[X-Men Fic][ErikCharles] The Architecture of Metanoia and Concinnity (5)

 
 
 
The Architecture of Metanoia and Concinnity
X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii * 
 

 

    
 

 
 

Pairing:  Erik Lehnsherr x Charles Xavier
Fandom: X-Men First Class

Type: AU fanfiction

 
 

 

 * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

 

 

 

 

 
************************************
 

 

The two elements the traveller first captures in the big city are extra human architecture and furious rhythm. Geometry and anguish.

 – Federico Garcia Lorca

 

 

*****

 

 

Chapter 5

              

 

                             

 

 แฮงค์ แมคคอยไม่ได้เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันหรือมหาวิทยาลัยเดียวกับชาร์ลส์…แต่เจ้าตัวก็เป็นรุ่นน้องสมัยไฮสคูลและรองประธานชมรมวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน พวกเขาได้ร่วมกันติวหนังสือ ทำโปรเจค หรือไปแข่งขันตอบคำถามนอกสถานที่ด้วยกันเสมอ…ความสนิทสนมที่สั่งสมมาจึงทำให้แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเรียนกันคนละที่และคนละสาขา ชาร์ลส์ก็ยังคงติดต่อกับแฮงค์อยู่เสมอๆ

               

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้เมื่อตอนสัปดาห์ก่อนที่อีกฝ่ายถามว่าเขาพอจะช่วยขับรถของเจ้าตัวจากอพาร์ตเมนต์มารับตนที่สนามบินในเวลาตีสี่ได้ไหม…ชาร์ลส์ก็ตอบตกลงอย่างเต็มใจแม้ว่ามันจะหมายความว่าเขาอาจต้องอดนอนเต็มตื่น แฮงค์เป็นรุ่นน้องที่ดีของเขามาตลอด…และชายหนุ่มก็อยากจะรู้รายละเอียดของการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่โตเกียวอย่างละเอียดจากปากผู้คว้าเหรียญทองมาได้ด้วย

               

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้ชาร์ลส์แวะเข้าไปที่อพาร์ตเมนต์เพื่อเอารถแล้วขับไปที่สนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี้ตั้งแต่ราวๆ ตีสามกว่าๆ…แต่ถึงอย่างนั้น ระยะทางจากตัวเมืองไปที่สนามบินก็สว่างด้วยแสงไฟรายทางและจากอาคารมากมาย…ยืนยันสมญานามของนิวยอร์กให้ได้ตระหนักชัดๆ อีกครั้งว่ามหานครแห่งนี้ไม่เคยหลับใหลเลยจริงๆ

               

 

 

 

 

ไฟล์ทของแฮงค์ไม่ดีเลย์…และตอนราวๆ ตีสี่เกือบครึ่ง พวกเขาก็ออกจากตัวสนามบินได้อย่างเรียบร้อย…ชาร์ลส์บอกให้หนุ่มแว่นนั่งเบาะหลังเพื่อจะได้เหยียดยาวได้ตามสบาย แต่แฮงค์ดูจะตาค้างจากการเดินทางจนไม่ง่วงแล้ว…เจ้าตัวเล่าถึงบรรยากาศการแข่งขัน ฝีมือเก่งกาจเหลือเชื่อของคู่แข่ง ความสวยงามเป็นระเบียบของระบบต่างๆ ในโตเกียว และยิ้มแบบไม่แน่ใจ(ชาร์ลส์รู้ดีแล้วว่านี่คือยิ้มกว้างของแฮงค์)ผ่านกระจกหลังมาให้ตอนบอกเขาว่าตนซื้อคิทแคทชาเขียวกล่องใหญ่มาฝาก

               

 

 

 

 

