[X-Men Fic][ErikCharles] The Architecture of Metanoia and Concinnity (4)

 
 
 
The Architecture of Metanoia and Concinnity
X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii * 
 

 

    
 

 
 

Pairing:  Erik Lehnsherr x Charles Xavier
Fandom: X-Men First Class

Type: AU fanfiction

 
 

 

 * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

 

 

 

 

 
************************************
 

 

I don’t think that architecture is only about shelter, is only about a very simple enclosure. It should be able to excite you, to calm you, to make you think.

 – Zaha Hadid

 

 

*****

 

 

Chapter 4

              

 

 

               

วันอาทิตย์เป็นวันที่อีริคได้หยุดเต็มวัน…และหลังจากต้องออกไปดูงานติดต่อกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เรื่องตัดสินใจยากเลยในการที่ชายหนุ่มจะเลือกให้การอยู่เฉยๆ กับบ้านเป็นกิจกรรมที่ตนจะทำในวันอาทิตย์นี้

               

 

 

 

หลังจากการตื่นออกไปวิ่งจ็อกกิ้งแล้วทำอาหารมื้อเช้าอย่างเต็มยศให้ตัวเองแล้ว…อีริคก็มานอนเขลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ นิ้วมือลากเลื่อนไปตามหน้าจอไอแพดเพื่อเช็คอีเมลว่าจะมีอุบัติเหตุนรกแตกอะไรที่ไซต์งานที่เรียกให้เขาต้องออกไปดูไหม…แล้วก็วางเจ้าจอสี่เหลี่ยมลงบนโต๊ะเล็กด้านหน้าโซฟาหลังมั่นใจแล้วว่าวันนี้จะเป็นวันที่ตนได้อยู่บ้านอย่างสงบสุขจริงๆ

 

 

 

 

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้มีอันต้องเบนสายตาไปมองข้าวของอื่นที่อยู่บนโต๊ะเช่นกัน…มันคือตั้งหนังสือและสมุดโน้ตที่อีริคเข้าไปเอาจากสตูดิโอคลาร่าเมื่อวันก่อน วันที่ชายหนุ่มยังคงยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรให้เป็นที่น่าสนใจสักนิด…และก็ไม่ได้น่าประหลาดใจเป็นพิเศษเลยด้วยว่าเขาจะได้ใช้เวลาไปกับใคร

 

 

 

 

 

…นั่นจึงทำให้อีริครู้สึกหงุดหงิดแบบแปลกๆ นักที่ตนดันจำรายละเอียดและบทสนทนาในเซ็นทรัลพาร์คนั่นได้แบบทุกคำทุกประโยค

 

 

 

 

 

ไม่เห็นจะมีอะไรเลย…ก็มันเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน แล้วก็มีของที่เขาต้องเอาไปจัดการอยู่นี่นา…

 

 

 

 

 

‘ของ’ ในข้ออ้างของอีริคคือแว่นตาที่โดนพับขาอย่างเรียบร้อยและวางอย่างปลอดภัยอยู่บนกองหนังสือ…มันเป็นแว่นกรอบดำธรรมดาที่ตัวกรอบล้อมลงมาแค่ครึ่งของเลนส์ทรงสี่เหลี่ยมมุมมนเท่านั้น ทำให้ดูไม่เหมือนกับแว่นกรอบพลาสติกหนาๆ ที่กำลังฮิตอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองตอนนี้…เขามาค้นพบว่าเซเวียร์ลืมมันไว้ในรถตนเอาก็ตอนที่เคลียร์ของเมื่อคืนวาน เพราะปกติอีริคไม่เคยเปิดคอนโซลรถเพื่อเก็บของจุกจิกอะไรเลย

 

 

 

 

 

ทีแรกอีริคคิดจะโทรไปบอก…แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เห็นจะโทรมาทักถามอะไร ชายหนุ่มเลยตัดสินใจว่าค่อยรอเอาไปคืนพรุ่งนี้ที่สตูดิโอคลาร่าตามนัดก็ได้…เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่อยากสนิทสนมหรือเสวนาอะไรกับเซเวียร์นอกเวลางานมากเกินไปนักหรอก

 

 

 

 

 

แต่เพราะนั่งเงียบๆ ไม่มีอะไรทำแล้วก็มีแว่นตาของเจ้าตัววางอยู่ตรงหน้าแบบนี้…มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเลยสักนิดนี่นะที่ความคิดของอีริคจะเริ่มต้นล่องลอยกลับไปตามประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดให้เขาได้ยิน

 

 

 

 

 

“แล้วเห็นแก่พระเจ้าเถอะ…นี่คิดจะเอาเก้าอี้หน้าตาน่าเกลียดแบบนี้มาตั้งให้แขกนั่งงั้นเหรอ…” 

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มส่งเสียงเฮอะอย่างที่ใจอยากออกมา เอนหลังให้แผ่สบายมากขึ้นบนโซฟา…เก้าอี้ที่เซเวียร์วิจารณ์ซะไม่เหลือดีในดีไซน์สำหรับสตูดิโอคลาร่าคือเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งรอในโซนเคาเตอร์รีเซปชั่น มันเป็นเก้าอี้ยาวที่หน้าตาคล้ายๆ โซฟาของอีริคตัวนี้เลย…โซฟาที่สร้างตามแบบเก้าอี้บาเซโลน่าของมีส เบาะหุ้มหนังชั้นดีที่หยัดยืนด้วยโครงโครเมียมสีเงิน…การออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างส่วนที่ช่วยค้ำและส่วนที่ถูกค้ำอย่างชัดเจน เอกลักษณ์ที่เน้นถึงความโปร่งและเบาของชิ้นงานตามแบบฉบับสไตล์ของมีส…และการที่เอ็มม่าคิดเหมือนอีริคว่าเฟอร์นิเจอร์เปี่ยมรสนิยมนี้คือสิ่งที่ต้องมีในอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองนั้นก็เป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกนับถือเธอไม่ใช่น้อยเลย

 

 

 

 

 

แต่แน่นอน…น้องชายของเอ็มม่าไม่ได้ความนับถือในจุดนี้ไปเลยสักนิดเดียว

 

 

 

 

 

“รู้มั้ยเลนเชอร์…สำหรับคนที่บอกว่าตัวเองชอบแค่อะไรแนวๆ โมเดิร์นน่ะ นายรู้รายละเอียดของนิยายพีเรียดมากเกินไปเยอะเลยนะ” 

 

 

 

 

 

แล้วไหนจะประโยคนี้อีก…อีริคทำหน้าบูดอย่างอารมณ์ไม่ดีตอนเปิดโทรทัศน์ขึ้นมา เขาก็ไม่ได้อยากจะมีความรู้ด้านผลงานเจน ออสเตนดีหรอก…แต่มันใช่เรื่องเลี่ยงได้ที่ไหนล่ะที่ช่วงนี้ฟรีเคเบิ้ลเอาแต่ฉายละครกับภาพยนตร์ย้อนยุคราวกับจะปั่นหัวให้คนดูลุกมาเก็บเสื้อผ้าไปเที่ยวอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าอีริคผู้ต้องติดแหง็กอยู่ในนิวยอร์กนี่ไม่มีทางหนีไปไหนได้แล้วก็ต้องทนดูเรื่องรักเคล้ากลิ่นชาและผ้ามัสลินแบบนี้ทุกครั้งที่เปิดช่องภาพยนตร์ขึ้นมา

 

 

 

 

 

และนาทีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น…อีริคกดเปลี่ยนช่องมาทันเอาตอนที่หน้าจอแสดงภาพไตเติ้ลเครดิตของ Pride & Prejudice ฉบับที่โจ ไวรต์กำกับพอดี เขาร่ำๆ จะเปลี่ยนไปดูช่องอื่นแล้ว…ถ้าไม่ติดว่าประโยคของเสียงนุ่มนวลนั่นจะผุดขึ้นมาอีกในหัว

 

 

 

 

 

“ตอนฉันเด็กๆ…ฉันอยู่ที่อังกฤษมาตลอดเลยน่ะ พอย้ายมาที่เวสต์เชสเตอร์…บ้านหลังนั้นก็สร้างตามแบบของอังกฤษอยู่ดี อะไรแนวๆ นี้เลยให้ความรู้สึกคุ้นเคยแล้วก็สบายใจน่ะ…อย่างน้อยก็สำหรับตัวฉันน่ะนะ” 

 

 

 

 

 

อีริคเคยดู Pride & Prejudice ฉบับนี้ผ่านๆ ตามามากกว่าหนึ่งครั้งแต่ไม่เคยได้ใส่ใจหรือนั่งดูเป็นเรื่องเป็นราวเลย…ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน เขาบอกตัวเองว่าตนเปิดโทรทัศน์ค้างไว้แค่เพื่อให้ห้องไม่เงียบ…แล้วก็หยิบเอาไอแพดขึ้นมาเปิดเบราเซอร์ การที่เซเวียร์เรียกรูปแบบสถาปัตยกรรมแค่ตามชื่อประเทศนั้นเป็นอะไรที่แสดงถึงความไม่รู้เรื่องอย่างที่สุด…เพราะมันไม่ได้ต่างอะไรกับการเรียกแครอท บร็อคโคลี พริกหยวก กับหัวหอมแบบเหมารวมว่าผักอย่างไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเลยสักนิด

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มควรจะทำเสียงเฮอะอย่างรำคาญอีกทีในจุดนี้…แต่ทำไมก็ไม่รู้ เขากลับพบว่าตนแค่คิดถึงสีหน้ากับน้ำเสียงของเซเวียร์เท่านั้น ไม่ได้งุ่นง่านอะไรเลย

 

 

 

 

 

อีริคหันไปมองโทรทัศน์ในบางทีที่เป็นฉากในตัวบ้านหรือจังหวะจับภาพของพวกรายละเอียดการตกแต่ง…แต่ในเวลาที่เหลือ เขาสนใจแค่ไอแพดของตัวเองไปเท่านั้น…เลือกเปิดดูพวกบล็อกรวมภาพสถาปัตยกรรมหรือพอร์ตโฟลิโอออนไลน์ที่จะพึงหาได้ขึ้นมาตามคำค้น และก็ไม่รู้ตัวสักนิดว่าถลำลึกไปถึงขั้นค้นหาข้อมูลอ้างอิงของยุคสมัยและรูปแบบหลักๆ ที่เด่นชัดเสียแล้วเอาตอนไหน…ชายหนุ่มขมวดคิ้วหน้ายุ่ง สนใจแค่ภาพและความเป็นไปได้ที่ก่อตัวในหัว ปลายนิ้วแตะเพื่อเซฟรูปและแคปสกรีน…การกระทำที่สุดท้ายก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับกระแสความคิดที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

 

 

แว่นตากรอบดำของเซเวียร์ถูกหยิบให้ไปวางบนโต๊ะแทนตอนที่อีริคขยับตั้งหนังสือเพื่อหยิบสมุดโน้ตของตัวเองออกมาจากกอง

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

ชาร์ลส์คิดว่านี่น่าจะเป็นอีกวันที่ตนสามารถรับมือกับมันได้ด้วยดี…แต่ทันทีที่ได้เห็นหน้าเลนเชอร์ ชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเขาคิดผิดมหันต์

 

 

 

 

ภาพแรกของชั้นยี่สิบแปดที่ชาร์ลส์ได้เห็นตอนก้าวออกมาจากลิฟต์คือความโกลาหลที่ลุกลามจากด้านในสตูดิโอมาจนถึงพื้นที่ส่วนกลาง…ประตูกระจกใสถูกเปิดค้างไว้ทั้งสองบาน มอบทางให้สำหรับโซฟาตัวยาวและเก้าอี้นวมเดี่ยวๆ หุ้มหนังสีครีมอ่อนจางหลายตัวได้ถูกวางเรียงรายกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ บนพื้นเต็มไปด้วยชิ้นโฟมและเศษของแผ่นบับเบิ้ลกันกระแทกที่พันรอบเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแล้วคงล่อนออกมา…และถ้านั่นยังไม่ดูแน่นหนาจนแทบเดินไม่ได้แล้ว เหล่าผู้คนที่เป็นทั้งคนงานของตัวสตูดิโอและกลุ่มพนักงานบริษัทส่งของในชุดเครื่องแบบที่ยืนออกันอยู่รอบบริเวณก็ช่วยเติมเต็มทุกจุดว่างที่ยังเหลือของสถานการณ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

 

 

ชาร์ลส์รับภาพที่ดูคล้ายฉากบาร์ริเคดในเรื่อง Les Misérables ด้วยเข้าสู่ระบบประสาทด้วยความพรั่นพรึง…เพราะแม้ว่าทุกสิ่งกีดขวางจะเป็นแค่แถวของเฟอร์นิเจอร์ที่โดนวางระเกะระกะแทนซ้อนเป็นกำแพง แต่ระดับอารมณ์ของหัวหน้าพนักงานส่งของกับคุณสถาปนิกเจ้าของโปรเจคนั้นแลดูพร้อมจะเปิดสงครามกลางเมืองย่อมๆ ได้แล้ว

 

 

 

 

“นายจะบ้าหรือไง??? มองไม่เห็นเรอะว่าเรายังไม่ได้เริ่มต้นทาสีด้วยซ้ำ…แล้วจะเอาโซฟาเข้ามาวางก่อนได้ยังไงมิทราบ??”

