจ้าบ้าที่แย่งลูกค้าของเขาแล้วก็หน้าตาดีอย่างไม่มีมารยาทที่สุดคนนี้…เกลียดเกลียดเกลียด!!

   

 

 

 

 

        

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้โลกิหยุดวงจรความคิดสาปแช่งเจ้าของร้านแพนเค้กแล้วหันมากดรับ เสียงเรียบเฉยคุ้นหูดังมาตามสาย

 

 

 

 

 

“โลกิ…อยู่ที่ร้านหรือเปล่า?”

 

 

 

 

 

“ว่าไงไฮม์ดัล” ชายหนุ่มผมดำทักพอเป็นพิธี…คนทางปลายสายคือเจ้าของร้านจัดส่งของสารพัดอย่างที่เขาเป็นลูกค้าอยู่ “ของมาส่งแล้วเหรอ?”

 

 

 

 

 

“มาแล้ว” เสียงเรียบเฉยนี้ไม่เคยจะเปลี่ยนไปสักนิด…จนบางทีโลกิก็แอบสงสัยว่าเจ้าตัวมีลูกค้าได้ยังไงด้วยอัธยาศัยแบบนี้ “อยู่ที่ร้านฉันเลยตอนนี้…จะให้เอาไปส่งเลยไหม?”

 

 

 

 

 

“โอเคๆ” ร้านที่ว่าคือสาขาย่อยจากโกดังใหญ่ยักษ์ที่แยกมาเปิดในเมืองเพื่อให้ความสะดวกสบายกับลูกค้าที่สั่งของจำนวนเล็กน้อย…และโลกิเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าจำนวนนั้น “ไม่เป็นไร…เดี๋ยววันนี้ฉันไปเอาเอง”

 

 

 

 

 

ไฮม์ดัลรับคำก่อนจะตัดสายไป…ปกติโลกิจะให้ทางนั้นเอาของมาส่งที่ร้านไอศกรีมเสมอทั้งที่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลนัก เพียงแต่ตอนนี้เขานึกอยากจะเดินเล่น และคงต้องไปบอกอีกฝ่ายให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยว่าเขาคงจะงดการสั่งซื้อถ้วยกระดาษกับช้อนไอศกรีมไปสักพัก

 

 

 

 

          

เพราะจะซื้อถ้วยซื้อช้อนไปทำไม…ในเมื่อกำลังจะไม่มีร้านให้ขายไอศกรีมแล้ว?

          

 

 

 


โลกิจัดการล็อกประตูร้านให้เรียบร้อยแล้วออกเดิน ใช้เวลาไม่นานก็ถึงจุดหมาย และหลังจากที่จัดการบอกไฮม์ดัลว่าคงจะไม่สั่งซื้อของไปสักพักพร้อมจ่ายเงินให้กับของงวดนี้แล้ว…ร่างโปร่งก็ถือกล่องกระดาษใบย่อมเดินออกมาจากร้าน

 

 

 

 

 

เมื่อเทียบกับขามาที่เขาเดินตัวปลิวแล้ว…ขากลับนับว่าช้ากว่าเยอะ ถึงกล่องจะไม่หนัก แต่ขนาดของมันก็ถือยากพอสมควร โลกิได้แต่เดินเอียงไปเอียงมา…ต้องคอยทั้งประคองกล่องและระวังชนคน นึกดีใจขึ้นมาอย่างสุดซึ้งเมื่อเห็นว่าตัวเองมาถึงหัวถนนที่ทอดไปสู้ร้านของตนแล้ว

 

 

 

 

 

แต่ก่อนจะทันได้เดินต่อ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นมาอีก โลกิเอี้ยวตัวให้มั่นใจว่าแขนข้างเดียวของตนโอบกล่องไว้อย่างมั่นคงแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

 

 

 

 

 

“ว่าไง…โลกิ”

 

 

 

 

 

เสียงปลายสายที่ได้ยินก็ทำให้เขานึกเสียใจที่กดรับ แต่ก็ตอบกลับไปด้วยเสียงปกติ “มีอะไรรึเปล่าธานอส?”

 

 

 

 

 

“อย่ามาทำเป็นลืมหน่อยเลยน่า” เสียงแหบแห้งพูดเยาะๆ “เรื่องค่าเช่าน่ะว่ายังไง?”

 

 

 

 

 

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง…ของเดือนนี้น่ะฉันมีจ่ายได้หมดทั้งห้องทั้งร้านเลย” โลกิตวัดเสียงตอบห้วนๆ…ธานอสเป็นเจ้าของทั้งห้องอพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่และร้านไอศกรีมแห่งนี้ และก็ดูเหมือนจะรู้ถึงสถานการณ์การเงินของเขาดีเสียเหลือเกิน เพราะเจ้าตัวตามเร่งจะเอาค่าเช่ายิกๆ แถมไม่ปิดบังสักนิดด้วยว่าอยากจะไล่ที่เขาเต็มแก่แล้ว

 

 

 

 

 

“แล้วเดือนหน้าล่ะ?” ปลายสายถามต่อ “พูดกันตรงๆ ดีกว่าโลกิ…ร้านของนายน่ะมันไม่มีคนเข้าแล้ว นายคิดจริงๆ หรือไงว่าถ้าเปิดต่อไปก็จะมีวันขายได้?”