เพราะไม่ได้นัดเจออีกฝ่ายเลยตั้งแต่ช่วงก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางไปญี่ปุ่น…ชาร์ลส์จึงมีเรื่องมากมายเช่นกันที่จะเล่าให้แฮงค์ฟังแม้ว่ามันอาจจะไม่หลากหลายน่าตื่นตาตื่นใจเท่าก็ตาม ชายหนุ่มเล่าถึงความคืบหน้าของธีสิสตัวเองกับสตูดิโอคลาร่าที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ…และเขาก็คิดว่าตนพูดถึงอยู่แค่สองเรื่องนี้เท่านั้นเอง จึงงงเล็กน้อยตอนที่แฮงค์ถามขึ้นมา

              

 

 

 

 

  “แล้วนี่คือนายจะรอเขาขอนายคบ หรือนายจะเป็นคนขอเองเหรอ?”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์ละสายตาขึ้นไปมองอีกฝ่ายผ่านกระจกหลังเพื่อให้เจ้าตัวได้เห็นสีหน้าพิศวงของตนได้ชัดๆ “นายพูดถึงอะไรน่ะ?”

               

 

 

 

 

แฮงค์มองตอบมาด้วยสีหน้าพิศวงพอกัน “ก็สถาปนิกคนนั้นไง…จะใครที่ไหนอีกล่ะ?”

               

 

 

 

 

เสียงแตรรถเลนข้างๆ ดังสนั่นขึ้น…ชาร์ลส์ต้องรีบกระชากพวงมาลัยรถของพวกเขาที่แล่นเฉไปให้เบนกลับมาอยู่ในเลนตัวเอง ก่อนจะพูดเสียงเข้มเฉียบขาดเกินจำเป็น

               

 

 

 

 

“ฉันกับเลนเชอร์?? นี่นายพูดบ้าอะไรของนาย???”

               

 

 

 

 

“โธ่ชาร์ลส์…” หนุ่มรุ่นน้องมีสีหน้าลำบากใจ…สีหน้าแบบนี้หมายความว่าแฮงค์กำลังงุ่นง่านกับเรื่องแนวๆ เส้นผมบังภูเขาของคู่สนทนาอยู่ “นายพูดเรื่องของเขาให้ฉันฟังมาตลอดทางแล้วนะ…แล้วนายก็ทำหน้าเขินๆ ด้วยรู้ตัวมั้ย?”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์ขมวดคิ้วไล่สีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งงี่เง่าของตัวเองพร้อมปฏิเสธเสียงเข้ม “ฉันไม่ได้ทำหน้าเขินๆ ซะหน่อย”

               

 

 

 

 

แฮงค์แอบกลอกตา…แต่ชายหนุ่มผมดำคิดว่าเจ้าตัวจงใจทำให้เขาได้เห็นผ่านกระจกหลังแน่ๆ

               

 

 

 

 

“ฟังนะ…ฉันกับเลนเชอร์เป็นเรื่องที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้เลยสักนิดเดียว” ชาร์ลส์พูดฮึ่มฮั่ม “หมอนั่นวันๆ ก็เอาแต่กวนประสาทและติทุกรสนิยมของฉัน…สิ่งเดียวที่เราทำคือทะเลาะกันในทุกการตัดสินใจ”

 

 

 

 

ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะพูดเสริมตัวเอง

 

 

 

 

 

“ใช่เลย…ฉันไม่โอเคกับทุกอย่างที่หมอนั่นเสนอ แล้วหมอนั่นเองก็ไม่เคยยอมฟังฉันเลยสักที…พวกเรามีเรื่องให้เถียงกันได้ทุกประโยค”

               

 

 

 

 

แฮงค์มีสีหน้าเป็นห่วงอย่างจริงใจ “ฟังดูเป็นวิธีเฟลิร์ตกันที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตเลยนะชาร์ลส์…”

               

 

 

 

 

ชาร์ลส์อ้าปากค้าง พูดเสียงหลงดังลั่น “เราไม่ได้เฟลิร์ตกัน! พวกเราทะเลาะกันแฮงค์…ทะเลาะ!!”

