* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้มีบางส่วนที่เป็นแฟนฟิคชั่น boys’ love..ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *
“เอ้า…ใช้ได้แล้ว”
จริงดังคำวินิจฉัย…ในเวลาอีกไม่กี่วันถัดมา ขาของสป็อคก็เข้าสู่สภาพเกือบเหมือนปกติจนพร้อมกลับบ้านได้…คุณสัตวแพทย์ตบหลังเจ้าแมวน้อยเบาๆ หลังพันผ้าพันแผลชิ้นใหม่ให้จนเสร็จเรียบร้อย เขาโทรบอกแครอลแล้วว่าจะเข้ามารับสป็อคตอนไหนก็ได้ตามสะดวก…ซึ่งหญิงสาวก็บอกว่าคงเป็นช่วงหลังเที่ยงไปเลยเพราะวันนี้ตนติดสอนคาบบ่าย และเพราะนี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว คุณหมอจึงเช็คแผลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเธอจะมา
แล้วพอพูดถึงแครอล…
ทั้งๆ ที่หงุดหงิดตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่แมคคอยก็อดเหลือบตาไปมองเจ้ากระถางทานตะวันของตัวเองไม่ได้จริงๆ ตอนที่อุ้มสป็อคให้ออกมานั่งรอที่หน้าเคาเตอร์…ชายหนุ่มหัวเสียกับเจ้าต้นไม้จอมขี้เกียจนี่ชะมัด เพราะนอกจากที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยผลิดอกให้คุ้มค่าน้ำที่รดๆ ให้แล้ว…พอลงได้มามีดอกตูมเข้า ก็ต้องยึกยักไม่ยอมบานสักทีแบบนี้เสียด้วยอีก ดอกตูมที่ว่านี้เป็นสีเหลืองสดแล้ว…บอกให้รู้ว่าอีกวันสองวันก็คงบาน แต่นั่นก็ช้าเกินไปแล้วที่จะให้แครอล มาร์คัสมาทันได้เห็นมัน
…และคุณหมอก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนถึงได้งุ่นง่านนักที่เหตุการณ์จะเป็นเช่นนั้น
เลโอนาร์ด แมคคอยไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน…ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เรื่องใหญ่ๆ ที่จะทำให้สมองเขาคิดถึงอยู่ซ้ำๆ ได้นั้นมีแค่ไม่กี่เรื่อง และส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะเกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นสักเท่าไหร่…เพราะฉะนั้นชายหนุ่มจึงไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงหลังๆ ถึงได้มาใช้เวลามากมายนักกับการคิดคาดเดาความรู้สึกของสาวน้อยผมบ็อบ
ก็เธอมาฝากสัตว์เลี้ยงบาดเจ็บไว้ในการดูแลของเขา…เพราะงั้นเขาก็ต้องคอยทำให้เธอสบายใจสิ…แค่นั้นแหละ…
แมคคอยขมวดคิ้วใส่กระถางดอกทานตะวันอีกครั้ง…บอกตัวเองว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น บอกตัวเองว่าเขาไม่ได้สนใจเลยว่าดอกไม้นี่จะบานทันเพื่อจะได้มอบให้เธอได้ตามคำเสนอของตนก่อนหน้านี้ไหม บอกตัวเองว่าการที่แครอล มาร์คัสเป็นผู้หญิงคนแรกในรอบหลายปีที่เขาไม่รู้สึกรำคาญใจที่ได้พูดคุยด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรเลย
เสียงจากหน้าประตูทำให้คุณหมอเงยหน้าขึ้น…คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหญิงสาวที่กำลังเป็นประเด็นหลักในหัวเขาอยู่ วันนี้แครอลสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนแบบง่ายๆ แต่ดูกระฉับกระเฉงตามนิสัยของเธอ…รอยยิ้มแข็งขันหากอ่อนหวานถูกส่งมาพร้อมคำทักทาย
“หวัดดีค่ะคุณหมอ”
แมคคอยเตะส่งต้นเสียงโง่ๆ ในใจของตนที่บอกว่าสาวน้อยดูเข้ากับเสื้อผ้าโทนสีฟ้าดีชะมัดให้เงียบซะก่อนจะตอบหน้านิ่งๆ “หวัดดีครับมิสมาร์คัส ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าคุณจะเข้ามาสักช่วงไหน…”
ระหว่างที่มนุษย์ทั้งสองกำลังคุยตามมารยาทกันอยู่นั้น…สป็อคก็นั่งอย่างเรียบร้อยอยู่บนพื้น เอามือแตะๆ หูและเส้นผมของตนนิดหน่อยเพื่อตรวจดูว่าไม่มีอะไรดูยุ่งเหยิงแล้วฟังต่อไป…คุณหมอกับแครอลกำลังคุยถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมดอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าเมื่อบทสนทนานี้จบลง…เขาก็จะได้กลับบ้านเสียที
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าแมวน้อยต้องการมาตลอด…แต่ทำไมก็ไม่รู้ พอมันมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้แล้ว ใจของสป็อคกลับโหวงๆ ชอบกล
นี่มันไม่มีเหตุผลที่สุด…ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้กันล่ะ…?