 

 

 

 

 

คำพูดแย่ๆ ที่ได้ฟังทำให้ชายหนุ่มผมดำโมโห เสียงทุ้มหวานตวัดตอบกลับไป “มันไม่ใช่เรื่องของนาย”

 

 

 

 

 

“ทำไมจะไม่ใช่?…มันเป็นเรื่องของฉันเต็มๆ เลยล่ะ” ธานอสหัวเราะหยันๆ “ฉันไม่คิดจะเปิดห้องเช่าให้คนที่ไม่มีเงินจะจ่ายหรอกนะ”

 

 

 

 

 

โลกิใจหายวูบ…เดาได้ก่อนอีกฝ่ายจะพูดออกมาเสียอีก

 

 

 

 

 

“…จ่ายค่าเช่าของเดือนนี้แล้วก็เก็บของออกไปได้แล้ว”

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ แต่ก็หยิ่งเกินจะขอร้องใคร…โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างธานอส จึงเคลือบน้ำเสียงของตนให้ฟังดูไม่ยี่หระ “รู้แล้วน่า…แล้วจะจัดการให้ โอเคมั้ย?”

 

 

 

 

 

ว่าจบ…นิ้วเรียวก็กดตัดสาย สูดลมหายใจลึกๆ พร้อมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง พยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นลง…แต่ทุกอย่างที่รุมเร้าเข้ามาก็ทำให้สมองของเขาคิดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มไม่ได้สนใจจะเดินอย่างระมัดระวังอีกแล้ว นั่นจึงทำให้ในอีกชั่วอึดใจถัดมา…เขาก็ต้องล้มลงไปนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้นเพราะชนกับใครสักคนเข้าเต็มเปา กล่องกระดาษหล่นตุ้บไปอีกทาง

 

 

 

 

 

เพราะรู้สึกเหนื่อยใจกับทุกอย่าง…โลกิจึงไม่อยากแม้แต่จะลุกขึ้นจากพื้นฟุตบาธ นัยน์ตาสีเขียวได้แต่มองไล่ไปตามก้อนอิฐ แว่วเสียงขอโทษขอโพยและฝีเท้าที่เดินไปเก็บกล่องกระดาษมาให้…ยังคงไม่ได้สนใจจะเงยหน้าขึ้นมาดูว่าใครคือคนที่เขาชนจนกระทั่งอีกฝ่ายเอื้อมมือมาดึงแขนเขา

 

 

 

 

 

“โทษทีนะ…โทษที” เสียงทุ้มพูดซ้ำๆ อย่างร้อนใจ “เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

 

 

 

 

 

มือแข็งแรงข้างนั้นดึงให้เขาลุกขึ้นได้อย่างสบายๆ…โลกิหยัดตัวให้ไม่เซ ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าพลางกล่าวตอบตามมารยาท

 

 

 

 

 

“ขอบคุณ…”

 

 

 

 

 

หางเสียงหายวับไปเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น…พบว่าคนที่เขาเดินชนคือเจ้าของร้านแพนเค้กที่นั่งสาปแช่งมาตลอด คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากันพร้อมสีหน้าบูดบึ้งระบายวาบทันที…สิ่งที่ทำให้คนมองยิ่งเข้าใจผิด

 

 

 

 

 

“ฉันขอโทษ…นายเจ็บใช่มั้ย?” นัยน์ตาสีฟ้ามีแววเสียใจฉายชัด แต่โลกิไม่คิดจะตอบคำถาม…อารมณ์เสียๆ จากปัญหาที่ตนกำลังเผชิญดูจะพุ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้เห็นหน้าเจ้าคนต้นเรื่องในระยะประชิดแบบนี้ เขาขยับให้มือของอีกฝ่ายหล่นไปจากบ่าตน ก่อนจะตวัดเสียงพูดห้วนๆ

 

 

 

 

 

“ส่งนั่นมา”

 

 

 

 

 

‘นั่น’ ที่ว่าคือกล่องกระดาษของเขา…โลกิยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าสามารถถือกล่องที่เขาต้องใช้สองมือประคองไว้ได้อย่างสบายๆ ด้วยแขนยาวแข็งแรงข้างเดียว แต่ชายหนุ่มผมทองดูจะไม่ได้สนใจคำพูดของเขา วงหนาหล่อเหลาก้มลงมาเพื่อมองสำรวจด้วยสีหน้ากังวล

 

 

 

 

 

“นายโอเคจริงๆ เหรอ?”

 

 

 

 

 

การก้มที่ช่วยย้ำถึงความสูงที่แตกต่าง (และเป็นเขาเสียด้วยที่เตี้ยกว่า…ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ) ยิ่งทำให้โลกิหงุดหงิดเพิ่มขึ้น กระชากเสียงตอบห้วนกว่าเดิม “ฉันบอกให้ส่งกล่องมาไง”

 

 

 

 

 

“ไม่เป็นไรๆ” เหมือนเสียงตวัดๆ ของเขาก็จะไม่ฟังดูเสียมารยาทพอ…ชายหนุ่มผมทองจึงดูจะไม่ได้รู้เลยว่าเขาไม่ได้พูดเพราะความเกรงใจ เจ้าตัวส่ายศีรษะเป็นเชิงบอกให้สบายใจพร้อมคำเสนอ “เดี๋ยวฉันถือให้ไปจนถึงร้านนายเอง”

 

 

 

 

 

ประโยคนี้บอกชัดว่าอีกฝ่ายเองก็จำเขาได้ โลกิยิ่งแอบสติแตกในใจเพราะมันทำให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า…จนลืมจะขัดขืนเมื่อมือแข็งแรงข้างที่ว่างอยู่เอื้อมมาจับมือของเขาแล้วดึงให้ออกเดินไปด้วยกัน พอร่างสูงหยุดที่ตรงทางม้าลาย…ชายหนุ่มผมดำจึงเพิ่งได้สติว่าตนกำลังโดนจูงมืออยู่

 

 

 

 

 

“เฮ้!” มือบางเขย่ารัวๆ “ปล่อยนะ! ฉันเดินเองได้!!”