               

 

 

 

 

หนุ่มแว่นดูอยากจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก…แต่ความเงียบนี้กวนใจชาร์ลส์มากกว่าเสียอีก เพราะกิริยาแบบนี้จากแฮงค์ แมคคอยนั้นหมายความว่าเจ้าตัวยังอยากจะยืนยันอยู่ว่าเขาคิดผิด แต่หนุ่มน้อยก็สุภาพเกินกว่าจะโต้เถียงหรือแจกแจงให้ชาร์ลส์ได้รู้ว่าความมั่นใจของตัวเขานั้นไม่ถูกต้องเลยสักนิด

 

 

 

 

 

และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ…แฮงค์ แมคคอยไม่เคยเป็นฝ่ายผิดเสียด้วยน่ะสิ

 

 

 

 

 

แต่ชาร์ลส์ก็เถียงกับตัวเองต่อในใจว่าตนจะเป็นฝ่ายผิดไปได้อย่างไร…ในเมื่อทุกสิ่งที่เขากับเลนเชอร์พึงจะพูดกันนั้นไม่เคยไม่ใช่การแสดงความเห็นอันไม่ลงรอยหรือกวนประสาทสักครั้ง ชาร์ลส์ไม่รู้สึกว่าดีไซน์สไตล์โมเดิร์นเป็นอะไรที่สวยและเลนเชอร์ก็ไม่เคยยอมฟังอะไรเลย

 

 

 

 

ใช่…ทุกอย่างเป็นแบบนั้นตลอด…ถ้าไม่นับจำนวนภาพที่เขาถูกใจจากหนังสือของมีสแล้วก็การที่เลนเชอร์ไม่อาละวาดตอนโซฟามาผิดวันน่ะนะ…

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์จอดรถและช่วยแฮงค์ขนของเข้าไปในอพาร์ตเมนต์เมื่อสิ้นสุดปลายทาง…หนุ่มแว่นบอกเขาว่าตนจะโทรไปนัดอีกรอบหลังรื้อกระเป๋าแล้ว เพื่อที่ทั้งสองจะได้พูดคุยเพิ่มเติมแล้วชาร์ลส์จะได้เอาคิทแคทชาเขียวไปลองชิม

 

 

 

 

 

“แล้วก็…” แฮงค์ดูลำบากใจนิดๆ แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมา “นายก็เรียนจิตวิทยามานี่นาชาร์ลส์…นายน่าจะรู้ดีที่สุดนะว่าการวิ่งหนีสิ่งที่ตัวเองต้องการมันเป็นอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตเลย”

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์ไม่คิดว่าเขาพร้อมจะพูดถึงเรื่องนี้ในเวลาที่อดนอนมาทั้งคืนแบบนี้หรือในเวลาอื่นใดก็ตาม “แฮงค์…ฉันไม่ได้แม้แต่จะรู้สึกดีๆ กับหมอนั่นด้วยซ้ำ…”

 

 

 

 

 

“ชาร์ลส์…ไม่เอาน่า…” หนุ่มแว่นถอนหายใจ “นายยังเคยบอกฉันเองเลย…วิธีเริ่มคิดจัดการกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดคือต้องยอมรับก่อนว่าสิ่งสิ่งนั้นมีอยู่จริง—”

 

 

 

 

 

“ฉันไม่ต้องยอมรับอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ” ชาร์ลส์อยากจะบ้าตายนัก…จากเอ็มม่าก็มาเป็นแฮงค์ และไม่มีใครดีไปกว่ากันเลย “เพราะมันไม่มีอะไรให้ยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว”

 

 

 

 

 

ใช่เลย… ชายหนุ่มพยักหน้าในใจ …เขากับเลนเชอร์เป็นเรื่องที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลยสักนิดเดียว 

 

 

 

 

 

ใบหน้าของคู่กรณีแว่บขึ้นมาในความคิด และชาร์ลส์ก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าหัวใจของตัวเองเต้นผิดจังหวะเล็กน้อยตอนคิดถึงภาพนั้น