“สปว็อค…?”
เสียงที่ตอนนี้คุ้นหูเขาไปแล้วแบบไม่มีทางเลี่ยงดังมาจากกรอบประตูห้องรักษาแผลด้านหลัง…จิมเดินขยี้ตาเข้ามาหา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน…และในช่วงหลังๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันมา ดูจะเป็นนิสัยของหมาน้อยไปแล้วที่ทันทีที่ลืมตาตื่น สิ่งแรกที่มันจะทำคือเรียกชื่อและตามหาเจ้าแมวดำแบบนี้
เจ้าของชื่อถอนหายใจออกมา เบื่อที่จะบอกแล้วว่าให้อีกฝ่ายหยุดเรียกตนผิดๆ เสียที…แต่ถ้าจิมจะแปลกใจที่สป็อคไม่เถียงเรื่องนี้เหมือนทุกที หมาน้อยก็ไม่ได้สนใจจะยกขึ้นมาท้วงติงแล้วเพราะมีเรื่องใหม่ให้สนใจมากกว่านั้น ดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องมองเจ้าเหมียวอย่างงงงัน
“สปว็อค…นายจะไปไหนน่ะ…?”
ถึงสป็อคจะคิดว่าจิมค่อนข้างทึ่มพอใช้…แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ทึ่มเกินจะสังเกตได้ว่าสภาพของเขาตอนนี้เรียบร้อยเกินกว่าปกติทุกวันไม่ว่าจะเป็นทรงผมหรือผ้าพันแผลใหม่เอี่ยม และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอมของแครอลที่กำลังก้มตัวเซ็นเอกสารอะไรสักอย่างอยู่ก็บอกให้เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ได้รู้ก่อนที่สป็อคจะเอ่ยตอบเสียอีก
“ผมจะกลับบ้านแล้ว” แมวน้อยพูดเสียงนิ่งเยือกเย็น “คุณหมอแมคคอยบอกว่าแผลของผมไม่มีอาการน่าเป็นห่วง…เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องค้างอยู่ที่นี่แล้ว”
“ไม่เอา!” ดังคาด…จิมตะโกนออกมาทันที ก่อนจะพูดเสียงเครือ “สปว็อคต้องกลับจริงๆ เหรอ? อยู่ต่อไม่ได้เลยเหรอ?”
อะไรบางอย่างในน้ำเสียงเหงาหงอยนั้นทำให้ความวูบโหวงในใจสป็อคขยายตัวมากขึ้น แต่เจ้าเหมียวก็บอกตัวเองว่าความรู้สึกนี้ไร้สาระและตนสมควรลืมมันไปเสีย “ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายนะ…คุณก็รู้ดีว่านั่นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“ถ้างั้น…” กระแสเสียงล้อเล่นหายไปหมดแล้ว จิมเดินเข้ามาใกล้จนสป็อคต้องแอบเบือนหน้าหนี…ดวงตาสีฟ้านั้นทำให้ใจเต้นแปลกๆ ตอนได้สบมอง โดยเฉพาะตอนที่มันเต็มไปด้วยความแน่วแน่ปนเว้าวอนอย่างนี้ “สป็อค…นายจะคิดถึงฉันบ้างไหม?”