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายส่งเสียงปรามเขาในลำคอเพราะเริ่มออกเดินอีกครั้งพอดี…โลกิจึงจำต้องปล่อยให้เลยตามเลย นึกในใจว่ามันช่างเป็นเรื่องน่าอายที่สุดในโลกที่ผู้ชายโตๆ อย่างตนต้องมาโดนจูงมือข้ามถนนแบบนี้

  

 

 

 

         

ขอย้ำอีกสักรอบเถอะ…เขาเกลียดไอ้หมอนี่ที่สุด…!!

   

 

 

 

        

เมื่อถึงหน้าร้านไอศกรีม…โลกิก็สะบัดมือของชายหนุ่มผมทองทิ้ง ไขกุญแจประตูร้าน ก่อนจะดึงกล่องกระดาษจากอีกฝ่ายมาอุ้มไว้แล้วเดินฉับๆ เข้าร้านโดยไม่พูดขอบคุณสักคำ เขาระบายความโมโหด้วยการกระแทกกล่องให้วางชิดตรงมุมห้องดังโครม…ก่อนจะขมวดคิ้วยิ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นว่าร่างสูงยังยืนรีๆ รอๆ อยู่ตรงด้านนอก

 

 

 

 

 

“อะไรอีกหา?” เสียงทุ้มหวานตวัดถามอย่างรำคาญใจ…เขาไม่อยู่ในอารมณ์จะรักษามารยาทสักนิด แต่เจ้าหมอนี่กลับดูจะไม่ได้รับรู้เอาเสียเลย

 

 

 

 

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะชนนาย…ขอโทษจริงๆ นะ” วงหน้าหล่อบาดใจนั้นยังคงมีความเสียใจระบายอยู่ชัด…ชวนให้นึกถึงหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตที่ทำหน้าหงอยเพราะโดนดุยิ่งนัก

 

 

 

 

 

นัยน์ตาสีเขียวหรี่นิดๆ…ตัดสินใจไม่พูดออกไปว่าตนต่างหากที่เป็นคนเดินชน ก่อนจะเชิดหน้าพูดเสียงหยิ่งๆ กลับไป

 

 

 

 

 

“รู้ตัวก็ดี…แต่มันไม่เป็นไรหรอก” เขาสมอ้างตามคำอีกฝ่าย รู้ว่ากำลังทำตัวนิสัยไม่ดีมากๆ…หากก็ให้ท้ายตัวเองด้วยเหตุผลว่าความรู้สึกเสียใจแค่นี้ยังไม่สาสมกับปัญหาที่คนตรงหน้าก่อในชีวิตเขาสักนิด “เพราะยังไงฉันก็ล้มไปแล้ว คำขอโทษมันแก้อะไรไม่ได้หรอกนะ…นายจะไปไหนก็ไปซะเถอะ”

 

 

 

 

 

นัยน์ตาสีฟ้านั้นยิ่งหงอยลงกว่าเก่ากับคำไล่…ภาพที่ทำให้โลกิรีบมองไปทางอื่นแทน ในใจนึกก่นด่าความเป็นจริงที่ว่าเขาดูจะแพ้ทางชายหนุ่มผมทองในทุกด้านจริงๆ…ร่างโปร่งขยับจะถอยกลับเข้าไปที่หลังร้าน แต่ก็โดนหยุดไว้ด้วยเสียงทุ้มที่พูดเบาๆ

 

 

 

 

 

“เอ่อ…ฉันขอซื้อไอติมได้มั้ย?”

           

 

 

 

 

 

ให้ตาย! หมอนี่จะเสียใจบ้าบออะไรนักหนา?!

 

 

 

 

 

 

โลกิคำรามในใจ…แต่ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างแล้วว่าการเล่นละครสุดใจร้ายของตนคงจะมากเกินไป แถมอีกฝ่ายก็ดูจะเชื่อหมดใจเสียด้วย…จึงยอมพยักหน้าโดยดี เขาตักไอศกรีมใส่ถ้วยแล้วเดินออกไปยื่นให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์

 

 

 

 

 

“เอ้า…ไอติม”

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำยังคงรักษาระดับความหมางเมินในน้ำเสียงเอาไว้…แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาอย่างตอนแรกแล้ว นั่นจึงทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้น…มือใหญ่ค้นหาเหรียญจากกระเป๋ากางเกงมาจ่ายให้พร้อมยิ้มกว้าง

 

 

 

 

 

“ขอบใจ”

 

 

 

 

 