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

มหาวิทยาลัยและอพาร์ตเมนต์ของแฮงค์นั้นไม่ห่างจากย่านธุรกิจที่ตึกไฮเซนเบิร์กตั้งอยู่นัก…และในเมื่อตรงบริเวณของตึกสำนักงานทั้งหลายเหล่านั้นจะเปิดขายกาแฟหรืออาหารเช้าไวกว่าที่อื่น ชาร์ลส์จึงตัดสินใจบอกให้แท็กซี่ไปส่งตนตรงนั้นแทนอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง

 

 

 

 

 

แต่ตอนนี้ก็คงจะเช้าเกินไปอยู่ดี…ย่านธุรกิจอันคับคั่งเงียบสงบจนไม่น่าเชื่อถึงความอึกทึกในตอนกลางวัน คาเฟ่โปรดของชาร์ลส์ยังคงไม่เปิด…แต่ชายหนุ่มก็ได้รับความช่วยเหลือจากร้านอาหารเช้าแถวนั้น เขาจิบมอคค่าลาเต้ของตัวเองอย่างระมัดระวัง…รสขมอมหวานของกาแฟ วิปครีม และช็อกโกแล็ตทำให้อุ่นวาบไปทั้งตัว

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์มองไปรอบๆ…ก่อนจะสังเกตได้ว่าบางอาคารก็เปิดให้พนักงานเข้าไปในตัวตึกได้แล้วทั้งๆ ที่เช้าแสนเช้าเช่นนี้ นั่นจึงทำให้สายตาของชายหนุ่มเบนไปทางจุดจุดเดียวที่ตนรู้จักตรงนี้…ก่อนจะยิ้มซนๆ ออกมาเมื่อพบว่าตึกไฮเซนเบิร์กก็เป็นหนึ่งในอาคารที่เปิดทำการแล้ว

 

 

 

 

 

ถ้วยกาแฟถูกถือไว้นิ่งๆ…เพราะชาร์ลส์ตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันไว้จิบระหว่างที่ดื่มด่ำยามชมมหานครแห่งนี้สว่างไสวขึ้นใต้แสงแรกของวัน

 

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

อีริคหยุดปลายดินสอของตัวเองจากการขีดเขียนตอนได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำมาตามพื้นที่ว่างเปล่าของตัวสตูดิโอ

 

 

 

 

 

ตอนนี้เขากำลังอยู่ในโซนออฟฟิศที่สำหรับการพูดคุยตกลงเรื่องจิวเวอรี่ชิ้นสั่งทำ…เพียงแต่ห้องห้องนี้กว้างเป็นสามเท่าของออฟฟิศปกติและด้านหลังเป็นหน้าต่างกระจกใสทั้งหมด เปิดให้เห็นทิวทัศน์กว้างใหญ่ของนิวยอร์ก…นี่คือห้องที่จะเป็นออฟฟิศส่วนตัวของเอ็มม่านั่นเอง เพียงแค่ตอนนี้…ทั้งหมดที่มีคือม้านั่งตัวยาวเก่าๆ ตัวเดียวที่คณะก่อสร้างทิ้งเอาไว้สำหรับใช้สอยแบบไม่กลัวเลอะกลัวพังระหว่างเวลางานเท่านั้น

 

 

 

 

 

ไม่รู้ว่าคนที่เดินมานี้จะเป็นคนงานของสตูดิโอหรือผู้บุกรุก…อีริคจึงคว้าโค้ทผ้าวูลสีเทาเข้มของตัวเองมาโปะทับอุปกรณ์วัดระยะและกองกระดาษร่างแบบที่ตนวางไว้ข้างตัวบนม้านั่งนี้ ขยับจะลุกขึ้นยืนเอาตอนที่บุคคลปริศนาก้าวเข้ามาในห้องพอดี…ความคาดไม่ถึงทำให้เขาได้แต่นั่งนิ่ง ทวนคำออกมาอย่างประหลาดใจ

 

 

 

 

 

“เซเวียร์?”