ชายหนุ่มผมดำนิ่วหน้า…ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจของตนถึงหวั่นไหวนักกับสายตาและคำถามนี้ นี่ไม่ใช่วิสัยปกติของเขาเลย…และมันก็ทำให้สป็อคไม่พอใจแบบแปลกประหลาด ไม่อยากยอมรับว่าอาการไร้ความควบคุมแบบนี้จะเกิดมาจากจิม
เขาจึงขมวดคิ้ว พูดเสียงเรียบนิ่ง…เย็นเฉียบเด็ดขาด
“ไม่ครับ…ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องทำแบบนั้น”
ดวงตาสีฟ้าวาวโรจน์ขึ้นราวกับชายหนุ่มผมทองตรงหน้าเขากำลังทั้งโมโหและน้อยใจ…ซึ่งก็เป็นความรู้สึกในใจจริงๆ ของจิมตอนนี้ เขาเอื้อมมือไปรั้งข้อมือของสป็อคให้อีกฝ่ายไม่อาจหันหนีเพื่อจบบทสนทนาลงได้
“ทำไมล่ะ??!!” จิมถามเสียงกร้าวตามอารมณ์…ความเสียใจคุกรุ่น เลยไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มผมดำตรงหน้ากำลังบิดแขนอย่างไม่ลดละเพื่อให้พ้นการเกาะกุมนี้อย่างร้อนรน ไม่ได้ฟังเขาด้วยซ้ำ “นายจะไม่คิด…ไม่รู้สึกอะไรหน่อยเลยเหรอ??! ทั้งๆ ที่ฉันน่ะ…ฉันน่ะคงจะ…”
สป็อคไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มผมดำพยายามอย่างยิ่งในการจะสะบัดมือของจิมออก…หากนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายยึดแน่นกว่าเดิม เลื่อนจากแค่จับข้อมือมาเป็นกุมรอบมือของสป็อคไว้แทน…ปลายนิ้วประสานเข้าหาเพื่อรั้งแน่นหนา ฝ่ามือแนบสนิทกัน ซึ่งนั่นเองเป็นวินาทีที่สติควบคุมตัวของเจ้าเหมียวขาดผึง
“อย่ามาจับนะ!!!”
แครอลเผลอหวีดร้องออกมาพร้อมทำปากกาหลุดมือเช่นเดียวกับคุณหมอที่สบถเสียงลั่นเมื่อได้ยินเสียงโวยวายตึงตัง…แมวน้อยคำรามแหลมสูงพร้อมตะปบโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ก็กำลังเห่าอย่างโกรธเกรี้ยวพอกัน เจ้าหมาไม่ได้ตอบโต้ก็จริง…แต่ก็พยายามป้องกันตัวเองและสะบัดให้กรงเล็บของแมวดำหลุดไปจากตน ส่งผลให้ทั้งคู่กลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น…เสียงกระเบื้องแตกดังสนั่นเป็นการปิดฉากเมื่อสองร่างชนโครมเข้ากับกระถางทานตะวันและเบียดจนมันกระแทกกับเคาเตอร์
“สป็อค!!” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างเหลือจะเชื่อ…ตวัดสายตามองความเสียหายแล้วดุซ้ำ ดวงตาสีเทาจ้องเขม็ง “ทำอะไรน่ะ??!! แย่มาก!!”
เจ้าแมวน้อยยันตัวขึ้นมา…เนื้อตัวและผ้าพันแผลเปื้อนไปด้วยดิน แครอลรีบยอบตัวลงไปข้างๆ คุณหมอที่ตอนนี้กำลังปัดๆ ดินออกจากปอยขนสีทองของจิม พูดเสียงเสียใจและรู้สึกผิดกับชายหนุ่ม
“ฉะ ฉันขอโทษค่ะ…ปกติสป็อคไม่เคยเป็นแบบนี้…” นอกเหนือจากภาพเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ครางหงิงๆ แล้ว…หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกแย่เมื่อได้เห็นว่ากระถางต้นไม้ของคุณสัตวแพทย์ตอนนี้แตกละเอียด ดินกระจายเต็มพื้น และที่ร้ายที่สุดก็คือต้นไม้ในกระถาง…ทานตะวันที่ใกล้บานตอนนี้ลำต้นหักงอ ใบและดอกตูมบิดเบี้ยวแถมรากก็หลุดขึ้นมาจากดินทั้งหมด…บอกให้รู้ว่ามันไม่มีทางจะผลิบานหรือเติบโตได้อีกแล้ว “ขอโทษค่ะ…ฉันขอโทษนะคะ…”