 

 

 

 

“ถ้านายคิดว่าฉันจะแบกของพวกนี้กลับไปเพราะทางนายไม่ได้แจ้งมายกเลิกการส่งเอง…นายก็คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะเลนเชอร์!!”

 

 

 

 

“นายนั่นแหละที่ต้องคิดใหม่โลแกน เพราะนายจะแบกพวกมันกลับไปทุกชิ้น…ฉันบอกไว้แล้วว่าอาจจะให้มาส่งวันนี้แต่ถ้าทางฉันไม่ได้คอนเฟิร์มไปก็ถือว่าออเดอร์นั้นยกเลิก”

 

 

 

 

หนึ่งเสียงที่กดต่ำอย่างมาดร้ายและอีกเสียงที่ดังสนั่นอย่างเตรียมจะมีเรื่องทำให้ชาร์ลส์รีบลัดเลาะผ่านเหล่าโซฟาและผู้คนเข้าไปในตัวสตูดิโอทันที…กำแพงกระจกใสทำให้เขาเห็นแล้วว่าต้นเสียงนั้นยืนอยู่ตรงเคาเตอร์รีเซปชั่น สีหน้าของเลนเชอร์นั้นเย็นเยียบและมืดทะมึน…มาดไม่ยอมอ่อนข้อถูกเสริมด้วยสองแขนที่กอดอกและแผ่นหลังที่หยัดตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่กรณี – ชายร่างกำยำที่กำลังแยกเขี้ยวนิดๆ – อย่างโลแกนนี่จะยอมถอยเหมือนกัน…รูปการที่ชัดเจนว่าเหล่าผู้รายล้อมจนปัญญาและไม่กล้าพอจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยให้ฝ่ายใดสงบลงก่อนเลยทุกคน

 

 

 

 

…ซึ่งชาร์ลส์ก็เพิ่งมาตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงนี้เอาก็ตอนที่มาเขาหยุดยืนข้างร่างสูงโปร่งของเลนเชอร์เสียแล้ว

 

 

 

 

“อะไร?”

 

 

 

 

เสียงทุ้มตวัดห้วน…คำถามที่โลแกนเองก็ส่งผ่านมาทางสายตา ชาร์ลส์สูดลมหายใจเป็นการเตรียมใจ…ก่อนจะพยายามยิ้ม

 

 

 

 

“นั่นน่ะสิ” โดยไม่ทันคิดให้ดีก่อน…เขาก็แตะมือลงตรงข้อศอกของเลนเชอร์ รั้งนิดๆ จนปลายนิ้วกำรอบแขนส่วนนั้น…บังคับอ้อมๆ ให้เจ้าตัวต้องเลิกกอดอกหาเรื่องอย่างแนบเนียน ถามเสียงนุ่ม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

 

 

 

 

เลนเชอร์ส่งเสียงเฮอะอย่างรำคาญใจเหมือนทุกที มือข้างที่ว่างยกขึ้นเสยผมนิดๆ เพื่อคลายความงุ่นง่าน ยอมอธิบายรวบรัด “โซฟาดันมาส่งเร็วไปเป็นสัปดาห์เลยน่ะสิ…สภาพสตูดิโอตอนนี้มันวางของได้ที่ไหนกัน” สายตาตวัดไปมองชายร่างกำยำอย่างมาดร้าย “…เพราะมีไอ้หน้าโง่แถวนี้ดันจำออเดอร์ไม่รู้เรื่องเอง—”

 

 

 

 

ซึ่งแน่นอน…อีกฝ่ายแยกเขี้ยวชัดๆ แล้ว “นายว่าไงนะไอ้—”

 

 

 

 

“เอาล่ะๆๆ เถียงกันไปก็เท่านั้นแหละ” ชาร์ลส์ตัดบททันที…ความที่เป็นน้องชายมาตลอดชีวิต ความสามารถในการเป็นบุคคลผู้มีสติที่สุดแล้วทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยของเขาก็ไม่ได้ดีมากนัก…แต่การได้เป็นประธานชมรมวิทยาศาสตร์สมัยไฮสคูลก็มอบเวลาให้ได้ฝึกฝนมันบ้างไม่มากก็น้อย “ตอนนี้ก็คือโซฟามาถึงแล้ว…” โลแกนหัวเราะหึหึอย่างได้ใจ…ซึ่งนั่นก็ทำให้ชาร์ลส์ตวัดตามองอย่างปรามๆ “…ซึ่งมาถึงผิดวัน แล้วสตูดิโอเราก็ยังไม่เสร็จ” เลนเชอร์ขยับเหมือนจะกอดอกอีกรอบ…เขาเลยจับแขนอีกฝ่ายให้แน่นกว่าเดิมอีกนิด สรุปประโยคสุดท้าย

 

 

 

 

“เพราะงั้น…หยุดทะเลาะกันแล้วคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงดี”

 

 

 

 

ประโยคนี้ชาร์ลส์หันไปพูดกับเลนเชอร์ตรงๆ…เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบกับสตูดิโอนี้ร่วมกัน นั่นจึงทำให้โลแกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา – ดูใจเย็นลงและไม่อยากชกหน้าใครแล้ว – ก่อนจะขอตัวไปเช็คจำนวนเฟอร์นิเจอร์…ทิ้งให้ชาร์ลส์ต้องจัดการกับเลนเชอร์ผู้มีสีหน้าเหมือนฆาตกรต่อเนื่องที่มีปัญหาด้านการกดอารมณ์โกรธตามลำพัง

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำเพิ่งเห็นว่าตัวเองยังคงจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ นั่นจึงทำให้เขารีบคลายมือราวต้องของร้อน…พยายามยิ้มเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ “โอเค…เราจะทำยังไงกันดี?”

 

 

 

 

“ก็คงต้องวางไว้ในสตูดิโอนี่แหละ” เลนเชอร์พูดเสียงต่ำ กอดอกใหม่ทันทีที่แขนเป็นอิสระ “แล้วฉันค่อยหาทางฆ่าหมอนั่นตอนจบงานนี้…”

 

 

 

 

“เห็นแก่พระเจ้าเถอะ” ชาร์ลส์กลอกตา ก่อนจะเสนอหลังไตร่ตรองแล้ว…เพราะไหนๆ ห้องนั้นก็กว้างพอ “วางไว้ในห้องประชุมใหญ่ก่อนมั้ยล่ะ เรียงๆ กันดีๆ น่าจะที่พอนะ”

 

 

 

 

เขาตบๆ มือลงตรงข้อมือของเลนเชอร์เบาๆ แต่สายตายังคงมองหน้าของอีกฝ่ายอยู่เพื่อรอฟังความเห็น…จึงได้สบสายตาเต็มที่กับดวงตาสีเทาคู่นั้น มันยังคงขุ่นมัวอยู่…แต่ก็เริ่มอ่อนลงและมีแววของการยอมตกลงแล้ว

 

 

 

 

เจ้าตัวพยักหน้าในที่สุด…พลิกมือเล็กน้อยเข้าหาสัมผัสของเขา ก่อนจะเขย่าแขนเบาๆ ราวกับจะตอบรับประกอบไปด้วย

 

 

 

 

“โอเค…”

 

 

 

 

สายตาเขม็งขึ้นใหม่ในประโยคหลัง “งั้นให้คนของไอ้หมอนั่นแบกเข้าไปเลยนะ…ไม่ต้องใช้คนฝั่งเรา”

 

 

 

 

ชาร์ลส์กลอกตาใหม่อีกรอบ…แต่คราวนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างอ่อนใจปนเอ็นดูออกมาด้วย

 

 

 

 

 

 

**

 

               

ถึงแม้ว่าโซฟาและเก้าอี้นวมทั้งหมดจะถูกวางได้อย่างเรียบร้อยทุกตัวในห้องประชุมใหญ่…เลนเชอร์ก็ยังไม่มีเวลาได้มานั่งแจกแจงงานให้เขาฟังต่ออยู่ดีเพราะอยู่ๆ อาซาเซลก็เข้ามาที่สตูดิโอพร้อมธุระที่สำคัญกว่า ซึ่งเพราะเห็นว่าไม่มีทางเลี่ยง…ชาร์ลส์ก็เลยได้แต่บอกว่าตนจะเป็นฝ่ายรอเอง

               

 

 

 

 

และด้วยไม่มีอะไรที่น่าสนใจกว่าจะทำ…ชายหนุ่มผมดำจึงจบลงที่เดินๆ สำรวจเหล่าเฟอร์นิเจอร์ในห้องประชุมนั่นเอง ชาร์ลส์นั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง…ถึงจะยังคงมีแผ่นบับเบิ้ลหุ้มอยู่ แต่ก็เห็นได้ว่าตัวเบาะนั้นถูกบุด้วยหนังสีครีม…อีกเฉดสีที่เอ็มม่าโปรดปราน โซฟาและเก้าอี้นวมทุกตัวไม่มีที่เท้าแขน…พวกมันดูเหมือนแผ่นเบาะสองแผ่นที่ถูกวางให้บรรจบกันในมุมแหลมมากกว่าด้วยซ้ำ ทุกอย่างถูกรองรับไว้ด้วยโครงเรียวบางสีเงินปลาบ…ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าสามารถค้ำยันน้ำหนักทั้งหมดของตัวมันได้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณหนังสือรวมภาพผลงานของมีสที่เขาอุตส่าห์ไปซื้อมา…ชาร์ลส์รู้เองแล้วว่านี่คือเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกสร้างมาในดีไซน์ของเก้าอี้บาเซโลน่า ผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของสถาปนิกชาวเยอรมันคนนี้

               

 

 

 

 

แต่แน่นอน..ความเลื่องชื่อแค่ไหนของมันก็ไม่อาจทำให้ชาร์ลส์เลิกคิดได้แต่อย่างใดว่านี่เป็นเก้าอี้ที่หน้าตาน่าเกลียดมาก

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มหัวเราะกับตัวเองตอนจินตนาการสีหน้าของเลนเชอร์ถ้าอีกฝ่ายมาได้ฟังเขาย้ำความคิดเห็นนี้ใส่อีกรอบ ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าตนควรจะโทรไปบอกพี่สาวสักหน่อยว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น…ชายหนุ่มจึงค้นเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แตะเบอร์ที่คุ้นเคยแล้วรอให้เสียงต่อสายจบลง

               

 

 

 

 

เอ็มม่ารับสายในเวลาไม่นาน “ว่าไงชาร์ลส์?”