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์เองก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกับอีกฝ่ายนัก…เขากระพริบตาอย่างงงงัน “เลนเชอร์?”

 

 

 

 

 

ความเงียบทิ้งตัวชั่วครู่ เปิดช่องว่างให้ทั้งสองได้สบตากัน

 

 

 

 

 

“นายขึ้นมาทำอะไรบนนี้น่ะ?”

 

 

 

 

 

คำถามนี้เองก็ฉายชัดในดวงตาของเขา…แต่เป็นอีกฝ่ายที่เปล่งเสียงเอ่ยมันออกมา เลนเชอร์ที่มีสีหน้างงงันแล้วค่อยๆ แปรเป็นเรียบนิ่งอย่างนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยที่ชาร์ลส์พบว่าตัวเองอยากจะมองตามทุกวินาที…นั่นจึงทำให้ความเงียบแผ่คลุมใหม่ ช่องว่างระหว่างบรรยากาศอันไม่ได้ตั้งใจ

 

 

 

 

 

เปิดช่องให้คนตรงหน้าได้ยกยิ้มมุมปาก…ล้อเลียนจิกกัดแบบนิสัยไม่ดีอีกแล้ว

 

 

 

 

 

“ถ้านายไม่กล้าบอกฉันว่านายนอนไม่หลับแล้วก็เกรงใจเพื่อนบ้านเกินกว่าจะลุกมาเล่นเปียโนฟอร์เต้…นายก็สบายใจได้เถอะนะ ฉันเข้าใจดีอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

“เห็นแก่พระเจ้าเถอะ…” ชาร์ลส์ขำพรืดออกมา…ทั้งฉุนและอ่อนใจกับคำแซะแบบนี้จากอีกฝ่าย นึกสงสัยว่าจริงๆ แล้วเลนเชอร์ตั้งใจจะยั่วโมโหเขาหรือนี่เป็นแค่อารมณ์ขันอันเสียดสีของเจ้าตัวกันแน่ ชายหนุ่มส่ายหน้านิดๆ…เดินมาหยุดยืนตรงม้านั่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็อ่านกิริยาขออนุญาตนี้ออกแล้วก็เลื่อนข้าวของอีกด้านไปให้มากขึ้นเพื่อขยับตัวให้เขามีที่นั่งข้างๆ

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์พึมพำคำขอบคุณ ก่อนจะเอียงตัวไปเพื่อมองหน้าเลนเชอร์ ถามเสียงหยอกเย้า…แผ่วเบาเนิบนุ่ม “นายจะหัวใจสลายมากมั้ยน่ะถ้าฉันจะบอกความจริงให้นายรู้ว่าฉันไม่ได้เรียนเอกวรรณคดีอังกฤษ?”

 

 

 

 

 

อีริคเหลือบมองดวงตาสีฟ้าเข้มสุกใสที่พราวระยับด้วยเสียงหัวเราะ…มือใหญ่ขยับสมุดโน้ตที่วางค้างอยู่บนตักให้ไม่เลื่อนไถล ส่วนอีกข้างก็หยิบเอาดินสอประจำตัวขึ้นมาใหม่…สานต่องานในมือที่หยุดไปตอนเซเวียร์ปรากฏตัวขึ้น ถามเสียงเรียบๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย “ถ้างั้น…นายเรียนอะไรอยู่ล่ะ?”