วูบนั้น…แครอลรู้สึกผิดท่วมท้นจนอยากจะร้องไห้อย่างอธิบายไม่ได้ เพราะหญิงสาวย้อนคิดไปถึงตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่ตอนดึกจนถึงวินาทีนี้…เธอดูจะก่อปัญหายุ่งๆ ไม่หยุดไม่หย่อนและทำให้คุณหมอต้องมาเดือดร้อนไปด้วยอยู่เสมอ แต่หญิงสาวก็รีบรวมสติเพื่อคิดหาทางแก้ไข…แล้วก็เริ่มต้นที่การพยายามหยิบเศษกระเบื้องทุกชิ้นมากองรวมกัน ไม่ได้สนใจว่าปลายนิ้วจะเปื้อนดินหรือจะโดนกระเบื้องตำหรือไม่
“เฮ้ๆ! ทำอะไรน่ะคุณ?!” แมคคอยถามเสียงลั่นเมื่อตอนที่เงยหน้าขึ้นมาจากการเช็คอาการจิมและแผลเก่าของสป็อคแล้วเห็นว่าหญิงสาวผมทองกำลังเก็บเศษกระถางอยู่ รีบรวบมือเธอขึ้นจากกองดินแบบไม่อ่อนโยนเท่าไหร่เลยแล้วโวยซ้ำ “ใช้มือเปล่าทำไม?? เดี๋ยวผมกวาดเอง…ให้ตายสิ…”
คุณหมอรู้สึกเสียใจชอบกลที่เผลอสบถประโยคสุดท้ายออกมา…เพราะมันทำให้ดวงตาสีเทายิ่งดูหงอยลงไป มือเรียวบางยอมอยู่เฉยในมือเขา สัมผัสนิ่มนวลนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆ…รีบผละจากแล้วเดินตึงตังไปที่ห้องด้านหลังเพื่อหยิบไม้กวาดกับที่โกย ร้องสั่งสั้นๆ ให้แครอลระวังอย่าให้หมาแมวทั้งสองทะเลาะกันอีก
แมคคอยหยิบสองสิ่งที่เข้ามาเอา…ก่อนจะตัดสินใจเตรียมอุปกรณ์ทำแผลเพิ่มด้วยเพราะไม่รู้ว่าสัตว์ทั้งสองเจ็บตัวกันตรงไหนไหม และระหว่างนั้นเองที่เขาใช้เวลาในการพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมด…เดาถึงสาเหตุว่าทำไมหมาตัวยุ่งกับแมวจอมหยิ่งถึงตีกัน เพราะถึงปกติสป็อคจะแสดงชัดว่ารำคาญ…แต่มันก็ไม่ได้เกลียดอะไรจิมจริงๆ จังๆ หรอก ซ้ำหลังๆ ยังดูเหมือนจะยอมอ่อนลงมาเยอะแล้วด้วย
ท่าทางจิมมันคงไปง้องแง้งบ้าบออะไรใส่จนสป็อคสติหลุดล่ะสิท่า…
คุณหมอสรุปในที่สุดก่อนจะประคองถาดบรรจุอุปกรณ์ทำแผลพร้อมถือไม้กวาดกลับเข้ามาที่ตรงหน้าโต๊ะลงทะเบียน ส่งเสียงเป็นเชิงว่าไม่ต้องเมื่อแครอลลุกจะมาช่วย…ตอนนี้หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว แมวน้อยตัวเล็กนอนอยู่บนเคาเตอร์ส่วนจิมนอนครางหงิงๆ อยู่บนตัก…มือสองข้างของเธอแบ่งไปลูบสัตว์ทั้งคู่อย่างเท่าเทียม วงหน้าสวยเข้มแข็งนั้นยังคงฉาบด้วยความทุกข์ใจรู้สึกผิดอยู่ชัดเจน
“ฉันคิดว่าสป็อคไม่เป็นไรนะคะ…เหมือนแค่ผ้าพันแผลหลุดเฉยๆ” แครอลพูดเสียงค่อย…แมวน้อยดูสงบนิ่งและอับอายกับความไม่อาจควบคุมตัวเองของตนจนไม่ยอมขยับ ซุกตัวเป็นวงกลมๆ “แต่จิม…”
เธอไม่ได้เอ่ยต่อ…แค่บุ้ยใบ้ไปที่ขาหน้าของเจ้าหมาน้อย ถึงจะถูกบดบังด้วยขนปุยสีทอง…แต่ก็มีหยดเลือดเล็กจิ๋วประปรายให้เห็น ท่าทางมันจะโดนข่วนลึกไม่น้อยเลย
แมคคอยลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างหญิงสาว พูดด้วยเสียงหนักแน่นแบบนายแพทย์ตามนิสัยเมื่อเธอขยับจะส่งตัวหมาน้อยมาให้ตน “ไม่ต้องๆ…คุณอุ้มไว้แบบนั้นก็พอแล้ว คอยดูให้มันอยู่นิ่งๆ นะ…เดี๋ยวตอนแสบยาแล้วดิ้นจะยุ่ง”
แครอลพยักหน้าแข็งขัน ลูบหูของจิมเบาๆ และกระซิบคำปลอบโยนเมื่อคุณหมอแตะสำลีชุ่มแอลกอฮอล์บนแผล แมคคอยไม่อยากจะเชื่อ…แต่หมาน้อยยอมอยู่นิ่งโดยดีอย่างผิดวิสัยแม้จะมีครางหงิงๆ ประท้วงบ้างก็ตาม นั่นทำให้เขาสามารถวางใจได้ผิดกับทุกทีแล้วทำแผลไปตามสบาย
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น…แอบชะงักไปเมื่อได้สบตากับดวงตาสีเทากลมโต เขาไม่รู้เลยว่าแครอลได้ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อดูการทำแผล…ทำให้ตอนนี้ ทั้งสองได้สบตากันในระยะใกล้กว่าที่เคยเป็นมาก่อน ใกล้จนแมคคอยรู้สึกได้ว่าถ้ามีสายลมพัดมาสักเล็กน้อย…ปลายผมสีอ่อนจางนั่นอาจแตะลงบนแก้มเขาก็เป็นได้
แครอลเองก็ชะงักไป…ก่อนจะผลิยิ้มอายๆ เป็นเชิงขอโทษตอนหยัดตัวกลับไปนั่งหลังตรงอีกครั้ง “ขอโทษค่ะ…ฉันดูเพลินไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอก…” แมคคอยบอกตัวเองว่าอาการหัวใจเต้นเป็นจังหวะตลกๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เอื้อมมือไปช้อนร่างเจ้าแมวน้อยจากบนเคาเตอร์มาวางบนตักตัวเอง…แกะผ้าพันแผลที่ตอนนี้เปื้อนหมดแล้วออก “เอ้า…เลิกหงอยได้แล้ว จิมมันน่ารำคาญจะตาย…แกฟิวส์ขาดก็ไม่แปลกหรอกน่า”
แมวน้อยยังคงซุกหน้าหนีเขาและเจ้าของราวกับยังคงไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองไม่ผิดอะไรจริงๆ…แมคคอยจึงกล่าวสั่งสอนมันต่อราวกับว่าเจ้าเหมียวจะฟังออก ไม่รู้ตัวเลยว่าถึงคำพูดของเขาจะไม่ได้นุ่มหูหรืออ่อนโยนเท่าไหร่…แต่ภาพคุณหมอที่คุยกับสป็อคก็ทำให้แครอลยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะซ่อนรอยยิ้มนั้นด้วยการเสก้มหน้าไปปลอบใจเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ตนกำลังอุ้มอยู่
“เอ้า…ใช้ได้แล้ว”
คุณหมอพูดประโยคประจำตัวเมื่อพันผ้าก็อซทบสุดท้ายเรียบร้อย…เอานิ้วเคาะๆ หัวเจ้าแมวดำเบาๆ พร้อมสอนสั่งลาว่าอย่าไปเล่นเพลินจนเจ็บตัวแบบนี้อีก เป็นสัญญาณที่ทำให้แครอลลุกขึ้นยืน…วางลูกหมาในอ้อมแขนตัวเองลงบนเบาะนอนของมันตรงหลังเคาเตอร์ แล้วเอื้อมมือมารับสป็อคจากแมคคอยมาอุ้มไว้
“ถ้างั้น…” คุณสัตวแพทย์ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกโหวงๆ ชอบกลตอนที่เรียบเรียงประโยคคำลานี้ “ก็ไม่มีอะไรแล้ว…สวัสดีครับ”
แครอลตอบด้วยคำเดียวกัน…ก่อนจะเหลือบตามองซากกระถางและต้นไม้ ชั่งใจอยู่ชั่วครู่…แต่ก็ตัดสินใจได้เมื่อเห็นดอกตูมสีเหลืองสดที่ตอนนี้ช้ำหมดแล้ว “คุณหมอคะ…เดี๋ยวฉันจะซื้อทานตะวันมาคืนให้นะคะ แทนต้นนี้น่ะค่ะ”