โลกิไม่ได้นับเงินว่าครบไหมด้วยซ้ำเพราะในหัวมีแต่ภาพรอยยิ้มสดใสเหมือนวันในฤดูร้อนตรงหน้า…สาบานได้ว่าเหมือนจะเห็นหูกับหางหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ส่ายพั่บๆ อย่างยินดีประกอบไปด้วย เมื่อได้สติ…เขาก็บังคับให้ตัวเองพยักหน้ารับแกนๆ ไป เปิดลิ้นชักตรงเคาท์เตอร์เพื่อเก็บเหรียญ…นึกเจ็บใจนิดๆ ขึ้นมาอีกรอบตอนที่คิดได้ว่านี่เป็นเงินจากคนที่แย่งลูกค้าเขาไปจนหมด

           

 

 

 

 


โอเค เขารู้ว่ามันไม่ใช่…แต่มันเหมือนไอ้หมอนี่เอาเงินที่ขโมยจากเขาไปมาซื้อไอศกรีมของเขาอีกทีชัดๆ!

 

 

 

 

 

เสียงเลื่อนเก้าอี้ทำให้นัยน์ตาสีน้ำทะเลตวัดมอง…แทนที่พอได้ไอศกรีมแล้วจะกลับไป ร่างสูงกลับดันเลือกจะนั่งทานตรงโต๊ะที่จัดไว้หน้าร้าน โลกิได้แต่ขยำผ้าเช็ดเคาท์เตอร์ (ผืนเดิมกับที่ขยำเมื่อเช้า) เพื่อระบายความอยากโวยวาย

 

 

 

 

 

          

เจ้าหมอนี่มันโง่หรือโง่กันแน่เนี่ย…ไม่รู้หรือไงว่าควรรีบออกไปให้พ้นสายตาเขาได้แล้ว?!

 

 

 

 

 

แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้…ร่างบางก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่ง เท้าแขนลงกับเคาท์เตอร์แล้วมองออกไปเรื่อยเปื่อย ในใจคิดอย่างทอดอาลัยว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไปดี…อีกแค่ไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว นั่นหมายความว่าอย่างน้อยเขาก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ได้…ซึ่งชายหนุ่มยังมองไม่เห็นทางด้วยซ้ำว่าจะเป็นไปได้อย่างไรด้วยสถานะการเงินตอนนี้ของตน

   

 

 

 

 

        

เสียทั้งงานและที่อยู่ในคราวเดียว…จะมีอะไรบัดซบได้มากไปกว่านี้ไหมนะ?

 

 

 

 

 

“เป็นอะไรรึเปล่า?”

 

 

 

 

 

ความเหนื่อยล้าของเขาคงฉายชัดในสีหน้า…ชายหนุ่มผมทองจึงเอ่ยถามขึ้นมา โลกินึกอยากจะโต้กลับไปว่าไม่ต้องมายุ่ง…แต่ก็รู้ดีว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย จึงจัดการให้ตัวเองพูดตอบไปด้วยเสียงปกติ

 

 

 

 

 

“อยากกินอีกมั้ย?”

 

 

 

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าใสฉายแววงงๆ…แต่โลกิไม่สนใจ เขารู้ดีว่านี่เป็นการเสเปลี่ยนเรื่องที่ไม่แนบเนียนจนน่าอาย แต่ถ้าจะให้เริ่มต้นพูดถึงปัญหาและความเครียดที่มี ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตัวเองจะต้องควบคุมอารมณ์ทุกอย่างไม่ได้แน่ๆ…และสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการตอนนี้คือการแสดงความอ่อนแอให้คนที่ตนไม่ชอบขี้หน้าที่สุดได้เห็น

 

 

 

 

 

“เอ่อ…”

 

 

 

 

 

เสียงทุ้มจะเริ่มต้นประโยคใหม่ แต่เขาก็ตัดบทด้วยประโยคเดิม

 

 

 

 

 

“อยากกินอีกมั้ย?”

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมทองมองเขา…มันไม่ใช่สายตาที่คมกริบหรือเหมือนจะพยายามอ่านใจแต่อย่างใด มันเป็นแค่การมองนิ่งๆ…ราวกับบอกว่าจะรอฟังเสมอต่อให้เขาจะต้องการเวลานานแค่ไหนก่อนจะอยากเล่าออกมา และนั่นก็ทำให้โลกิรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมาแบบแปลกๆ…เขาจึงเสก้มหน้าลงเพื่อตักไอศกรีมใส่ในถ้วยใบใหม่ก่อนจะเดินออกไปที่ตรงโต๊ะ

 

 

 

 

 

“กินซะ…ถือว่าฉันเลี้ยงละกัน” มือบางวางถ้วยไอศกรีมลงบนพื้นโต๊ะ เสียงพูดตวัดห้วนตามอารมณ์

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมทองไม่ได้ขยับ มีเพียงความเห็นง่ายๆ “รสเดิมนี่?”

 

 

 

 

 

 

“อืม” โลกิตอบสั้นๆ…เลื่อนถ้วยให้ชิดมืออีกฝ่าย “มีแค่รสนี้แหละ”

 

 

 

 

 

“แล้วเมื่อไหร่จะมีรสใหม่ล่ะ?” เสียงทุ้มถามเย้าๆ…แต่รอยยิ้มก็หายไปจากมุมปากเมื่อได้ฟังคำตอบ

 

 

 

 

 

“ไม่มีหรอก…” โลกิพบว่าความจริงทำให้รู้สึกว่างเปล่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ “…จะไม่มีแล้ว”

 

 

 

 

 

“เอ่อ…ฉันไม่เข้าใจ” อีกฝ่ายดูจับต้นชนปลายไม่ถูก “นายหมายความว่าไงน่ะ?”