 

 

 

 

 

“ฉันน่ะเหรอ…” ชาร์ลส์ต้องทวนคำถามเพราะจู่ๆ ในนาทีนั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียเฉยๆ…ตระหนักได้ว่านี่เป็นการพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว แนวของบทสนทนาที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยระหว่างสถาปนิกกับคนที่แค่มาดูงานแทนผู้จ้าง “…ฉันเรียนจิตวิทยาอยู่ที่โคลัมเบียน่ะ”

 

 

 

 

 

เลนเชอร์เบนเสี้ยวหน้ามาหาเขา…เลิกคิ้วนิดๆ พร้อมส่งเสียงฮึมฮัม ท่าทีเล็กน้อยที่ไม่ได้แสดงให้ชาร์ลส์รู้เลยว่าจริงๆ แล้วชายหนุ่มข้างตัวกำลังทึ่งในความสามารถของเขาอยู่

 

 

 

 

 

และในเมื่อเลนเชอร์ถามมา…มันก็เป็นกฎของมารยาทที่ดีล้วนๆ นี่นะที่ชาร์ลส์จะต้องถามกลับไปบ้าง ไม่ใช่เพราะอยากรู้หรืออะไรสักนิดเลย

 

 

 

 

 

“แล้วนายล่ะ?” เขาจิบมอคค่าลาเต้ของตัวเอง “นายเรียนที่ไหนมาเหรอ?”

 

 

 

 

 

อีริคเอ่ยชื่อภาษาเยอรมันของมหาวิทยาลัยของตัวเองออกมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างห้ามไม่ทันกับสีหน้ามึนตึ้บและการพยายามเปล่งเสียงตามอันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของเซเวียร์…วงหน้าหล่อคมคายส่ายนิดๆ แล้วพูดตัดบท

 

 

 

 

 

“ช่างมันเถอะ…เอาเป็นว่ามันคือมหาวิทยาลัยในดุสเซลดอร์ฟก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

“ดุสเซลดอร์ฟงั้นเหรอ…” เซเวียร์มีสีหน้าทึ่งและประทับใจ “แล้วนายก็ย้ายมาที่นิวยอร์กสินะ?”

 

 

 

 

 

อีริคคิดว่าเขาควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้ในการรักษาขอบเขตของบทสนทนาไม่ให้เข้าข่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป…และควรพิจารณาตัวเองด้วยว่าทำไมตนไม่รู้สึกอึดอัดใจอะไรเลยแบบนี้ “ก็ไม่เชิง…ฉันทำงานอยู่ในยุโรปพักนึงเลยล่ะก่อนจะย้ายมาที่นี่”

 

 

 

 

 

“โอเค…”

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์พยักหน้าช้าๆ…จิบกาแฟอีกอึก แล้วความเงียบก็ทิ้งตัวหลังเขาอธิบายคร่าวๆ ว่าทำไมตนถึงตื่นมาเดินเล่นกลางนิวยอร์กแบบนี้ได้ ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างกระจกเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินใสแล้ว…เหมือนหยดหมึกที่ถูกเจือจางลงด้วยสีเทาของยามฟ้าสาง จุดสีสดของเหล่าแสงไฟจากโคมหรือรถที่สัญจรดูเรื่อเรืองในบรรยากาศขมุกขมัวนี้…แสงสว่างที่เริ่มโรยตัวลงมาทำให้ชาร์ลส์เห็นสิ่งของในมือของเลนเชอร์ได้ชัดขึ้น มันคือสมุดโน้ตเล่มแบน สันห่วงที่เป็นลวดสีดำเข้ากับปกกระดาษรีไซเคิลสีเลือดหมูเรียบๆ เป็นอย่างยิ่ง…กระดาษไม่มีเส้นถูกเผยให้เห็นเมื่อเจ้าตัวม้วนปกสมุดเข้าไปหากันแบบนี้

 

 

 

 

ชาร์ลส์เผลอตัวขยับเข้าไปใกล้เมื่อมองเห็นสิ่งที่เลนเชอร์กำลังทำ “ว้าว…”

 

 

 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับอีกฝ่าย ขยับยิ้มซนๆ

 

 

 

 

 

“ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มผมดำพึมพำล้อๆ “นายทำงานด้วยมือได้ด้วยเหรอ…ปกติต้องเอะอะอะไรก็ไอแพดตลอดนี่นา?”