แมคคอยขมวดคิ้ว…ชายหนุ่มยอมกินอาหารแมวสักสัปดาห์ยังดีเสียกว่าจะอธิบายความจริงให้หญิงสาวตรงหน้าฟังว่าการที่เขามาใส่ใจเจ้าไม้ดอกต้นนี้ก็แค่เพราะว่าจะให้มันบานทันให้เธอได้เห็นเท่านั้นเอง และอาจจะยอมกินเป็นสองสัปดาห์ด้วยถ้าจะต้องอธิบายละเอียดขึ้นอีกว่า…ตอนนี้จะมีหรือไม่มีดอกไม้ก็ไม่ต่างกันแล้ว
เพราะคุณไม่ได้จะแวะเข้ามาบ่อยๆ อย่างนี้แล้วนี่…
ชายหนุ่มโบกมือพั่บๆ…ทั้งเพื่อไล่ไอ้เสียงโง่ๆ ในหัวกับเพื่อปฏิเสธข้อเสนอของเธอ “ไม่ต้องหรอกน่า…ต้นไม้แค่นี้เอง แล้วก็ไม่ใช่ความผิดคุณซะหน่อย…”
“แต่สป็อค…”
แครอลขยับจะยื้อบทสนทนา คุณหมอเลยรีบพูดต่อ
“แล้วอีกอย่างนะ” แมคคอยพยายามปั้นข้ออ้างที่พอฟังขึ้น “ของแนวๆ นี้ผมชอบไปเลือกเองน่ะ…คุณไม่ต้องซื้อมาหรอก…”
ดวงตาสีเทามีแววรั้นๆ แบบไม่ยอมรับ…ซึ่งก็เป็นความจริง แครอลมั่นใจว่าคุณหมอพูดไปเพราะเกรงใจเธอแน่ๆ…ซึ่งไม่สมควรเลยในเมื่อทุกอย่างเป็นความผิดของทางฝ่ายตัวเธอทั้งนั้น เพราะที่กระถางแตกและจิมต้องเจ็บตัวมันก็เป็นเพราะอารมณ์รุนแรงของสป็อคล้วนๆ
“เอางี้ดีกว่าค่ะ” เสียงหวานพูดอย่างหนักแน่น “ช่วงสุดสัปดาห์ที่เขามีตลาดนัดต้นไม้…คุณหมอไปเลือกเลยค่ะ แล้วเดี๋ยวฉันซื้อคืนให้…ดีไหมคะ?”
“หะ หา…?”
แมคคอยหวังที่สุดในโลกว่าสีหน้าของตนจะไม่ได้ดูโง่ๆ เหมือนที่น้ำเสียงที่เปล่งออกมา…มองหน้ามุ่งมั่นตั้งใจของหญิงสาว แอบสงสัยในใจว่าแครอล มาร์คัสรู้ตัวไหมว่าเธอเพิ่งเสนออะไรที่ฟังดูใกล้เคียงกับการไปเดทชะมัดออกมา ก่อนจะรู้สึกหัวเสียแบบแปลกๆ เองในที่สุดเมื่อได้พินิจวงหน้าของเธอแล้วสรุปได้ว่าหญิงสาวไม่ได้คิดอะไรแอบแฝงเลยกับคำชวนนี้
อะไรวะ…ไอ้เรารึก็…
ระหว่างที่คุณหมอกำลังรู้สึกงุ่นง่านอยู่ในใจนั้น…สาวน้อยเองก็กำลังต้องพยายามสะกดความรู้สึกอยากจะตะโกนใส่ตัวเองดังๆ สักทีอย่างยากลำบาก เพราะเธอมารู้ตัวเมื่อสายไปแล้วว่านี่มันฟังดูเหมือนการชวนไปเดทแบบเนียนๆ ชะมัด…การกระทำที่เหมือนกับพวกผู้หญิงที่หวังจะจีบผู้ชายก่อนแบบนี้เป็นอะไรที่แครอลไม่ต้องการจะทำเลย แต่ในมันยเมื่อสายไปแล้ว…เธอจึงได้แค่หวังสุดใจว่าคุณหมอจะไม่ได้มองตนว่าเป็นหนึ่งในคนประเภทนั้น
แต่เมื่อเขายักไหล่แล้วตอบตกลงหน้านิ่งๆ ราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยที่จะมีนัดกับเธอสองต่อสอง…หัวใจงี่เง่าของแครอลก็รู้สึกห่อเหี่ยวอย่างประหลาด สภาพที่ทำให้หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเลย
ตกลงว่า…นี่เราต้องการอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย…
“งั้น…”
คำเกริ่นของคุณหมอบอกชัด…นี่เป็นประโยคปิดท้ายของการพบกันครั้งนี้แล้ว หญิงสาวจึงขยับให้กระเป๋าถือและแมวน้อยมั่นคงอยู่ในมือของตน แล้วเงยหน้ารับคำ “คะ?”