 

 

 

 

 

“ฉันหมายความว่า…จะไม่มีไอศกรีมแล้ว…จะไม่มีร้านนี้แล้ว…จะไม่มีฉันอยู่ที่นี่แล้ว” เสียงหวานพูดช้าๆ อย่างจงใจ กระแสเสียดสีชัดเจน…ซึ่งโลกิห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ “ฉันจะปิดร้านแล้ว…คงไม่มาแล้วล่ะ”

 

 

 

 

 

 

คนพูดเองก็เพิ่งตระหนักได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันสุดท้ายแล้วของร้านนี้…เพราะเขาต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ก่อนสิ้นเดือน คงไม่มีเวลามานั่งใจเย็นขายไอศกรีมจนกว่าจะโดนไล่ที่แน่ ความเครียดที่หายไปชั่วครู่โถมกลับมาใหม่…โลกิจึงยักไหล่เป็นเชิงจบบทสนทนาแล้วเตรียมจะเดินกลับเข้าร้าน แต่มือแข็งแรงของอีกฝ่ายกลับเอื้อมมาคว้ามือเขาไว้

 

 

 

 

 

“นายไปไม่ได้นะ…!”

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างประหลาดใจ…นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว นั่นจึงไม่น่าจะมีทางเป็นได้สักนิดว่าคนตรงหน้าจะเสียใจมากมายอะไรถ้าเขาไปจากย่านนี้ แต่ประโยคเหนี่ยวรั้งนี้กลับฟังดูเหมือนอีกฝ่ายพูดเพราะเป็นใจจริงโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองใดๆ ทั้งนั้น…จึงทำให้เขายิ่งสงสัยว่าคำพูดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกัน

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมทองสังเกตได้ถึงสายตาของเขาที่มองมือที่เกี่ยวกุมกันอยู่…เจ้าตัวจึงรีบปล่อยมือก่อนจะพูดเสียงติดขัด

 

 

 

 

 

“เอ่อ…ฉันหมายความว่า…จะไปทำไมล่ะ” นัยน์ตาสีฟ้าหลุบลง “ไอติมนายก็อร่อยดีออก…ทำไมจะเลิกทำล่ะ?”

 

 

 

 

 

โลกิถอนหายใจออกมาดังๆ ก่อนจะชี้แจงด้วยเสียงหน่ายๆ “นายดูลูกค้าร้านนายกับร้านฉันสิ…ฉันไม่ได้ป็อปเหมือนนายนะ อย่างร้านฉันน่ะเรียกว่าขายไม่ออกไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

คำพูดของเขาทำให้สีหน้าหมาหงอยเลวร้ายหนักกว่าเดิม เสียงทุ้มกล่าวเบาๆ ราวกับว่ากำลังตระหนักได้ถึงความผิดของตัวเอง

 

 

 

 

 

“ฉัน…ทำให้นายต้องไปเหรอ…?”

 

 

 

 

          

ใช่เลยไอ้เบื๊อก…ขอบคุณที่เพิ่งมารู้เอาตอนนี้นะ

 

 

 

 

 

คำพูดร้ายกาจดำมืดดังรัวๆ ในหัว…แต่โลกิก็ต้องฝืนพูดความเป็นจริงออกไป

 

 

 

 

 

“ไม่หรอก…มันไม่ใช่เพราะนายหรอก” เขาไม่อยากจะยอมรับสักนิด…แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้ไม่มีร้านแพนเค้กก็ใช่ว่าจะมีคนเข้าร้านเขามากมาย “ร้านฉันเองก็ไม่ได้ขายได้ดีมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ”

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายยังคงไม่เอ่ยอะไร…เปิดช่องให้คำพูดกึ่งรำพึงของเขาดังชัดในความเงียบ

 

 

 

 

 

“ช่างเถอะ…แค่ย้ายออกเอง ฉันก็ไม่ได้มีอะไรให้เสียใจสักหน่อย” โลกิไม่เคยรู้สึกผูกพันกับอะไรมากมายนัก…และร้านนี้กับอพาร์ตเมนท์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แถมเขาก็ไม่ได้สนิทกับใครในย่านนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง “แต่ถ้าหาที่อยู่ไม่ได้ ก็คงต้องไปอยู่กับ…ใครสักคนน่ะนะ”

 

 

 

 

 

โลกิไม่ได้พูดออกไปตรงๆ ว่า ‘ใครสักคน’ ที่ว่าคือบรรดาคนที่เคยแวะเวียนเข้ามาจีบและเขาเองก็มีเล่นด้วยกลับไปบ้าง…ชายหนุ่มแค่เน้นเสียงนิดๆ พอให้เป็นที่รู้กัน ไม่ได้คิดหวังว่าเจ้าทึ่มตรงหน้าจะเข้าใจ แต่กลับผิดคาด…สีหน้าของอีกฝ่ายบอกชัดว่าเจ้าตัวรู้ความหมายที่ถูกต้องแบบไม่มีผิดพลาด

 

 

 

 

          

ไอ้โกลเด้นรีทรีฟเวอร์จิตทราม…ทีเรื่องอย่างนี้นี่ฉลาดขึ้นมาเชียวนะ

 