               

 

 

 

 

“ไม่มีอะไร…แค่โทรมาหาเฉยๆ” ชายหนุ่มยิ้ม เพิ่งตระหนักได้ว่าตนคิดถึงพี่สาวแค่ไหน “แล้วก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย”

               

 

 

 

 

เพราะเห็นว่ายังไงมันก็มีแผ่นบับเบิ้ลกันฝุ่นอยู่…ชาร์ลส์เลยขยับขึ้นมานอนพิงยาวๆ แบบสบายเต็มที่บนโซฟา ตอบคำถามที่เอ็มม่าถามถึงการเรียนและธีสิสของเขาไปตามสถานะของมัน…และก็เล่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ตนได้พบเจอมาในช่วงนี้

               

 

 

 

หญิงสาวถามขึ้นมาหลังฟังเขามาได้สักพัก…กระแสหยอกเย้าเจือจาง

               

 

 

 

 

“เรื่องต่อไปจะยังเกี่ยวกับอีริคอยู่หรือเปล่าน่ะชาร์ลส์?”

               

 

 

 

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฉันจะพูดถึงเลนเชอร์ไปทำไมหาเอ็มม่า?”

               

 

 

 

 

“เหรอ…??” ชาร์ลส์แทบนึกภาพคนปลายสายเลิกคิ้วพร้อมมองอย่างล้อๆ ปนรู้ทันได้เลย “นายพูดถึงอีริคอยู่เรื่อยๆ มาตลอดเลยนะ ไม่ได้สังเกตเลยเหรอ?”

               

 

 

 

 

“ไม่” เป็นคำตอบและคำปฏิเสธในคราวเดียว…แล้วชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องบังคับให้เสียงเฉียบขาดขึ้นมากว่าปกติด้วย “ฉันไม่ได้คุยอะไรกับเลนเชอร์มากไปกว่าเรื่องงานซะหน่อย…แล้วมันก็เป็นงานของเธอด้วย ฉันก็ต้องเล่าให้เธอฟังเยอะน่ะสิ ไม่ถูกหรือไง?”

               

 

 

 

 

เอ็มม่าหัวเราะ…ยังคงดูเหมือนอยากจะล้อเขาต่อ ชาร์ลส์จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเป็นเรื่องความวุ่นวายในวันนี้แทน…เขาบอกเธอว่าถึงเฟอร์นิเจอร์จะมาส่งก่อนกำหนด แต่ดูจากการจัดเก็บแล้วก็ไม่น่าจะมีการกระทบกระเทือนเสียหายอะไรได้

               

 

 

 

 

“เพราะงั้นไม่ต้องห่วงอะไรหรอก ทุกอย่างโอเคดี” ชาร์ลส์พูดให้พี่สาวสบายใจ…ก่อนที่จะอดบ่นต่อไม่ได้ตามประสาน้องเล็ก “แต่เอ็มม่า…จากใจเลยนะ ฉันว่ามันเป็นเก้าอี้ที่หน้าตาพิลึกที่สุดในโลกเลยล่ะ…เธอชอบเหรอ??”

               

 

 

 

 

แว่วเสียงหัวเราะอย่างอ่อนใจของคนปลายสาย ก่อนที่ความเงียบจะทิ้งตัว…ตามมาด้วยน้ำเสียงลังเล “มัน…มันไม่สวยเลยเหรอ?”

               

 

 

 

 

น้ำเสียงแบบนี้ทำให้ใจของชาร์ลส์อ่อนยวบ…เพราะเขารู้จักอีกฝ่ายดีพอว่าเวลาที่เอ็มม่ามีน้ำเสียงและถามคำถามแบบนี้ มันหมายความว่าหญิงสาวกำลังหวาดหวั่นว่าความคิดของตนจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและไม่ดีพอ ชายหนุ่มจึงรีบคิดหาคำพูด…เอ่ยออกไปอย่างนุ่มนวล

               

 

 

 

 

“มันไม่ได้ไม่สวยหรอก…อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ” เขาพูดอย่างสดชื่น “เธอรสนิยมดีจะตายไปเอ็มม่า…แล้วก็รู้อยู่ว่าฉันไม่มีหัวด้านอะไรโมเดิร์นๆ เลยนี่ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ…ฉันแค่งี่เง่าไปเอง”

              

 

 

 

 

“ชาร์ลส์…”

               

 

 

 

 

เอ็มม่าเรียก ก่อนจะเงียบไปราวคิดหาถ้อยคำและชั่งใจว่าจะบอกออกไปดีไหม…คนฟังจึงรอ ปล่อยให้เจ้าตัวได้มีเวลาคิดตัดสินใจ

               

 

 

 

 

แล้วในที่สุด…เสียงหวานก็เอ่ยคำ

               

 

 

 

 

“ฉันรู้ว่าสตูดิโอนี่ฉันเปิดตามใจตัวเอง…” ชาร์ลส์คิดว่าเขาสามารถได้ยินรอยยิ้มอ่อนๆ ของพี่สาวเจือมาในเสียงของเธอ “…แต่จริงๆ แล้วฉันคิดนะว่าฉันเปิดมันให้พวกเรา เพราะงั้นฉันถึงขอให้นายมาช่วยดูไง…มันจะได้เป็นอะไรที่ทั้งฉันแล้วก็นายชอบเท่าๆ กัน”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์นิ่งไป…ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าหญิงสาวมองรูปการทั้งหมดด้วยสายตาเช่นนี้ เพราะสำหรับเขา…ชาร์ลส์เข้าใจแค่ว่านี่คือการมาช่วยดูแลการสร้างสตูดิโอให้พี่สาวเท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเท่าที่เธอรู้สึกเลย…ความลึกซึ้งที่ทำให้ตอนนี้หัวใจของเขาเต็มตื้นและอบอุ่นอย่างประหลาด

               

 

 

 

 

“นายไม่สังเกตก็ไม่แปลก…ฉันไม่เคยบอกชัดๆ นี่นะ” เอ็มม่าดูไม่ได้ถือสาอะไร น้ำเสียงของเธอมีกระแสขันๆ เจือมาเสียด้วยราวกับเอ็นดูปนอ่อนใจ “อย่างชื่อคลาร่าน่ะ…ก็เป็นชื่อฉันกับนายมาผสมกันนะ ตัวอักษรลงตัวแล้วความหมายก็ดี…ฉันถึงเลือกใช้ไง”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์ได้แต่ส่งเสียงฮึมฮัมเป็นคำตอบ ก่อนจะกระซิบ…ประโยคไร้ที่มาที่ไป หากเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วในการจะตอบเธอ “ฉันรักเธอนะ…เอ็มม่า”

               

 

 

 

 

“โอ…ชาร์ลส์…” หญิงสาวกำลังยิ้มละไมอยู่แน่นอน พึมพำตอบเสียงเบา “…ฉันก็รักนายเหมือนกัน”

               

 

 

 

 

ชายหนุ่มเล่าต่ออีกนิดว่านี่ตนกำลังรอคุยงานกับเลนเชอร์อยู่ และพูดเย้าๆ ก่อนวางสายว่าพี่สาวควรจ่ายค่าล่วงเวลาให้อาซาเซลเป็นคำขอแต่งงานได้สักทีแล้ว

 

 

 

 

 

ความเงียบของการอยู่คนเดียวหลังจากนั้นทำให้ชาร์ลส์แอบเหงาชอบกล นิวยอร์กอันกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสีสันบางครั้งก็ช่างว่างเปล่าเหลือเกินสำหรับเขา…ชายหนุ่มขยับยุกยิก เอนหลังให้สบายบนโซฟา หลับตาสั้นๆ พร้อมผ่อนลมหายใจยาวๆ…จดโน้ตในใจว่าจะต้องหาเวลาแวะไปเวสต์เชสเตอร์ให้ได้สักหน่อยในเร็วๆ นี้

 

 

 

 

 

 

**

 

               

ชาร์ลส์คิดว่าเขาหลับตาลงแค่สั้นๆ เพื่อพักระบบความคิดและสมองอันเหนื่อยล้าจากการนั่งเขียนธีสิสเมื่อคืน…แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกที ชายหนุ่มก็พบว่าทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างกระจกใสสูงจรดเพดานนั้นถูกอาบย้อมด้วยแสงสีน้ำเงินเข้มเสียแล้ว

               

 

 

 

 

ร่างสมส่วนหยัดขึ้นนั่งอย่างง่วงๆ…ยกแขนขึ้นมาในระดับสายตาแล้วพยายามเพ่งมองนาฬิกา และการขยับตัวนี้นี่เองทำให้อะไรนุ่มๆ สีเข้มที่กางแผ่อยู่บนตัวเขาไถลแปะลงมากองตรงตัก ชาร์ลส์หยิบมันขึ้นมาสะบัดเบาๆ…ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่าของในมือตนคือเสื้อนอกสีดำตัวใหญ่

           

 

 

 

 

ของใครล่ะเนี่ย…?? 

               

 

 

 

 

เสียงพูดคุยด้านนอกเรียกให้ชาร์ลส์ลุกขึ้น…เขาพับเสื้อนอกที่มีคนใจดีเอามาห่มให้ขึ้นพาดบนแขนตัวเอง ก่อนจะก้าวไปทางด้านหน้าสตูดิโอ…เตรียมไปตามหาเจ้าของเสื้อนอกผู้มีน้ำใจและก็ถามหาเลนเชอร์ว่าลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเจ้าตัวนัดเขาเข้ามาคุยงานวันนี้

               

 

 

 

 

ซึ่งบุคคลที่ลืมเขาไว้ในห้องประชุมก็กำลังยืนคุยอยู่กับอาซาเซลตรงเคาเตอร์รีเซปชั่น…จากสภาพของหนุ่มรัสเซียที่สวมโค้ทกับถือกระเป๋าในมือแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาได้ว่าเจ้าตัวกำลังจะเดินทางกลับแล้ว

               

 

 

 

 

“อาซาเซล!” ชาร์ลส์โบกมือรัวๆ ให้เจ้าของชื่อเหมือนเด็กๆ อย่างที่ทำมาตลอด…เสียงเรียกที่ทำให้ทั้งตัวอาซาเซลและเลนเชอร์หันมาทางเขา หนุ่มรัสเซียยิ้มตอบ…ยืนรอให้ชาร์ลส์ก้าวมาร่วมวงสนทนา

               

 

 

 

 

“นายจะกลับแล้วเหรอ? ธุระเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?” เมื่ออาซาเซลพยักหน้า…ชายหนุ่มผมดำก็หันไปทางเลนเชอร์ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นกล่าวโทษเล็กๆ “ส่วนนาย…นายลืมไปแล้วใช่มั้ยหาว่าวันนี้นัดฉันมา??”

               

 

 

 

 

“ฉันไม่ได้ลืม แต่มันไม่ใช่ความผิดของฉันนี่ถ้านายจะหนีประชุมไปแอบหลับแทนน่ะ” อีกฝ่ายสวนกลับแบบไม่ยอมลงให้ พิษสงความน่าอายในข้อเท็จจริงของคำโต้นี้แทงใจดำดังฉึกจนชาร์ลส์ต้องขมวดคิ้วฮึ่มๆ ตอบ…แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกลับเพราะชายหนุ่มผมน้ำตาลชี้นิ้วมา “แล้วก็เอาเสื้อฉันคืนมาได้แล้ว”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์เผลอตัวขยับแขนให้เสื้อนอกสีดำนี้ชิดตัวมากขึ้น ย้อนถามเสียงระแวง…ความพรั่นพรึงและตื่นตระหนกเริ่มเบ่งบานในใจ “นี่เสื้อนาย??”

           

 

 

 

 

นี่เขายังฝันอยู่ใช่ไหม?? มนุษย์นิสัยไม่ดีอย่างเลนเชอร์เนี่ยนะจะมีแก่ใจแบ่งเสื้อมาห่มให้เขา??? 