ชายหนุ่มดูงุ่นง่านเล็กๆ ก่อนจะพูดสั้นๆ “เดี๋ยวพอจะถึงวันนั้น…ผมจะโทรหาคุณนะ”
“อะ อ๋อ…” แครอลเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ทั้งสองก็มีเบอร์ของกันและกันเรียบร้อยแล้ว…แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่จะใช้มันในการคุยถึงเรื่องอื่นที่ไม่ใช่แค่เจ้าแมวน้อย “ได้ค่ะ…นัดตามที่คุณหมอสะดวกเลยค่ะ เสาร์อาทิตย์นี้ฉันว่างหมด”
…และไม่รู้ทำไม…มันทำให้เธอเขินปนดีใจแบบแปลกๆ ชอบกล
แมคคอยพยักหน้ารับ ก่อนที่หญิงสาวจะเดินไปทางประตูร้าน…พึมพำเสียงอ่อนโยนกับแมวน้อยในอ้อมกอด สป็อคยอมเงยๆ หน้าขึ้นมาบ้างแล้ว…เสียงมิ้วๆ ของมันทำให้จิมผงกตัวขึ้น แต่สุดท้ายก็ฟุบกลับไปกับเบาะนอนเหมือนเดิม…หันหลังให้ทางประตู ความเศร้าเสียใจแผ่ซ่านให้รู้สึกได้
คนเป็นเจ้าของถอนหายใจ…ปลอบโยนอย่างนุ่มนวลที่สุดด้วยการเอาเท้าเขี่ยๆ เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ แต่เมื่อมันกระเถิบหนีราวกับจะบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง…แมคคอยจึงตัดสินใจปล่อยจิมไว้เฉยๆ ตามที่เจ้าตัวต้องการ หันไปเก็บกวาดซากกระถางและเศษดินแทน…ใจจมจ่อมกับคำนัดที่ตนเพิ่งมีไป
ให้ตายเถอะ วันหยุดหนึ่งวันเต็มๆ กับแครอล มาร์คัส…อย่างน้อยไอ้ต้นไม้ขี้เกียจนี่ก็พอจะมีประโยชน์มั่งล่ะวะ…
อยากอ่านต่อง่าาาาาาาาาาาา พีทิพย์ *O*
LikeLike
ยังอยากอ่านค่ะ // หมอแครอล โกลเด้นจิมกับเหมียวสปว๊อค ก็ยังอยากอ่านค่ะ งือออออ
พี่รอหมอแครอลไปเลือกซื้อดอกทานตะวันด้วยกัน และ รอสป็อวค์ ง้อ หมาจิมสักทีหง่ะ สงสาร T^T
LikeLike
/เอาเล็บขูดประตู……เมื่อไหร่จะเดทล่ะคะ…….
/ขูดต่ออี๊ดๆๆ/เซ่นด้วยแฟนอาร์ต (….)