 

 

 

 

โลกิแอบคิดในใจอย่างหมั่นไส้ แต่ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คงเป็นเพราะนัยน์ตาสีฟ้าที่แววหงอยๆ ในตอนแรกโดนแทนที่ด้วยสายตาแข็งกร้าวแบบแปลกๆ…มันทำให้เขารู้สึกว่าไม่น่าพูดประโยคสุดท้ายออกไปเลย ชายหนุ่มตัดสินใจจบบทสนทนานี้ลงด้วยการหันหลังจะกลับเข้าร้าน…แต่ก็โดนรั้งมือไว้อีกครั้ง

 

 

 

 

 

“ถ้านายจะหางานใหม่…” เสียงทุ้มกล่าวเนิบช้า แต่ไม่มีกระแสความลังเล “…มาทำที่ร้านฉันก็ได้”

 

 

 

 

 

สิ่งที่ได้ฟังทำให้โลกิลืมว่าตัวเองโดนอีกฝ่ายจับมือเป็นครั้งที่สามแล้วของวัน…เขาหันกลับมาสบตากับอีกฝ่าย ขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อว่าตนได้ยินถูกต้อง

 

 

 

 

 

“นายว่าไงนะ?”

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมทองทวนคำเดิม “ฉันบอกว่า…นายมาทำงานที่ร้านฉันก็ได้”

 

 

 

 

 

โลกินึกอยากจะหัวเราะกับเรื่องราวไร้สาระที่ตนกำลังได้ฟังอยู่…แต่ความจริงจังในดวงตาสีฟ้าที่ได้เห็นก็บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น เขาจึงถามย้ำอีกรอบด้วยเสียงแผ่วเบาไม่แน่ใจ

 

 

 

 

 

“นาย…พูดจริงเหรอ?”

 

 

 

 

 

 

“ฉันเองก็มีคิดๆ ไว้อยู่แล้วน่ะว่าจะสั่งไอศกรีมมาขาย เพราะฉันกะว่าจะทำวัฟเฟิลหรือไม่ก็เครปเพิ่มจากแค่แพนเค้ก” ชายหนุ่มผมทองแจกแจง “แต่ถ้าได้เป็นของทำเองคงยิ่งดีกว่าสั่งมา…นายสนมั้ยล่ะ?”

 

 

 

 

 

โลกิกระพริบตาปริบๆ…ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ดูเหมือนตีลังกากลับไปกลับมาจนน่ามึนงงไปหมดแล้ว เขาเสียลูกค้าแต่ได้เพื่อนใหม่…อยู่ดีๆ ก็มีอันให้ได้คุยกับคนที่ตนพยายามเลี่ยงมาตลอด…และหลังจากที่เครียดเรื่องงานเก่าเสียมากมาย จู่ๆ ก็มีงานใหม่มาเสนอให้เสียอย่างนั้น

 

 

 

 

 

หลังจากที่สมองของเขาประมวลผลความจริงสุดพิลึกพิลั่นได้หมดแล้ว…โลกิก็คิดต่อว่าจะทำอย่างไรกับข้อเสนอนี้ดี ปัญหาเดียวคือจะต้องมาเจอหมอนี่ทุกวัน…แต่ตัวเขาเองในตอนนี้ก็ไม่อยู่ในฐานะจะเลือกมากได้ และถึงอีกฝ่ายจะยังไม่ได้พูดว่าเขาจะได้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ตาม…แต่โดยรวมแล้วมันก็ฟังดูน่าจะโอเค แล้วเรื่องที่ต้องเครียดก็จะหายไปครึ่งนึงเลยทีเดียว

     

 

 

 

 

      

แต่ว่า…

 

 

 

 

 

โลกิทำหน้ายุ่งกับสิ่งที่ตนลืมไป…เขายังต้องหาที่อยู่ใหม่ และปัญหาคือเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นที่ไหน…ซึ่งนั่นหมายความว่ามันอาจจะไกลจากย่านนี้จนเกินไปก็ได้ เขาพยายามไล่คิดรายชื่อของบรรดา ‘ใครสักคน’ ที่น่าจะยอมให้เขาอยู่ด้วยแบบระยะยาว…แต่ก็โดนขัดด้วยเสียงทุ้มที่ถามขึ้น

 

 

 

 

 

“นายไม่โอเคเหรอ?”

 

 

 

 

 

“ไม่ๆ…ฉันโอเค แต่ฉันคิดอยู่ว่าจะไปอยู่กับใครได้…”

 

 

 

 

 

ประโยคไม่ถูกกล่าวจนจบเพราะโลกิเพิ่งรู้ตัว กัดริมฝีปากอย่างโมโหตัวเอง…คำถามปุบปับทำให้เขาตอบไปอย่างไม่มีการรักษาท่าทีเลยสักนิด แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจ นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงนิดๆ…และถ้าเขามองไม่ผิด ประกายกรุ่นๆ แบบไม่พอใจจุดวาบในชั่ววินาที

 

 

 

 

 

“งั้นก็ไม่ต้องคิดหรอก เพราะค่าจ้างนายคือที่อยู่” ชายหนุ่มผมทองพูด “นายทำงานให้ฉัน ฉันให้นายแชร์ห้องอยู่ด้วยฟรีๆ…โอเคมั้ย?”