               

 

 

 

 

“ถ้านายไม่ได้สังเกต…ฉันมีชีวิตอยู่ในยุคที่คนเขาใส่สูทกันแล้ว ไม่ใช่ยุคคาดิแกนคุณปู่กำลังรุ่งเรืองอย่างนายน่ะนะเซเวียร์” วงหน้าหล่อๆ นั่นเลิกคิ้วประกอบคำแซะอย่างร้ายกาจมากๆๆๆ “เพราะงั้นช่วยส่งเสื้อฉันคืนมาด้วย…เร็วๆ”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์ใช้กำลังเกินกว่าจำเป็นเล็กน้อยตอนโปะเสื้อนอกสีดำนั่นใส่ปลายนิ้วที่กระดิกๆ ตรงหน้าเขา…และยิ่งรู้สึกเชอะๆ ในใจกับการที่เลนเชอร์สามารถพลิกปลายนิ้วมายึดจับเสื้อได้อย่างรวดเร็วสบายๆ จนมันไม่ได้หล่นลงไปบนพื้น

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมน้ำตาลสวมเสื้อนอกนั่นทับเชิ้ตสีตะกั่วของตัวเองทันทีแบบไม่ใส่ใจอะไร และถ้าจะมีการรวบรวมสิ่งที่ทำให้ชาร์ลส์ขัดตาจนทนไม่ได้ล่ะก็ หนึ่งในรายการนั้นจะต้องมีปกเสื้อที่หงิกงอรวมอยู่แน่นอน ร่างสมส่วนจึงก้าวเข้าไป…พึมพำอย่างเหลือจะทน

               

 

 

 

 

“นายใส่เสื้อดีๆ ไม่เป็นรึไงหา…?”

               

 

 

 

 

โดยไม่ขออนุญาตหรือบอกกล่าว ชาร์ลส์ดึงขอบปกด้านหน้าของเสื้อนอกให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง…แล้วสองมือก็ช่วยจัดปกเสื้อให้แผ่ออกอย่างเรียบร้อย แว่วเสียงเลนเชอร์พึมพำว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่อง…กิริยาจึงเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่คล้ายๆ การดึงชิ้นผ้าและตบป้าบๆ ให้มันไม่ยับแทน ก่อนที่ชาร์ลส์จะมองเห็นอะไรบางอย่างที่โผล่พ้นขึ้นมาจากขอบกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายแล้วอุทานออกมา

               

 

 

 

 

“เฮ้…นั่น…”

               

 

 

 

 

เลนเชอร์ก้มมองตาม ก่อนจะพูดเสียงไม่เดือดไม่ร้อน “อ๋อ…ใช่”

 

 

 

 

 

ปลายนิ้วเรียวยาวหยิบมันออกมาจากกระเป๋า…แว่นตากรอบดำที่คุ้นตาชาร์ลส์เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันคือแว่นตาของเขา

 

 

 

 

 

มือของชาร์ลส์ที่ยังคงคาอยู่บนปกเสื้อนอกขยับริกๆ…ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรั้งเนื้อผ้าขึ้นมารัดคอคนใส่ดีไหมโทษฐานงุบงิบแว่นตนไว้ ซึ่งเลนเชอร์คงอ่านความรู้สึกของเขาได้…เพราะเจ้าตัวหรี่ตามองมาทันที พูดเสียงกดต่ำราวกับจะบอกว่าอย่ามาโทษตนเชียวนะ

 

 

 

 

 

“นายลืมไว้ในรถฉันหรอกเถอะ ไม่ยอมโทรมาถามเองด้วย…ฉันก็นึกว่ารอมาคืนวันนี้ได้สิ” ปลายนิ้วเรียวยาวนั่นค่อยๆ กางขาแว่นออก “รีบๆ เอาคืนไปเลย…เกะกะ”

 

 

 

 

 

คำพูดเหมือนจะรอให้เขาเอื้อมมารับไป…แต่หลังกล่าวจบ เลนเชอร์ก็ก้มตัวเข้ามาหาเล็กน้อย…มากพอที่จะทำให้ชาร์ลส์ได้เห็นสีเทาของนัยน์ตาได้อย่างชัดเจน มือข้างหนึ่งเชยปลายคางของเขาไว้…ส่วนอีกข้างก็สวมแว่นตาลงมาให้ ปลายนิ้วขยับกลับมาช่วยจัดและปัดปอยผมบางปอยออกไปให้พ้นเมื่อแว่นตาอยู่บนกรอบหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว…กิริยานุ่มนวลจนไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นการกระทำของมนุษย์นิสัยไม่ดีอย่างอีริค เลนเชอร์

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์จึงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเผลอขยำเสื้อด้านหน้าของอีกฝ่ายไว้และเลนเชอร์เองก็ดูจะไม่รู้ตัวเลยเหมือนกันว่าปลายนิ้วยังคงแตะอยู่บนข้างแก้มเขา…จนกระทั่งตอนที่อาซาเซลกระแอมดังๆ

 

 

 

 

 

“ฮัลโหล?? พวกนายได้ยินฉันไหม???”

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์ปล่อยมือจากเสื้อของคนตรงหน้าอย่างเร็วจี๋ราวกับมันเผาไหม้ผิวแล้วหันไปหาหนุ่มรัสเซียทันที พยายามปั้นยิ้มทั้งๆ ที่ในหัวมีแต่เสียงโวยวายว่าเมื่อกี้มันบ้าอะไรกัน “ว่าไงนะอาซาเซล?”

 

 

 

 

 

“ฉันบอกว่าฉันจะกลับแล้ว” ประโยคหลังถูกมอบให้ร่างสูงโปร่งข้างๆ เขา…แฟ้มในมือถูกโบกนิดๆ ประกอบ “แล้วเดี๋ยวฉันจะเอานี่ให้เอ็มม่านะ…แต่นายเองก็อย่าลืมส่งฉบับเป็นอีเมลไปให้เขาล่ะ โอเคมั้ย?”

 

 

 

 

 

เลนเชอร์พยักหน้า…ก่อนที่ทั้งสามจะเดินออกจากสตูดิโอแล้วเข้าไปในลิฟต์ ชาร์ลส์ขอบคุณฝ่ายอาคารที่เลือกเปิดเพลงเบาๆ…เพราะสายตาสงสัยตงิดๆ ของอาซาเซลกับความนิ่งเงียบเหมือนกำแพงหินของเลนเชอร์เป็นทางเลือกที่เลวร้ายพอกัน

 

 

 

 

 

แต่ถ้าจะต้องเลือกระหว่างความเงียบกับบทสนทนาจากเลนเชอร์…ชาร์ลส์บอกได้เลยว่าอย่างหลังเป็นอะไรที่รังควาญประสาทมากกว่ากันเยอะ

 

 

 

 

 

“เมื่อวันก่อนฉันได้ดู Pride & Prejudice จนจบแล้ว”

 

 

 

 

 

แล้วนายคิดว่าฉันควรตอบรับยังไงล่ะหา? “แล้ว?” 

               

 

 

 

 

“มันน่าเบื่อมาก” เลนเชอร์ยังคงพูดโดยที่สายตาจับจ้องที่เพียงประตูลิฟต์เบื้องหน้าเท่านั้น…เช่นเดียวกับชาร์ลส์ เขามองเพียงปุ่มกดชั้น บทสนทนาดำเนินไปราวกับต่างคนต่างก็พูดกับอากาศอยู่ “ฉันเกลียดเจน ออสเตน”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์แอบเขม็งสายตา…ถึงคำพูดจะกล่าวถึงแค่ความรู้สึกของเจ้าตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกชอบกลว่าเลนเชอร์กำลังแซะรสนิยมของเขาทางอ้อมอยู่ จึงแกล้งดัดเสียงให้ฟังดูเรียบเรื่อยหากกวนประสาทนักกลับไป

               

 

 

 

 

“งั้นเหรอ?” ยักไหล่ประกอบเสียด้วยต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ได้มอง “…นายก็นั่งดูหนังของเขาจนจบนี่ คงน่าเบื่อจริงๆ สินะ??”

               

 

 

 

 

ขนาดไม่ได้เห็นเต็มๆ ตา…ชาร์ลส์ยังรู้สึกได้เลยว่าสายตาของอีกฝ่ายนั้นคมกริบและคาดโทษแค่ไหน แต่ในนาทีนี้เขาไม่ได้สังเกตเท่าใดนักเพราะกำลังยุ่งกับการหัวเราะอย่างสะใจเล็กๆ ในใจอยู่

 

 

 

 

 

อาซาเซลมองมนุษย์ร่วมลิฟต์ทั้งสองของตนไปมา…แต่ไม่มีใครรู้สึกตัว

 

 

 

 

 

เสียงเพลงโอบล้อมทั้งสามอีกรอบ…ก่อนที่คราวนี้ เป็นชาร์ลส์บ้างแล้วที่เริ่มต้นพูดขึ้น

 

 

 

 

 

“ที่มาส่งวันนี้คือเก้าอี้บาเซโลน่าของมีส”

 

 

 

 

 

เลนเชอร์ยังคงมองแต่ประตูลิฟต์ตอนตอบรับประโยคบอกเล่าไร้ที่มาที่ไปนี้ “แล้ว?”

 

 

 

 

 

“มันดูนั่งไม่สบายเลยสักนิดเดียว” ชาร์ลส์แกล้งพูดเสียงอารีอารอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว…ก่อนจะทำหน้าเหมือนลำบากใจที่จะต้องบอกสิ่งนี้ “และฉันก็ยังยืนคำเดิมว่ามันเป็นเก้าอี้ที่หน้าตาน่าเกลียดมาก”

 

 

 

 

 

“ก็ไม่รู้ล่ะนะ…” ภาพไหวๆ ที่ปลายสายตาบอกให้เขารู้ว่าเลนเชอร์ยักไหล่ น้ำเสียงครุ่นคิดอย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด “…เพราะยังไงนายก็หลับสนิทบนนั้นได้เป็นชั่วโมงเลยนี่นะ ฉันคงเถียงอะไรไม่ค่อยได้หรอกจริงไหม??”

               

 

 

 

 

นาทีนี้นี่เองที่ทั้งสองดูจะหมดความอดทนลงพร้อมกัน…ต่างก็หันหน้ามามองกัน สายตาหาเรื่องถูกแลกเปลี่ยน…แต่อาซาเซลก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนที่เถียงกันจนเหมือนพร้อมจะทะเลาะกันใหญ่โตแล้วถึงได้มีสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งกันทั้งคู่แบบนี้

               

 

 

 

 

และที่พิลึกกว่านั้นก็คือ…แทนที่จะทะเลาะกันอย่างที่ควร ทั้งคู่ต่างก็หันกลับไปจ้องประตูลิฟต์และปุ่มกดชั้นเหมือนเดิม

               

 

 

 

 

สักพัก…ชายหนุ่มผมน้ำตาลก็เริ่มวงจรที่น่ามึนนี้ขึ้นมาใหม่

               

 

 

 

 

“นายจะกลับแท็กซี่ใช่มั้ย?”

 

 

 

 

 

ประโยคคำถามไร้ที่มาที่ไปโดนตอบด้วยประโยคคำถามไร้ที่มาที่ไปอีกที

 

 

 

 

 

“นายจะขับรถกลับคนเดียวใช่มั้ย?”

 

 

 

 

อาซาเซลเริ่มสงสัยแล้วว่าอีริคกับชาร์ลส์คุยงานกันรู้เรื่องได้ยังไง

 

 

 

 

 

ความเงียบทิ้งตัวชั่วนาที ก่อนที่เสียงทุ้มจะถามอีก…มันฟังดูงุ่นง่าน หากก็แผ่วค่อยอย่างไม่สมนิสัยเลย

 

 

 

 

 

“นายอยากกลับแท็กซี่รึเปล่าล่ะ?”

 

 

 

 

 

…กระแสความรู้สึกแบบเดียวกับที่เจืออยู่ในประโยคจากชายหนุ่มผมดำ

 

 

 

 

 

“นายอยากขับรถกลับคนเดียวรึเปล่าล่ะ?”

 

 

 

 

 

อาซาเซลเริ่มสงสัยมากๆ แล้วว่าอีริคกับชาร์ลส์คุยงานกันรู้เรื่องได้ยังไง

 

 

 

 

 

ลิฟต์ถึงชั้นล่างสุดพอดี…หากก็ยังมีเวลาพอจะให้หนุ่มรัสเซียได้บอกกล่าวความหัวหมุนของตัวเองออกไปดังๆ

 

 

 

 

 

“พวกนาย” แขนกางออกนิดๆ…กวาดมืออย่างงงสุดขีด “มีอะไรที่ฉันไม่เข้าใจเกิดขึ้นอยู่รึเปล่าน่ะ??”