จริงจังนะเคอะฟฟฟฟฟฟฟ เขียนต่อนี่เซ่นด้วยแฟนอาร์ตจริงๆ /บรีบขุ่นทิพย์
อิสน็อทสินบน อิสของเซ่นนนนน #ส่งคุกกี้มอนสเตอร์ไปแย่งแล้วเสียบดอกทานตะวันแทน
โฮๆๆไม่เป็นไรค่ะต่อให้มีกันสองคนก็พร้อมจะไปต่อ แง ขอแค่คุณทิพย์ไม่หยุดโก้ก็จะไม่หยุดค่ะ #เดี๋ยวนะ
LikeLike
กะว่าจะไปย้อนอ่านฟิคโดนัท แต่สุดท้ายก็แว้บเข้ามาเรื่องนี้ก่อนค่ะ เหมือนเห็นคุณหมอโบกมือเรียกอยู่ไหวๆ #ไม่ใช่
ตอนนี้แอบติดนิสัยเรียกว่า”สปว็อค”ตามจิมไปแล้วค่ะ ฮาาาาาา
กลับมาอ่านกี่รอบๆก็ยังเขินทุบโต๊ะเหมือนเดิมค่ะ จนตอนแรกจากที่พ่อจะบ่นหน่อยๆจนตอนนี้เหมือนเค้าจะเริ่มชินแล้วล่ะค่ะ #ดังนั้นเราก็จะทำต่อไปปปปป
ไปเดท ไปเดท ไปเดท ไปเดทกันเถอะค่าาาาาาาาา ><
LikeLike
งื้ออออออ จิมมี่นายชอบเค้าก็บอกเซ่ะ ง้องแง้งใส่สปว็อคจนได้แผลเลยเห็นมั้ย
หมอคะ หมอออออ #ตะโกนใส่หูเรียกสติ สาวเจ้าชวนเดทแล้วหมออย่ามัวตะลึงสิคะะะ
ต้องให้สาวเริ่มก่อนเสียฟอร์มมั้ยหมอออ เอิ้กกกก
LikeLike
สงสารหนูจิมมี่บอยมากกกกอ่ะ ทำไมสป็อคถึงทำแบบนี้กับจิมมี่ง่ะ
คุณหมออออออดีใจล่ะสิจะออกเดทกะสาวแครอล
ทานตะวันช่วยได้ดีจริงๆนะ
LikeLike
อรั้ยยยย ไปเดทกัน ไปเดทกันนน 555 ตอนนี้ไม่รู้จะสงสารใครดี จิมก็กวนประสาท แต่ก็จะเหงา สป็อคก็คงจะเหงา แต่เบื่อคนกวนประสาท กรั่กๆ งานนี้เป็นงง แต่ก็ฟัด(?)กันไปแล้ว เอาน่ะ จิมสู้ๆ 55
LikeLike
หมออออออออออออออออว์ *ปาหัวใจใส่รัวๆ* #ปามันทุกเม้น #ถถถ
ในที่สุดแครอลชวนคุณหมอไปเดทสักที *w*)/ ว่าแต่มันดูกลับๆกันมั้ย คุณหมอทำไมไม่เป็นคนชวนเล่า มัวแต่ตีซึนจนสาวต้องออกโรงแล้วนะคะหมอขา o<–<
ตลกเวลาคุณหมอกระซิบกับตัวเองในหัวจังค่ะ ดูพยายามกักเก็บกล้ำกลืนฝืนทน ถ้ามันลำบากก็พูดออกมาบ้างก็ได้นะคะคุณหมอ 555 //ยัดอาหารแมวใส่ปากคุณหมอรัวๆ
แอบสงสารโกลเด้นจิมเบาๆ โดนแมวทิ้งไม่พอ คุณหมอยังปลอบได้อ่อนโยนที่สุดแค่การเอาเท้าเขี่ยอีก โถ Orz
LikeLike
เราชอบบุคลิกของหมอแมคคอยตรงความดิบๆแข็งๆไม่โรแมนติก มันดูเป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้ชายจริงๆดีค่ะ จะชอบสาวก็ปากหนัก จะปลอบลูกหมาเศร้าอิหมอมันยังใช้นิ้วเท้าปลอบเลยดูสิถถถถถถถถถถถ *o*
และเราก็คิดว่าเสียงโง่ๆในหัวคุณหมอเวลาอยู่กับแครอลมันช่างน่ารักสุดๆไปเลยค่ะ
ฝั่งคนเริ่มมุ้งมิ้งมีนัดเดทดูต้นไม้บลาบลาบลา แต่ฝั่งสัตว์เลี้ยงเข้าสู่โหมดดราม่าแล้วสินะ
โอยหมาแมวตบกัน ใจแม่ยกก็พาลจะขาดตาม T T
สป็อคทำไมไม่ขอโทษล่ะ แมวดื้อ เดี๋ยวไม่ให้ปลาเส้นนะแงงงงงงงงงงงงงงงงงง (//โดนแมวข่วนหน้าเลือดสาด)
LikeLike