 

 

 

 

 

เลนเชอร์ส่งเสียงเฮอะเล็กๆ…พูดเสียงเหมือนรำคาญใจ “กลับไปกินโกโก้หนูน้อยของนายต่อเถอะไป”

 

 

 

 

 

เสียงทุ้มนั่นพูดแซะเขาอีกแล้ว…แต่กระแสเสียงหัวเราะที่เจือมาก็ทำให้ถ้อยคำเหล่านี้นุ่มนวลจนไม่เหลือเค้าเจตนาเสียดสี และแขนยาวๆ นั่นก็ไม่ได้ขยับหนีด้วย…ในทางกลับกัน ร่างสูงโปร่งนั่นดูเหมือนจะเอนขยับนิดๆ ให้ชาร์ลส์มองได้ง่ายขึ้นเสียด้วยซ้ำ

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำพินิจเส้นดินสอบนหน้ากระดาษ…มันเป็นรูปสเก็ตช์ของทิวอาคารฝั่งตรงข้ามถนน ทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างกระจกใสเบื้องหน้าพวกเขา ตัวภาพไม่ได้ถูกต้องตามสเกลหรือสามารถใช้อ้างอิงอะไรได้…มันเป็นแค่รูปที่เห็นได้ชัดว่าถูกวาดขึ้นตามความสบายใจของเจ้าของผลงานเท่านั้นเอง แต่ลายเส้นที่สะอ้านเป็นระเบียบกับรายละเอียดหลายๆ จุดที่ไม่ได้ถูกละทิ้งไปทั้งๆ ที่จะทำก็ได้ก็เป็นอะไรที่ชาร์ลส์คงต้องนิยามว่าเหมือนลายนิ้วมือของเลนเชอร์บนผลงานชิ้นนี้…บ่งบอกชัดเจนถึงนิสัยและความใส่ใจที่คงเป็นเรื่องปกติแล้วในการมองสิ่งรอบข้างของเจ้าตัวเอง

 

 

 

 

 

ชาร์ลส์แตะปลายนิ้วลงบนพื้นที่ว่างของหน้ากระดาษ ถามเบาๆ “นายอยู่ที่นี่ทั้งคืนเพื่อวาดรูปนี้น่ะเหรอ?”

 

 

 

 

 

“เปล่า” เลนเชอร์ส่ายหน้า เสียงทุ้มกังวานระริกในอากาศ “ฉันแค่…ตื่นแล้วนอนไม่หลับน่ะ แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ…แถวนี้ตอนเวลานี้มันสวยดีด้วย”

 

 

 

 

 

“อ้าวเลนเชอร์…ฉันนึกว่านายอยู่นิวยอร์กมานานแล้วซะอีกนะ ยังตื่นเต้นอยู่อีกเหรอ?” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยล้อๆ

 

 

 

 

 

อีริคหรี่ตามองคนที่ยิ้มซนๆ อย่างท้าทายให้ตนอยู่…ก่อนจะเอ่ยตอบ

 

 

 

 

 

“ฉันจะอยู่มานานแค่ไหน…ก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่จะสวยน้อยลงสักหน่อย” ร่างโปร่งทิ้งตัวพิงพนักม้านั่ง นัยน์ตาอ่อนลงยามทอดมองไปนอกหน้าต่าง “จริงๆ ก็คือฉันชอบบรรยากาศของเมืองน่ะ…ฉันชอบมองเวลาคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ มีชีวิตขึ้นมา…มีทั้งเวลาที่เงียบสนิทแล้วก็เวลาที่คึกคักเต็มที่ แล้วฉันก็ชอบดูทุกด้านของมันไปเรื่อยๆ น่ะ…แค่นั้นเอง”

 

 

 

 

 