 

 

 

 

 

ทั้งสองหันมามองหน้าเขา…พูดพร้อมกันอย่างสบายๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้และทุกประโยคที่ผ่านมาคือการพูดกับอาซาเซลมาตลอด

 

 

 

 

 

“ไม่มีอะไรนี่…ก็ปกติดีออก”

 

 

 

 

 

หนุ่มรัสเซียรู้สึกว่านี่เป็นคำตอบที่ไม่จริงเลยเพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดในตอนนี้สักนิดเดียว…และการที่อีริคกับชาร์ลส์ – สองคนที่น่าจะแยกกันไปคนละทาง – กลับเดินเคียงกันไปเสียอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างน่างงยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

****************************

 

สวัสดีค่ะทุกคน บทนี้ความจริงจะลงเมื่อคืน แต่เพราะง่วงขาดใจมากๆๆๆๆๆเลยเพิ่งมาได้แปะวันนี้ค่ะ…เกิดมาไม่เคยตื่นโซโล่ทำนั่นนี่นู่นไม่หยุดมือข้ามวันข้ามคืนแบบเมื่อวานเลย T___T สรุปคือพลังชีวิตหมดหลอดจริงๆค่ะ พิมพ์คำว่าสวัสดีกับชื่อตัวเองในทอล์คยังผิดเลยเมื่อคืน

 

 

บทนี้ประกอบด้วยธีม/ซีนที่ตั้งใจจะใส่ราวๆ 4%…ส่วนอีก 96% นี่คือซัมติงที่ sort of happened by itself ค่ะ TvT ทิพย์เขียนบทนี้นานแล้ว ตอนที่สติเต็มร้อย แต่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยการดริฟต์สดๆอย่างทุกบทค่ะ…เหมือนคิดถึงโมเมนต์ที่ตั้งใจจะใส่ แล้วซีนมันก็ก่อตัวเป็นหนังในหัวขึ้นมาเอง ทิพย์ไม่ค่อยได้มีสิทธิ์มีเสียงในการกำกับเท่าไหร่เลยด้วย ฟฟฟฟฟ เชริคร้ายกาจ

 

 

เพราะฉะนั้นถ้าพบเจอความงงใดๆ…มองข้ามนะคะ มองข้ามไปส์สสสส

 

 

สอบเสร็จหมดแล้ว แต่ก็ยังต้องอ่านหนังสือต่อเรื่อยๆ+ลุ้นผลสอบค่ะ นี่จะมีแว่บไปทริปด้วยนิดหน่อย แล้วไหนจะโปรไปลงงานอเวนิวอีก  รู้สึกมีเรื่องให้ทำเบียดๆๆๆกันเข้ามาเยอะจริงๆค่ะ เหนื่อยแต่ก็สนุกแบบแปลกๆดี //สายเอ็ม

 

 

หวังว่าทุกคนจะเอนจอยกับบทนี้นะคะ ดีใจจริงๆที่ทุกคนให้ความอบอุ่นกับฟิคเรื่องนี้ค่ะ //ม้วนตัว

 

 

 

ด้วยรักและอยากแผล่บๆๆๆหน้าร้านปราด้าเหลือเกินค่ะ

 

 

 

ทิพย์เอง

 

 

 

24 responses to “[X-Men Fic][ErikCharles] The Architecture of Metanoia and Concinnity (4)

  1. นี่มันอะไรกันค๊าาาาาอีริค เลนเชอร์และชาร์ลส์ เซเวียรรรรร์
    การพูดคุยแบบธรรมชาติสุดๆแบบนี้คืออะไรคะะะะะะ
    ขนาดแฟนกันยังไม่เป็นถึงขนาดนี้
    แล้วการจัดเสื้อการใส่แว่นนั่นอีกกกกกก มันเป็นพฤติกรรมของคู่ชีวิตชัดๆ!!
    #ระเบิดตัวเองงงงงแป๊บบบบ
    นับวันฟิคเรื่องนี้ยิ่งก๊าวขึ้นเรื่อยๆ ฮื้ออออออ
    ไม่มีตอนไหนที่ไม่จิกหมอนบอกเลยยยยย

    Like

  2. ชอบตรงที่เถียงกันในลิฟต์มากค่ะ มันแบบ 555555555555555555
    /สงสารอาซาเซลแปป
    ตกลงจะเถียงกันหรือจะจีบกันคะ เอาให้แน่ๆ /โดนตบ

    เอ็มม่าน่ารักมากก เป็นคุณพี่สาวแสนดีมากๆ อ่านแล้วเขินเลยค่ะ UvU (อะไรนะ)

    ไม่เข้าใจอีริคว่าจะไปบอกเขาทำไมว่าตัวเองดูหนังจบแล้ว จำเป็นต้องบอกเพื่ออะไรคะ 5555
    ความซึนของคุณสถาปนิกกทำออยขำมาก ชอบเขาก็บอกมาเถอะะะะะ ทำมาอ้างนู่นอ้างนี้อ้างนั่น สุดท้ายเอาเสื้อไปคลุม เก็บแว่นไว้ให้เค้า แถมยังจะอาสาจะไปส่งทางอ้อม ถถถถถถถถถถถถถ

    ตอนชาร์ลส์เดินเข้าไปจัดปกเสื้อ ยังแอบคิดเลยค่ะ เฮพวกนายอาซาเซลยังยืนอยู่ตรงนั้นนะอย่าทำเหมือนโลกนี้มีกันสองคนค่ะ ฮืมมมมม

    ร้านร่วมกันนี่คือตกแต่งสไตล์เอ็มม่าส่วนแฟนสถาปิกคือชาร์ลส์ใช่มั้ยคะ หงิหงิงหงิ

    Like

  3. โอร้ยยยยยยยยยยย นี้มันจัดอยู่ในสิ่งที่สมควรคบกันไปเลยยย
    ตอนที่มีโลแกนโผล่เข้ามาคือคิดว่า โลแกนจะจีบน้องชาร์ลส์ #ไปนู่น
    ถถถถถถถถถ ใน dofp นี้แอบฟึดฟัดแทนพี่ริคไปหลายขุมตอนที่ชาร์ลส์อ่านความทรงจำโลแกน
    ไม่นะะะะะะะ อยู่ห่างกันเข้าไว้ TT
    แล้วตอนที่เข้ามาแตะศอกเลนเชอร์นั้นคืออะไรรร กรี๊ดดด TT
    แต่งงานค่ะแต่งงานนน แต่งเลยยยย แค่นี้ก็เหมือนคนคบกันเข้าไปทุกทีแล้ว
    อีกอย่าง แซะกันไปมานี้คือสนุกใช่ไหมคะ คุยกันรู้เรื่องอยู่สองคน
    ละมุนสุดที่น้องเซเวียร์หลับแล้วพี่เลนเชอร์เอาสูทห่มให้
    แหมมมมมม เลนเชอร์คะ …… #เอาพัดปกปากแล้วหัวเราะเบาๆ
    แล้วทำไมต้องแขวะน้องเรื่องคาดิแกนกับเสื้อไหมพรมมม
    แต่สุดท้ายก็ดูหนังย้อนยุคจนจบ นี้เบื่อขนาดนั้นยังดูจบจบ ถถถถ ปรบมือค่ะ 5555

    แนะนำให้อาเซเซลเฟดตัวจากลิฟท์โดยพลังเทเลพอร์ธด่วนๆ
    ปล่อยคนคุยรู้เรื่องสองคนเค้าคุยกันไปค่ะ
    ถามกันไปถามกันมา น่ารักและโมเอร้มากกกก

    นอกนั้นยังมีกลับด้วยกันด้วย …
    #เหมือนได้ยินเพลงงานแต่งงานแว่วมากแล้ว 55555555

    Like

  4. ฮึ่มฮึ่มฮึ่มมมมมม ไอ้การที่พวกเธอสื่อสารกันอย่างประหลาดนี่เรียกโลกส่วนตัวมั้ยย
    เราเข้าใจอาซาเซลเลยยยย สูตรเคมีคู่นี้เข้ากันมาก ทำำปฏิกริยากันแรงมากฮึ่ม
    เค้าทำเหมือนในลิฟท์มีกันอยู่สองคนเน้อะ 55555
    ชอบฉากของชาร์ลส์กับเอมม่ามาก นางเป็นพี่สาวที่น่ารักจังเลย
    อยากรู้ว่าพอชาร์ลส์รู้ว่าเอมม่าตั้งใจทำร้านเพื่อตัวเองและชาร์ลส์แล้วจะยังไง
    อีริคจะต้องใส่ความคลาสสิคลงไปแบบไหน
    โฮ่ยยย เกือบลืม เสื้อสูททท นายคือกามเทพสื่อรักมากกก
    อีริคเอานายไปห่มให้ชาร์ลส์แล้วชาร์ลส์ก็ช่วยอีริคใส่เสื้อ
    อะไรจะดูคู่ใหม่ปลามันขนาดนี้คะตอบที โฮ่ยยยยยย
    โอ้ยไม่ไหวล้ะ อยากรู้ตอนต่อไปมาก
    ขอบคุณคุณทิพย์ที่แต่งมาแล้วแบ่งปันนะคะ 🙂

    Like

  5. อีริคหล่อมาก หล่อมากแบบหล่อมาก กดแคปล็อคแล้วพิมพ์ตัวพิมพ์ใหญ่เน้นๆว่าหล่อมาก โอ้ย ตายยย
    /เก็บสติที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วที่หล่นกระจายตามพื้น/

    ตอนนี้เป็นตอนที่อ่านเพลินมากเลยค่ะ อ่านไปดีดดิ้นไป ด้วยความฟิน บริหารติ่ง ทำไมมันลงตัวแบบนี้ฮืออออออ
    คือกรี๊ดตั้งแต่พ่อสถาปนิกมหาจำเริญเลนเชอร์นอนเล่นอยู่ที่บ้านแล้วนึกถึงแต่ชาร์ลส์แบบไม่ได้ตั้งใจแล้วค่ะ
    อ่านแล้วอยากจะเข้าไปเขียนป้ายแปะไว้หน้าบ้านว่านายกำลังมีความรักนะคะเฟ้ยอีริคคุงงงงงง บ้าๆๆๆ
    และเราก็รู้ก็เห็นนะ แอบจดไอเดียแอบสเก็ตซ์แบบอะไรไว้ใช้ไหมล่าาาาา จะตามใจชาร์ลส์หน่อยใช่ไหมล่าา
    รักตายเลยอะแบบนี้ โอ้ย เป็นสถาปนิกที่ปากแข็งน่ารักน่าฟหกดหฟมาก

    แล้วคือ…โลแกน 5555555 คือเราจินตนาการเป็นโลแกนใส่เสื้อกล้ามขาว กางเกงยีนส์แบกบาเซโลน่าขึ้นไหล่มาด้วยแขนข้างเดียวในมาดผู้รับเหมา ทำไมไซต์งานนี้ถึงมีแต่หนุ่มฮอตคะะะะ พอพูดถึงบาเซโลน่าแล้วอยากชมอีริคกับเอ็มม่าว่ารสนิยมดีมากๆๆๆๆค่ะ ตัวนี้อะสวยสุดยอดเลยเหอะ ทำไมชาร์ลส์ถึงไม่เข้าใจห้ะ!!

    การที่ชาร์ลส์คุยกับเอ็มม่าแล้วเล่าแต่เรื่องอีริคเนี่ย…คือนี่ไม่รู้ตัวกันจริงๆเหรออออ อยากจะเขียนป้ายแปะไว้ตามฝ้าเพดานว่านายกำลังมีความรักนะคะเฟ้ยชาร์ลส์คุงงงงง แล้วเอ็มม่าก็เป็นอาเจ๊ที่น่ารักและเข้าอกเข้าใจคุณน้องเหมือนเดิม ฮือ เจ๊คะ หนูรักเจ๊หนูคิดถึงเจ๊ค่ะ!