 

 

 

 

 

โชคดีที่ยังพอมีสติ…โลกิจึงไม่ได้ประหลาดใจจนอ้าปากค้าง นึกสงสัยอีกรอบว่าวันนี้โชคชะตาคิดจะทำให้เขาหัวหมุนไปถึงไหน รู้ดีว่าตนไม่มีทางจะปฏิเสธข้อเสนองานนี้ได้ เพียงตอนนี้ปัญหาจะไม่ได้เป็นแค่ต้องเจอหน้าอีกฝ่ายทุกวัน…แต่กลายเป็นทุกวันและทุกคืนแทนเสียแล้ว

           

 

 

 

 

ให้ตาย…นี่เขาต้องอยู่กับหมอนี่ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันงั้นเหรอ…?

 

 

 

 

 

โลกิคิดคาดคะเนทุกอย่างในใจ…ไม่ใช่แค่เขาไม่ชอบหมอนี่เพราะมาแย่งลูกค้า ปัญหาอีกข้อคือเขาหวั่นไหวเวลาเห็นอีกฝ่าย โลกิรู้ตัวดีว่าตนมักเลือกชอบคนเพราะหน้าตาเสมอ…นั่นจึงทำให้หลายความสัมพันธ์ที่เคยมีจบลงอย่างไม่สวยนักเพราะเขาไม่เคยรู้สึกเกินเลยอะไรกับใครมากไปกว่าแค่คู่ควงชั่วคราว และไม่ได้เสียใจหรือเสียดายอะไรสักนิดตอนเลิกกัน

 

 

 

 

 

          

ไม่มีใครหยุดเขาไว้ได้…เพราะเขาไม่ได้ต้องการจะหยุดตัวเอง

 

 

 

 

 

ชายหนุ่ม (แอบ) หรี่ตามองคนที่นั่งรอคำตอบอยู่…ถ้าเขาคิดอยากให้ตัวเองมีที่อยู่และงานทำจนกว่าจะหาทางอื่นได้ สิ่งที่ต้องทำก็คือหยุดคิดถึงความฮอตของเจ้าหมอนี่หรือพยายามตีสนิทด้วยประการทั้งปวง…เพราะว่าถ้าเกิดความสัมพันธ์ได้ขยับเกินเลยเป็นความรักเมื่อไหร่ ตนไม่เคยจัดการมันได้ดีเลยสักครั้ง โลกิรู้ว่าเขาเก่งมากในการจะไม่รู้สึกอะไรกับใครเลย แต่ก็รู้ดีพอกันว่ามันเป็นการเดิมพันที่อันตรายใช่ย่อย…ความรู้สึกจะเล่นตลกเสมอในเวลาที่ไม่ต้องการที่สุด

      

 

 

 

     

แต่มาคิดอีกที…เขาก็เคยคบกับคนหน้าตาดีมาตั้งเยอะแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยนี่นา…แล้วเจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์จอมซื่อบื้อเนี่ยนะจะมาทำให้สถิติที่มีเปลี่ยนแปลง?

        

 

 

 

   

โลกิเม้มปากเพื่อซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์…ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยรักเคยชอบใครจริงจังสักครั้ง รู้ดีว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรภูมิใจแต่เขาก็ภูมิใจอยู่ดี และใครจะบ้าปล่อยให้ข้อเสนองานแถมบ้านฟรีแบบนี้หลุดมือไปได้กัน

        

 

 

 

  

ใช่…จะต้องมากลัวทำไมในเมื่อเขาจัดการเรื่องพวกนี้ได้ง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น…?

 

 

 

 

 

โลกิคิดสรุปอย่างมั่นใจ นัยน์ตาสีเขียววาววับ ยิ้มมุมปากตอนพูดตอบอย่างชัดเจน

 

 

 

 

 

“โอเค…ฉันตกลง”

  

 

 

 

 

        

ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่มากไปกว่าการชอบเพราะหน้าตาเท่านั้นแหละ…เขาไม่มีทางจะตกหลุมรักเจ้าหมอนี่จริงจังแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
 
 
 
 
สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกคน วันนี้ศุกร์สิบสามค่ะ รู้สึกชอบอย่างไม่มีเหตุผล แล้วพรุ่งนี้ก็เดดไลน์ซีเครทอเวนเจอร์สแล้วสินะคะ เลยลงฟิคเป็นกำลังใจให้ค่ะ<3
 
 
 
 
 

 หลังจากตบตีกับการเขียน ก็ได้มาเป็นคู่ที่สองของเรื่องนี้ค่ะ ตอนแรกที่คิดไว้คือแค่เล่นๆเอง แต่พอยิ่งคิดยิ่งแบบ…เออมันไปได้เเฮะ เลยตัดสินใจวางพล็อตแล้วก็เขียนค่ะ สารภาพว่าตอนแรกคิดว่าจะโดนด่าว่าเพ้อเกินไปซะแล้วล่ะค่ะ เลยมากดีใจที่ชอบกัน 😉

#เจเรนเนอร์ยังอึ้ง

 

 

 

ถ้าถามว่าอ่านแยกกันแล้วจะไม่รู้เรื่องหรือเปล่า อันนี้ทิพย์ก็ยังไม่แน่ใจค่ะ (สาบานว่านี่เขียนเอง) เพราะที่วางพลอตไว้มันก็อาจมีเรื่องของทางอีริคชาร์ลส์เข้ามาแจม และเรื่องของธอร์กิไปแจมเรื่องหลักค่ะ เพราะงั้นทางที่ดีอ่านทั้งคู่อาจจะได้เนื้อเรื่องที่ครบกว่านะคะ เพราะกะให้มันเป็นเรื่องเดียวกันค่ะ ไม่ได้แยกชัดเจนว่าเรื่องใครเรื่องมัน