    ขอตัดข้ามมาฉากคืนแว่นเลย คือ…ตายค่ะ ตายยยย อีริคเอ้ยยย ขุ่นพระะะะ พ่อสถาปนิกสุดหล่อเชิ้ตสีตะกั่ว /ซับกำเดาแปปค่ะ เป็นโรคภูมิแพ้สถาปนิกหล่อ/ เป็นการคืนแว่นที่หยุดลมหายใจมาก กรี๊ดโฮกตั้งแต่ที่บอกว่า “เกะกะ” แล้ว โอ้ย อีริค การกระทำนายมันไม่ใช่เลยนะ คือไม่สนใจเลยใช่ไหมว่าพี่เขยจะยืนอยู่แถวนั้น (ซึ่งอาซาเซลมึนงงได้น่ารักมากกกก เอาไปฟ้องเจ๊เอ็มม่าเลยค่ะเฮียขา) คือ คือ คือเราว่าตอนคืนแว่นฆ่าเราตายสนิทแล้วนะคะ แต่เราถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาแล้วโดนเชือดทิ้งอีกรอบด้วยบทสนทนาในลิฟต์ อยากจะลุกขึ้นเปล่งแสงสีรุ้งแห่งความฟินออกมาจากทวารทั้งเก้า ชอบมากกกกๆๆ ไม่รู้จะบอกไงดีแล้วค่ะทิพย์ จะสแมชคีย์บอร์ดอธิบายความรู้สึกซักล้านหน้าดอคคิวเมนต์ก็ดูจะบ้าไป คือความสุดยอดของเชริคมันอยู่ที่บทสนทนานี่แหล่ะค่ะ คือคำพูดรูปประโยคไม่หวานงุ้งงิ้งอะไรเล้ย แต่มันหวานมาก เข้าใจที่เราต้องการบอกใช่ไหมคะะะ /น้ำตานอง/ คือเฮียอาซาเซลไม่ต้องมึนหรอกค่ะว่าพวกเขาสื่อการกันรู้เรื่องได้ยังไง เฮียเห็นด้ายแดงที่คล้องนิ้วก้อยทั้งสองคนนั้นไว้ไหมคะ นั่นแหล่ะค่ะคำตอบ แงงงง

    ขอบคุณทิพย์นะคะที่เขียนอะไรฟินๆออกมาได้ไม่รู้จบเลย รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อมาก รักเชริคคคคค!!! /ตะโกนลั่นผาทรนง/ ช่วงนี้ทำงานอ่านหนังสือหนักรักษาสุขภาพด้วยนะคะ

    ((โอ้ย พอเลื่อนดูแล้วเม้นยาวจังงงง เราบ้าค่ะ ปล่อยเราไป T_T))

    Like

  6. อ่านแล้วยิ้ม อ่านแล้วจะเป็นบ้า
    น่ารักกันจังเลย น่ารักกันอีกแล้ว เถียงกันงุ้งงิ้งก็ยังน่ารัก
    โว้ยยยยย!!!ไอ่พวกบ้าาาาาาาาาาาาาาาา
    แซะกันไปกัดกันมาเดี๋ยวๆก็รักกัน สงสารก็แต่อาซาเซลที่ถูกลืม
    ขอบคุณคุณทิพย์สำหรับฟิคฟินๆนะคะ รักษาสุขภพด้วยนะคะ
    จะรอติดตามผลงานค่ะ

    Like

  7. แงงงแงงงงง น่ารักมากกก ฮือออ อารมณ์เหมือนคู่สามีภรรยากันมากก โลกนี้มีแค่สองเราาาา
    แอบสงสารอาซาเซล หลุดไปในโลกสีชมพูของเชริคคค โอ้ยตายยย แลดูอาซาเซลงงๆเงิบบบๆ ในใจอาจจะคิดว่า สงสัยได้แต่งงานก่อนตรูแน่ 555

    Like

  8. อยากจะอัดวิดีโอเหตุการณ์ในสามตอนที่แล้วมาให้อาซาเซลดูจังเลยค่ะ ไม่ใช่เพื่อหายงงนะ
    แต่เพื่อให้นายมาเชียร์คู่นี้กับเรา นี่ๆ ขนาดเอ็มม่ายังเหมือนจะเชียร์อยู่กลายๆ เลยนะ
    มาชิปเชริคด้วยกันเถอะนะ เถอะนะ เถอะนะ /อวยผิดเวลา/

    แบบนี้ก็ดีนะ! เดี๋ยวจัดร้านเสร็จใช่ไหม ก็เลือกหวานเลย สองคู่ พองานแต่งก็แต่งเป็นคู่
    เชริคกับอาซาเซลเอ็มม่า สวยงาม /โปรยดอกไม้/ /ยังคงอวยอย่างต่อเนื่อง/

    ประเด็นแว่นของหนูชาร์ลส์ยังคงไม่จบง่ายๆ งื้อออออ ทำไมมันไปอยู่กบอีริคได้ล่ะ
    นี่พระเจ้ารู้เห็นไปใจหรือหนูชาร์ลส์อยากจะอ่อยเขาลูก /โดนเสยไปดาวอังคาร/
    แล้วอะไรคืออีริคไม่ยอมคืนจนวินาทีสุดท้าย อยากเอาของเขาไว้กับตัวก็บอก
    กะจะเก็บไว้ใช้เป็นข้ออ้างเวลาอยากเจอเขาใช่ไหมล่ะ อย่ามาทำหน้าหล่อแถวนี้นะ! (?)

    พระเจ้าช่วยกล้วยทอดกล้วยตาก…ลองนึกภาพอีริคใส่เสื้อคอเต่าไปคลุมแจ็คเก็ตบนตัวชาร์ลส์สิ
    แบบว่า ชาร์ลส์กำลังนอนขดเป็นกุ้งในชุดคาดิแกนสีน้ำเงินอะไรเทือกๆ นั้น…
    วกแไฟพา่ๆไวสพาะ่วไพสะองวพไสอะวำสพะไำพสแเะางไำวพะเาะวำสวฟวำแวหำสดวำดแพ
    /จงรับความเสียสติของเราไปหนึ่งบรรทัดเต็มๆ/ เราไม่ไหวอ่ะ คือไม่ไหว
    ก็ไม่ได้มุมิอะไรหรอก ก็ไม่ได้อบอุ่นอะไรหรอก ก็ไม่ได้แผ่ออร่าสีชมพูเท่าไหร่หรอก ไม่เล้ยยยยยย
    อีริคคลุมให้แล้วไงต่อ เราไม่คิดว่าอีริคจะเข้ามา คลุม แล้วก็ออกไปหรอกนะ
    ตอนนั้นมันต้องเกิดอะไรสักอย่างงงงงง แบบว่า เข้ามา ยิ้มขำๆ ที่ชาร์ลส์หลับอุตุ
    เอ็นดูท่านอนหลับของชาร์ลส์ที่มันช่างแสนน่ารักน่าฟั— /นอกจากจะมโนฉากเองยังไบแอสเอง/

    และ และ และ และ และที่เขาคุยกันบนลิฟต์น่ะ บนลิฟต์สื่อรัก (?) นั่นน่ะ!!
    พวกนายคุยเรื่องเดียวกัน ใช่ ฉันฟังออก ฉันสื่อสารภาษาเชริคได้ฉันเข้าใจพวกนายนะ TwT
    อาซาเซลอาจจะงง เดี๋ยวค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเจ๊เอ็มม่านะคะ T////T
    แปลง่ายๆ คือเขากำลังจีบกันค่ะพี่ชายยย ฮือ ฮันว่าฉันไม่ไหว ยาดมยาอมยาหม่องใครมีบ้าง
    เป็นการชวนให้อีกคนติดรถและเป็นการตอบรับคำชวนที่เต็มไปด้วยความงุงิน่ารักเสียเหลือเกิน
    กัดกันไปเถอะค่ะ ประชดกันไปเถอะค่ะ ไปๆ มาๆ เดี๋ยวก็ได้กั— /ข้อควาทำลายตัวเองอัตโนมัติ/

    Like

  9. โอยอีริคคคค นายจะซึนเดเระเกินไปแล้วนะยะะะ
    แอบคิดถึงเค้า แอบห่มผ้าให้เค้าแล้วยังจะไม่ยอมรับอีกเรอะว่าแอบชอบเค้าไปแล้วน่ะตาบ้าแง่งงงงงง บ้าเอ้ยๆๆ น้องชาร์ลส์เองก็อีกคน พูดถึงเค้าแบบไม่รู้ตัวนี่แสดงว่าเผลอใจไปแล้วใช่มั้ยลูกกก ง้อยยยยย ///// ความสัมพันธ์แบบพี่น้องอบอุ่นๆของชาร์ลส์กับเอมม่าก็น่ารักมากๆเลยค่ะ มุมิมากก
    ส่วนตัวชอบช็อตทีีสองหนุ่มกุ๊กกิ๊ก เอ้ย พูดคุยกันในลิฟต์มากๆเลยค่ะ มันแบบว่าใจสื่อถึงกันอ้ะะ บทสนทนานี้มีเพียงเราสองที่เข้าใจกัน พวกคนนอกน่ะเข้าไม่ถึงหรอกนะ อะคริๆๆๆ
    รอคอยตอนต่อไปค่าา *v*

    Like

  10. สติไม่ค่อยอยู่กับตัวแล้วฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ขอเริ่มสแมชคีย์บอร์ดค่ะแงงงงงงงง
    อีริคน่ารักมากที่นั่งดู price & prejudice จนจบฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟนายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยบ้าจริงนายไม่ได้กำลังพยายามศึกษาอะไรก็ตามแนวคลาสสิคเพื่อจะไปจีบเจ้าของคาร์ดิแกนคุณปู่ใช่ไหมมมมมมฟกดฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟกดฟหกดฟกดฟกหดฟกดฟดฟหกดฟหกด

    จะบอกว่าพี่ทิพย์ร้ายกาจมากที่เขียนอีริคหล่อขนาดนี้ฟหกฟหกฟหกฟหกฟหกหฟดฟหดฟห /ตะกุยจอ ชอตใส่เสื้อนี่คือเราขอลงไปกองตัวเหลวๆ กับพื้นแล้วรอให้มิสเตอร์แลนเชอร์มาเดินเฉียดไปเลยค่ะแงฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ส่วนตัวนี่ไม่รู้ทำไมแต่ชอบประโยคของอีริคที่พูดว่า “ฉันเกลียดเจน ออสเตน” มาก ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกว่าอีริคน่ารักกกกกฟหฟดฟหดฟหดหฟกดแงงชอตในลิฟต์คือเชริคกำลังจีบกันต่อหน้าอาซาเซลโดยใช้คำที่อ้อมโอกที่สุดกันใช่ไหม /พวกนายอาจจะไม่ได้จีบกันแต่พวกนายกำลังจีบกันอยู่ว

    อาซาเซลตอนนี้น่ารักมากเลยค่ะพี่ทิพยยยยยยยยยยยยยยยยยยย์ฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดฟกหดฟด /อ้วกเป็นสายรุ้งส่งให้

    ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะะ ; v ; ช่วงนี้กำลังมึนๆ เจอฟิคแล้วใจชื้นขึ้นบ้างโฮๆ

    Like

  11. ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ความเขินที่มาจากไหนไม่รู้ ผลักดันให้ผ้าห่มกลายเป็นทาสรองรับแรงกัดเพราะกรี๊ดไม่ได้ แงงงงงงงงง้ เขินมหาศาลอลังการงานสร้าง รุนแรงยิ่งกว่านิวเคลียร์ที่จะพุ่งตรงไปยังชายหาดในซีนหย่านั้นอีกกกกกกก

    ชาร์ลส์คนบ้าาาาาาา ไปลืมแว่นไว้ในรถคนอื่นแบบนี้ได้ไง เป็นการกระทำที่น่ารักมากกกกกและขอบคุณที่อีริคพกมันมาด้วยในวันคุยงาน โฮกกกกกก เพราะไม่งั้นซีนที่ทำให้อาซาเซลกลายเป็นอากาศธาตุจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน มันฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟมันก๊าวมากกกกกกกกกก ก๊าวตั้งแต่อีริคที่เลิกคิดถึงเหตุการณ์และคำพูดต่างๆที่เคยได้พูดคุยกับชาร์ลส์ในวันวาน ก๊าวมาเรื่อยยันตอนเดินออกมาจากลิฟต์ โอ๊ยแงงงงงง เบสท์ โมเม้น เอเว่อ!

    ชาร์ลส์คงไม่รู้ว่าตอนที่เดินเข้าไปห้ามสงครามที่กำลังจะเกิดของผู้ชายตัวโตสองคนนั่นมันดูน่าหวาดเสียวแค่ไหน ถถถถถ เหมือนลูกกระต่ายที่ลืมตัวเดินเข้าไปห้ามการทะเลาะกันของเสือและสิงห์ (อันที่จริงคือหนูตัวขาวๆที่เดินอย่างลืมตัวเข้าไปห้ามการทะเลาะกันของหมาป่าและฉลาม) และการเนียนของชาร์ลส์คือน่ารักมากกก แอบเนียนเอามือแตะแขนอีริคด้วย -////////- จากแตะแปลเปลี่ยนเป็นการจับ ฮรุ่มมมมม ตายอย่างสงบ O<—–<

    ขอบคุณเอ็มม่าที่เลือกสถาปนิกคนนี้ ขอบคุณจริงๆจากใจ 5555 ชอบตอนชาร์ลส์โทรไปหาเอ็มม่าปล้วพูดคุยเรื่องต่างๆด้วยกัน ให้ความรู้สึกแบบอบอุ่นจริงๆ พี่สาวน้องชายที่มาจากต่างครอบครัวแต่พออยู่ด้วยกันแล้วรักและห่วงใยกันแบบดีถึงดีมาก คือเปิดร้านเพชรเพราะตัวเองชอบแต่ก็ยังไม่ลืมนึกถึงน้อง เอาชื่อมารวมกันแล้วตั้งเป็นชื่อร้าน เอ็มม่าโคตรครีเอท
    แต่ตอนคุยกับพี่สาวนี่เรื่องส่วนใหญ่ที่ชาร์ลส์พูดถึงคืออีริคนะ เหมือนกับว่าเพราะชาร์ลส์คิดถึงอีริคเลยพูดมันออกมาเยอะแยะจนเอ็มม่าถึงกับแซว ฮั่นแน่ะะะะ /เอ็มม่าบอกรู้สึกได้ถึงรังสีวิ้งๆชมพูๆนะจ๊ะชาร์ลส์/ และต้องขอบคุณโลแกนที่เอาโซฟา,เก้าอี้ที่ชาร์ลส์ยืนยันว่ามันหน้าตาน่าเกลียดแต่หลับสบายมาส่งให้ในวันนี้เพราะมันคือไอเทมที่ทำให้เกิดโมเม้นดีๆที่ว่าคนตัวเล็กหลับบนโซฟา หลับสบายจนไม่รับรู้ถึงสูทสีดำที่มาคลุมตัวให้ (ฟืดฟาด ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ≧▽≦) ที่เอามาคลุมให้นี่เพราะอะไรคะคุณเลนเชอร์ เพราะห่วงว่าอีกคนจะหนาวจนป่วยได้หรือยังไงคะ ฟฟฟฟฟฟฟ และตอนขอเสื้อคืนคืออะไรที่ดีมาก โดยเฉพาะตอนใส่แล้วปกมันพับๆเข้าไปอย่างไม่เรียบร้อย ใครอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเลยต้องช่วยจัดให้มันกลับมาดูดี และนั่นมันเหมือนการกระทำของคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่เลย แงงงงงงง้ เขินน้ำตาจะไหล T/////T (ในตอนนี้อาซาเซลถูกเมินไปแล้ว 200%)
    แล้วแว่น แว่นนั่น.. คือดีมากกับการที่มันยังอยู่กับอีริคและอีริคเป็นคนกางขามันออกเพื่อใส่ให้กับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันดีมากเมื่อสองมือของอีริคทำงานประสานกันอย่างหวานแหววคือมือนึงใส่แว่นให้ชาร์ลส์ อีกมือก็เชยคาง โอ๊ยอิแม่วิญญาณลูกไม่สงบแล้ว Y//////Y

    ตอนอยู่ในลิฟต์คือสงสารอาซาเซล 5555 คั่นกลางระหว่างคนสองคนที่ไม่ถูกกันในครั้งแรกแต่กลับมีฉากหวานแหววจัดเสื้อ ใส่แว่นให้ในไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แต่แล้วก็ดันมาแซะกันในลิฟต์โดยมองตรงไปที่ประตูและแผงปุ่มกดลิฟต์ 555555 ณ นาทีนั้นถ้าเป็นอาซาเซลคงจะสงสัย อึดอัดและงงกับการกระทำของสองคนนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตอนถามถึงวิธีการกลับของอีริคและชาร์ลส์ มันก็สมควรที่อาซาเซลจะงงจริงๆว่าสองคนนี้เขาคุยงานกันรู้เรื่องได้ยังไง ถถถถถ สุดทายก็กลับด้วยกันอยู่ดีถึงแม้จะทะเลาะกันในลิฟต์แต่สีหน้าดูเหมือนสนุกสนานมากกว่าจะโกรธหรือไม่ชอบใจนะชาร์ลส์นะ เนอะอีริคเนอะ ถถถถถถ

    ขอยืนยันอีกครั้งว่าเอ็มม่าต้องได้น้องเขยเป็นเพื่อนร่วมงานที่มาออกแบบร้านเพชรให้แน่ๆ แต่งพร้อมกันสองคู่เลยก็ดีค่ะ อาซาเซลรออยู่

    Like

  12. ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ หลังจากดองมานาน มาอ่านอีกรอบ ยังคงยืนยันว่าความหมายของ architect ในหัวเรื่องมันความหมายเดียวกับคู่ชีวิตค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟ

    อีริคซึนนะคะ ซึนค่ะ ฟฟฟฟฟ ไม่ได้สนใจเลยเนอะ จำได้ก็ไม่เปลกเลย ไม่ได้เอ็นดูอะไรนะ ไม่ได้แอบคิดถึงเค้าด้วยล่ะสิ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ไม่เชื่อย่ะะะะ

    เฮ้ ว่าแ่ต่เซเวียร์คงไม่ได้ทิ้งแว่นตาไว้แทนผ้าเช็ดหน้าอะไรเทือกนั้นหรอกน— ถถถถถถ ไม่ใช่สิคะ เซเวียร์ของเราไม่ต้องทิ้งก็เจอกันอยู่แล้้วนี่… เอ หรือทิ้งจะได้มีเรื่องให้คิดถึงก่อนจะเจอกันกัน ฟฟฟ #โดนเตะออกนอกกาแลคซี่

    ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อยากบอกว่าได้ผลเต็มๆเลยค่ะ ก๊ากกกกก จำได้ทุกประโยค แถมมีมาศึกษาข้อมูลที่อีกฝ่ายสนใจแล้วด้วย โอ้ยยยยยย ปรับตัวปรับทัศนคติเข้าหากันค่ะ ไม่ได้จะบอกว่าเป็นเสตปแรกที่ดีของคบหาดูใจ แต่มันเป็น ฟฟฟฟฟฟฟฟ

    แล้วฉากหมาป่าปะทะผู้ควบคุมเหล็ก เอ้ย บริษัทส่งของกับสถาปนิก นี่มันนน คืออะไรคะ คือชาส์ลมาห้ามทัพน่ะเข้าใจ แต่ที่เดินมาแล้วยืนข้างอีริคเลย แถมมีมาจับแขนอะไรเค้าอีกนี่มันนนนน ฟฟฟฟฟ ฟีลเหมือนภรรยาผู้อ่อนโยนใจเย็นพยายามไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้สามีอารมณ์ร้อนเลยค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ส่วนฉากต่อไปคือภรรยาที่รอสามีเคลียร์งานเลยโทรไปคุยกับพี่สาวและพบว่าตัวเองเอาแต่พูดเรื่องสามีค่ะ งีดดดดดดด

    และฉากต่อไปคือฉากภรรยาทนไม่ด้เลยจัดเสื้อผ้าสามีให้เรียบร้อยค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ /ทำไมแต่ละฉากมันก๊าวขึ้นเรื่อยๆล่ะแงงงงงงง ไม่สนใจกันเลยใช่มั้ยว่าจะมีคนอื่นอยู่หรือไม่มีน่ะ ห๊าาาาา

    เชยยยยยยยยยยยยคางงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงอัลลลลลไลลลลลลลลลลลลลลลลล ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ คือพวกนายไม่สนใจกันเลยจริงๆใช่มั้ยว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยน่ะ คือพวกนายคิดว่าทั้งโลกมีพวกนายอยู่สองคนรึไงงงง ฟฟฟฟฟสดาดกหสวาดางกหวสาดวาสฟห

    /หนูเป็นอาซาเซลนี่คืออึ้งค้างไปแล้ว แฮ่มมมม แฮ่มมมมม ฮัลโหลววว พวกนายจะสวีทกันต่อใช่มั้ย ฉันจะได้กลับ ถถถถถถถถถ

    อะไรนะ พวกนายจะมาสวีทกันต่อในลิฟท์ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ พวกนายให้ฉันลงไปก่อนมั้ย ไม่งั้นลงไปก่อนก็ได้ ยังไงก็ไม่สนใจฉันอยู่แล้วนี่ 55555555555555

    โอ้ย ประโยคบอกเล่าห้วนๆนี่มันช่างกวนประสาท พวกนายช่างสรรหาวิธีกวนประสาทอีกคนขึ้นมานะ ต้องเพราะรู้ทันว่าอีกคนคิดอะไรอย่างเดียวเลย เลยคุยกันรู้เเรื่อง #เรียกอีกอย่างว่ารู้ใจค่ะ 5555555555555555 ไม่มีใครยอมใครนี่นะ จะชวนกันกลับก็ไม่ชวนตรงๆไป หึหึหึหึหึ

    จบแล้วววว รอตอนต่อไป พัฒนาการค่ะ เดี๋ยวจะต้องมีโมเม้นติดฝน ไม่ก็แวะกินข้าวกันก่อนแน่เลย ฟฟฟฟฟฟฟ รอนะคะ รอออ #อ้าวไม่มีหรอ 555555

    ปล. สินค้าชิ้นแรกที่จะขายคือแหวนเพชรแต่งงานไรงี้ปะคะ ลูกค้าคนแรกคือสถาปนิกอะไรแถวๆนี้ปะคะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    Like

  13. (ขออนุญาติเม้นรวบยอดทีเดียวนะคะ น้องเพิ่งหนีพายุกิจกรรมมหาลัยมาได้และกำลังจะโดนดูดกลับเข้าไปใหม่ ; w 😉

    จริงๆแล้วสองคนนี้เขาจีบกันมาตั้งแต่ต้นแต่ซึนจัดทั้งคู่ใช่มั้ยคะพี่ทิพพพพพพพพพพพพพพพย์
    แงงงงงงงงงงง บอกไม่ชอบแล้วศึกษาเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบคืออะไรคะะะะะะะ
    อ๋อ เปิดทิ้งไว้ไม่ให้เงียบเนอะะะะะ แต่ก็มีแอบเหล่ดูบางเนอะะะะะะ
    ไม่ได้สนใจเลยค่ะ แต่บอกได้นะคะว่าน่าเบื่อ ถถถถถถถถถถถถถถ
    นี่มันซึนเดเระเลเวลสูงสุดนะคะมิสเตอร์เลนเชอร์

    ส่วนที่ชาร์ลส์ลืมแว่นนี่นึกถึงแบบทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้ให้คนที่แอบชอบเก็บมาคืนเลยค่ะ 555555555555555555555555555555555
    วันหยุดวันนึงเลยทิ้งของไว้ให้คุณสถาปนิกดูเผื่อคิดถึงสินะคะะะะะะ