 

 

ตอนนี้กำลังตกหลุมรักอัลบั้ม Anchor ของ Mindy Gledhill ค่ะ เพลงสวยมากเลย ฟังแล้วมีความสุข สดใสมากๆ ฟังได้ทั้งอัลบั้มเลยค่ะ เปิดเวลาปั่นฟิคนี้ด้วย แต่ธีมของโลกิเวอร์ชั่นนี้ ทิพย์ว่าเป็น Again and Again ของ the bird and the bee ค่ะ เนื้อเพลงมันเป๊ะมาก… I hate you, I want you, I hate you, I want youuuu อะฮิฮิฮิ

 

 

บทนี้ยาวมากเลยเนอะ แต่มันหาทางตัดแยกไม่ได้เลยค่ะ ;___; หวังว่าจะไม่เบื่อกันนะคะ อย่างที่นุ้งแตม @darkdarkorange  บอกไว้…โลกิส่องหนุ่มโคตรอ่ะค่ะ LOLOLOL เพราะงี้แหละถึงลืมขายไอติม #โดนเขาแทง เราโดนนุ้งออซ @chaoss แซวด้วยว่าเคะเรื่องนี้ถังแตกทุกคน ฮาาาาาา ก็เคะถังแตกมันน่ารักนี่นา<3

 

#เพื่อนแชร์แฟลตผมก็ถังแตกและโมเอะครับ

 

 


พล่ามมาซะยาวแล้ว…ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ อ่านแล้วมีกำลังใจเขียนมากๆๆๆๆๆ ดีใจมากค่ะที่ทุกคนเข้ามาอ่าน+ชอบฟิคที่เขียน *กอด* ไว้หลังสอบแล้วกลับไทยจะตามไปหาที่บล็อกแน่ค่ะ ><

“นักอ่านเงา…ไม่คอมเมนต์ให้ โลกิเสียใจนะ”

เจอกันเอนทรี่หน้าค่ะ 😉

ทิพย์เอง

 

 

 

ps. เห็นรูปนี้แล้วแบบ….พี่ธอร์ชัดชัดดดดดด<3<3<3 เขายิ้มด้วยอ๊ะะะะะ #กอดหนุบหนับ

 [+] : 14 July 2012

ไอติมแอปเปิ้ลมินต์เคยโผล่มาในฟิคทิพย์ก่อนหน้านี้ครั้งนึงแล้วนะ 😀 จำได้มั้ยคะว่าเรื่องไหน

 

 

 

 


12 responses to “[The Avengers Fic][ThorKi] Where Our Hearts Belong (8)

  1. ขำโลกิ ส่องหนุ่มแล้วคิดเองเออเองเสร็จสรรพ
    แบบวูบนึงด่าๆๆๆ แต่วูบนึงก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ผิด แต่ก็เขม่นในใจ 55555
    ช่างสับสนแท้ 55555 พออยู่ด้วยกัน ใกล้กันมากขึ้นคราวนี้แหละซ่าไม่ออกแน่หนุ่มน้ำแข็ง โฮะๆๆๆๆ

    Like

  2. หลงมาจากในtwitterค่ะ
    น่ารักมากๆเลย เราชอบคู่นี้มากๆค่ะ แต่นานๆจะเจอฟิคใสๆน่ารักๆแบบนี้ มโนตามแล้วฟินน ฮ่าา

    Like

  3. น น่ารักกกก ธอร์น่ารักกกก เเต่ก็ไม่ซื่อบื้อนะ นางก็ทันคนนะเออ
    โลกิตกลงก็ถูกต้องเเล้ว ได้งานเเล้วยังได้สามี เอ้ยได้ที่อยู่อย่อีก ทำถูกเเล้วลูกกกก

    Like

  4. อ่านแล้วหิวมากถึงมากที่สุดค่ะะ รู้สึกอ่านไปแล้วได้กลิ่นแพนเค้ก #ไม่ใช่และ 555 รูปน้องโกลเด้นสุดท้ายทำเอาลั่นเลยค่ะ มองกี่ทีๆพี่ธอร์เราก็เหมือนเมะหมาน้อยตัวโตๆจริงๆ ส่วนคาแรกเตอร์โลกิก็ใช่เลยค่ะ ! ไรท์เขียนได้เหมือนรู้ใจมากก

    Like

  5. อยากจะบอกว่าตอนบรรยายธอร์ตอนจับกระทะทำแพนเค้ก เห็นภาพเป็นลุงขายเครปที่หน้ารร.ตอนม.ต้นค่ะ…. /จรลีเข้ากลีบเมฆ

    Like

  6. ฉากที่ชาร์ลส์กับโลกิเจอกันมันมีคำนึงแว้บขึ้นมาในหัวค่ะ ‘นี่มันสมาคมแม่บ้านทหารอวกาศ!!!’ 55555555

    Like

  7. รีทรีฟเวอร์จิตทราม XD
    งานนี้สงสัยโลกิคุงคงต้องจัดสถิติใหม่

    Like

Leave a comment