    ขำตอนที่อีริคกับโลแกนทะเลาะกันมากค่ะ 5555555555555
    และอะไรคือชาร์ลส์เข้ามาแล้วไปยืนข้างอีริคเลยคะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ *พ่นรุ้ง*
    ีมีจับแขนกันด้วย สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะะะะะะะ
    แล้วที่อีริคเอาเสื้อไปห่มให้นี่ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ *ว่ายท่าฟรีสไตล์ในกองสายรุ้ง(?)*
    พฤติกรรมแต่ละอย่างนี่มันคู่รักชัดๆเลยคะ
    ว่าแต่… ขั้นตอนการใส่แว่นมันต้องเชยคางด้วยเหรอคะ ฟ่ดกาฟวก่ดฟา่หกวสา่า่หกฟว่ดา TTwTT
    ถ้าอาซาเซลไม่ขัดจังหวะหล่ะก็….. #ผีผลักได้มั้ยคะฟฟฟฟฟฟ

    ก่อนกลับบ้านแนะนำให้อาซาเซลไปโรงพยาบาลตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนนะคะ
    เพราะรู้สึกว่าระดับความหวานในลิฟต์นั่นมันสูงเหลือเกินฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ปล. เอ็มม่ากับชาร์ลส์เป็นคู่พี่น้องที่น่ารักมากๆเลยค่ะ TTwTT

    Like

  14. ขอคอมเม้นท์รวบยอดทีเดียวนะคะ จริงๆอ่านในมือถือแล้วลืมคอมเม้นท์เลยต้องลงมาพิมพ์ในคอมแทน

    ชาร์ลส์น่ารักมากค่ะะะะะ อะไรคือบอกไม่ชอบแต่ศึกษาค่ะะะะะะ U///U

    แล้วยิ่งตอนจัดเสื้อให้นี่คืออะไรค่ะะะะ โฮฮฮฮฮฮ สารภาพว่าเราสครีมกับฉากนี้ไปเยอะมาก แต่ตอนอ่านคืออยู่โรงพยาบาลเลยได้แต่จิกผ้าม่านไม่กล้าส่งเสียงดัง

    อีริคแอบปากหนักนะคะ แต่เราชอบค่ะ5555555

    รอตอนต่อไปเร็วๆค่ะ สักวันเราต้องไปหาซื้ออะไรมาขูดๆไว้ที่บ้านแล้ว555555

    Like

  15. ดนยำแยพิสอยดส สะทยวอมปยากนพแา แงงงงงงงงงงงงงงงง น่าระกกว่าตอนที่แล้วอีก ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ชอบอ่า ชอบมากเลย ฮืออออออว
    ชาร์ลนารักมากเลยค่ะ บอกเค้าไปว่ามันดูน่าเกลียด แล้วไงล่ะ… หลับสบายเลย55555 แล้วเอริคยังให้เสื้อมาให้อีกนะ พรากกกกกกก #แทบจะแย่งมาเก็บเอง -///////- ซีนที่ทำให้ก๊าวแล้วก็แทบจะจิกเบาะรถได้นี่คือ ตอนสวมแว่นให้นี่แหละค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟ ทำไม ทำไมมันละมุนแบบนี้!?!?!?!!?!?!??!?!? ตอนที่ชาร์ลเอามือไปจับแขนอิริคด้วย-.,- มันดีงามข่ะ พี่ทิพย์ ดีงามมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!
    ซีนตอนที่คุยกับเอ็มม่านี่น่ารักมากเลยค่ะ-/////- เอ็มม่านี่คือพี่ดีเด่นแห้งปี แงงงงง ทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องของตัวเองแต่ยังคิดถึงน้องสุดโมเอ้ คาวาอี้ น่ารัก เป็นทุกๆสิ่งของคำว่าดีงามคนนี้ //ปลื้มนางจากใจจริง
    อังีกซีนที่น่ารักคือตอนอยู่ในลิฟต์ มันก๊าวมากค่ะ มเนโดนใจตอนที่อิริคถามว่าจะขึ้นแท็กซี่มั้ย แล้วชาร์ลตอบกลับมาว่า แล้วนายจะไปคนเดียวมั้ย //อาจจะคำพูดไม่ตรงนะคะ เพราะไม่ได้เลื่อนขึ้นไปดู ใช่ความสามรถในการจำอันเน่าเฟะของตัวเองค่ะ แงง แล้วเจ้าอัลเซเซลยืนงงอยู่คนเดียว 555555555 ถ้าแต่ละคนจะซึนไก้น่ารักขนาดนี้ -//////- #เอื้อมไปหยิกแก้มเชริค
    ก็….สุดท้าย แต่อยากจะบอกว่าจะติดตามฟิคของพึ่ทิพย์ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีจะเลิกง่ายๆค่ะ พรากกกกกกก
    ปล.ถ้าพิมพ์ผิดเยอะขออภัยค่ะ TvT

    Like

  16. การลืมตัวนี่มันน่ากลัวจริงๆค่ะ
    อะไรนะจัดปกเสื่อ
    อะไรนะใส่แว่นให้
    อะไรนะเอาเสื้อคลุมให้
    อะไรนะขับรถไปส่ง
    พี่ทิพย์และเชริคทำลายชีวิตน้องมากค่ะถถถถถถถ
    ยิ้มเขินแก้มจะแตกแล้วค่ะโอยฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    Like

  17. อีริคแบบบนั่งมองแว่นคืออะไรรรนายน่ารักมากกกกกกกกกกกก แถมจำได้ถุกประโยคอีก หลงชาร์ลแล้วก็บอกกกดีๆดิ่ นายจะซึนทำไมมมมมมมมม
    ตอนห้ามนี่บั่บบบบบบ อหหหหหอีริคยอมฟังเว่ยแกกกก มันยอมชาร์ลแล้วค่ะแกกกกกก แบบบโอ๊ยเหมือนสามีภรรเมียกันเลยยยยย ฮออลลลลลลลลลล
    เอ็มม่าถูกแล้วค่าถูกทุกประการ แล้วพอตืนมาเจอเสื้อนี่ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟหก กหเยรห่เฟลบนพำยรดาเบดาเ่้ยนพาเบมทเ มันแบบบบบบอบอุ่นมากกกกอะ มันแสดงถึงความเทคแคร์ความเป็นห่วง ถ้าไม่คิดอะไรคงไม่เอามาห่มให้หรอก จริงๆนะ โฮรวววววววววววววววววววววว แถมมีจัดปกเสื้อให้อีก ใส่แว่น อหหห ไม่ไหวไม่ไหววววววทำไมชาร์ลน่ารักแบบนี้ อีริคไม่หลงก็ไม่ไหวแล้วววววว ถ้าตอนนั้นอาซาเซลไม่ขัดนี่พวกนายคงหกดนหสพเเ
    ตอนกร๊าวสุดนี่ในลิฟท์ค่ะ “นายอยากกลับแท็กซี่รึเปล่าล่ะ?” นี่แบบบบบบบหยอดดด หยอดมากกกกก เนียนสุด แก้มเราปริเลยยย ง่อวววววววว แถมคำตอบยังเป็น“นายอยากขับรถกลับคนเดียวรึเปล่าล่ะ?” นี่ยั่วปะนายยยยยยย ทำนายน่ารักขนาดนี้ #ปล้ำชาร์ล โฮกฟฟฟฟฟ

    Like

  18. ทนไม่ไหวต้องมาคอมเม้นต่อตอนนี้ทันที5555

    อีริคนายน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกน่ารักแบบมากมากมากกกกกกกกกกกกกก
    ชอบผู้ชายอบอุ่นแบบนี้ที่สุดเลย ฮู้ยยยยยยยยยยย
    (hp หมด 5555)

    ฉากที่อีริคเผลอตัวหาข้อมูลนั่นล่ะ เผลอดูหนังพีเรียดนั่นล่ะ แล้วยังแว่นของชาร์ลส์นั่นอีกล่ะะะ
    ช่างเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจขั้นรุนแรงจริงๆ TT/////
    ถ้านายจะใส่ใจทุกรายละเอียดขนดานี้ ยอมรับตัวเองเถอะนะะะะะ ฮื้อออออ TT
    แล้วตอนที่คืนเสื้อใส่เสื้อใส่แว่นให้นั่นอีก โอ้ยยย พี่ทิพย์บรรยายได้เห็นบรรยากาศสุดๆ เลยค่ะ
    รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นอาซาเซลที่ยืนอยู่ตรงนั้น

    (อ่านไปยิ้มไปทัง้ตอนเลยจริงๆ นะคะ ฟินน่าเล่ ////////////)

    Like

  19. อยากจะแหม่ใส่อีริคสัก 100 ครั้ง มีการเอาเสื้อไปคลุมให้ ตลกฉากในลิฟต์อ่ะ 555555 คือถ้าไม่ใช่สองคนนี้ไม่มีทางเข้าใจหรอก พวกนางคุยภาษาส่วนตัวใช่ไหม เห็นใจอาซาเซลบ้างอะไรบ้าง

    Like

  20. ชอบเรื่องนี้จริงๆ นะเนี่ย ><
    ชาร์ลส์เข้ากับอีริคได้มากขึ้นเยอะเลย ตั้งแต่ปรามให้เขาไม่เปิดศึกกับโลแกนแล้ว5555
    ยิ่งฉากใส่แว่นกับในลิฟต์นะ อะฮืออออออออออ ไม่เกรงใจอีกคนในนั้นเลย
    ยิ่งอ่านยิ่งชอบเลยค่ะ เหมือนว่าเขาจะเปิดใจให้กันมากขึ้น
    แต่คือมันแฝงไปด้วยการทะเลาะเล็กๆ ซึ่งเป็นอะไรที่อ่านแล้วสนุกมาก
    พิมพ์ชอบที่พี่ทิพย์ใส่พวกความคลาสสิคและโมเดิร์นลงไปในฟิคเรื่องนี้ อ่านแล้วสัมผัสได้ พอๆ กับได้กลิ่นและรสของฟิคกาแฟต่างๆ (ที่จะละมุนมากกว่านี้อีกล้านเท่าาาาาา5555)
    พิมพ์ชาบูพี่ทิพย์มากนะคะ คือรู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจมุมมองและความรู้สึกบางอย่างของตัวละครโดยไม่ต้องใช้อะไรให้ดูเวิ่นเว้ออ่ะ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย TT
    ชาบูค่ะ //me โค้ง

    Liked by 1 person

  21. อิฉากพูดกับประตูลิฟต์นั่นมันอะไรคะ นั่นมันอะร้ายยยยยย กรี๊ดดดดดดดดดด พี่ทิพย์ หนูจะตายแล้วววววว แง
    #กรีดร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่ง

    Like

  22. โอยยยยยยยย ยิ้มจนแก้มแตกตายใส่ฟิคพี่ทิพย์ แง้
    เพิ่งรู้ว่าเก้าอี้หน้าตาน่าเกลียดของชาร์ลส์คือบาร์เซโลน่า ถถถถถถถถ เราคิดเหมือนกันเลยชาร์ลส์~ เป็นเก้าอี้ที่เห็นปุ๊บคำว่าเครื่องทำวอฟเฟิลก็เด้งขึ้นมาในหัวปั๊บอ่ะค่ะ เกลียดมันมาก 55555555
    โมเม้นท์ตอนแตะแขนไม่ให้ทะเลาะกันโลแกนนี่คือกรี๊ด ตอนจัดเสื้อนี่คือล้มตาย ใส่แว่นให้วิญญาณก็ออกจากร่างพอดี แงงงงงง
    อิจฉาอาซาเซล 55555555 อยากไปยืนฟังเขาคุยภาษาเชริคกันมั่งงงง
    รอซื้อ+อ่านที่เหลือในเล่มนะคะ~ รักฟิคพี่ทิพย์มากๆเลย 💜

    Like

  23. อ่านถึงตอนนี้ อารมณ์แบบ ปริ่มมากค่ะ >< แอร๊ยยยยย น่ารักสุดๆ

    Like

  24. แง้งตอนนี้น่ารักมากเลยค่ะะะ นึกภาพชาร์ลใส่แว่นเถียงกับหนุ่มเสื้อคอเต่าแล้วดีงามมากมาย เขาคุยกันได้มุ้งมิ้งเหลือออ TTvTT เพิ่งมาตามอ่านตอนนี้รอรีปริ๊นรวมเล่มเรื่องนี้อยู่นะคะ

    Like

Leave a comment