ถ้อยคำที่ชายหนุ่มผมน้ำตาลอธิบายออกมานั้นช่างฟังดูเหมือนบทกวี และจู่ๆ ในวินาทีนั้น…หัวใจของชาร์ลส์ก็ระคนไปด้วยความลิงโลดว่านี่คือสิ่งที่ตนได้รับรู้เพียงคนเดียวกับความเศร้าหมองอย่างประหลาดยามที่คิดว่าเลนเชอร์อาจจะเล่าถึงความรู้สึกนี้ให้ใครอื่นฟังอีกก็ได้

 

 

 

 

 

ความยินดีและเคลือบแคลงนี้ช่างไร้เหตุผลจนชาร์ลส์แทบเบือนหน้าหนีความคิดของตัวเอง…ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ พลางส่งเสียงฮึมฮัมอย่างรับรู้ ก่อนจะพึมพำเบาๆ “ดูแล้วรู้เลยล่ะ…ว่านายวาดเอง”

 

 

 

 

 

อีริคก้มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย…สังเกตในใจว่าเซเวียร์มักจะเม้มริมฝีปากนิดๆ และมองเพียงสิ่งที่กำลังสนใจเสมอเวลาตั้งใจพินิจอะไร ถามอย่างฉงน “หมายความว่าไงน่ะ?”

 

 

 

 

 

“ก็อย่างนี้น่ะ…” ชาร์ลส์ชี้นิ้ว ระวังไม่ให้แตะโดนเส้นดินสอ “ตึกนี้ดูแล้วเรียบๆ…แต่นายก็วาดรายละเอียดลงไปหมด รายละเอียดในความเรียบนั้นนั่นแหละ…”

 

 

 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มละไมให้คนข้างกาย

 

 

 

 

 

“ว่าง่ายๆ ก็คือนายมองเห็นอะไรที่คนทั่วไปก็อาจหาไม่เจอด้วยซ้ำต่อให้ตั้งใจสังเกต…ฉันหมายความว่าอย่างนั้นน่ะ”

 

 

 

 

 

ดวงตาสีเทาคู่นั้นจับจ้องที่ชาร์ลส์ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกันและกัน…และตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มผมดำเพิ่งรู้สึกตัวว่าพวกเขาอยู่ใกล้กันแค่ไหน ท้องฟ้าด้านนอกตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอันหม่นซีดแล้ว…สีทองของยามแรกอรุณกำลังฉายฉานเหมือนเปลวไฟที่เผาไหม้แสงจันทร์สุดท้ายของคืนวาน ทำให้ชาร์ลส์มองเห็นได้ชัดเจนถึงแววนุ่มนวลในดวงตาสีเทาคู่นั้น…และก็ทำให้อีริคเห็นได้ชัดเจนเช่นกันว่ารอยยิ้มอันลังเลราวกำลังเขินอายของคนตรงหน้าตนเป็นอย่างไร

 

 

 

 

 

“ก็—ก็แค่นั้นแหละ…” ชาร์ลส์หันหน้าหนีกลับไปมองกระจกแทนราวกับนั่นคือคู่สนทนาของตน พยายามทำลายบรรยากาศที่โอบล้อมอยู่ลง “เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่หายใจเข้าออกเป็นหลักการของมีสอย่างนายอยู่แล้วนี่นะ…ก็ตามประโยค ‘พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด’ อย่างนั้นใช่ไหมล่ะ?”

 

 

 

 

 

อีริคหัวเราะ…เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ฟังดูเหยียดๆ หรือเสียดสีเท่าที่ตั้งใจเลย ข้อเท็จจริงที่ควรทำให้งุ่นง่านมากกว่าจะรู้สึกสบายใจราวหัวใจเบาหวิวเป็นขนนกอยู่แบบนี้ เสียงทุ้มแกล้งกดต่ำให้เหมือนตักเตือน

 

 

 

 

 

“นายไม่ควรรู้เรื่องมีสมากขนาดนี้นะเซเวียร์…อยากโดนริบสิทธิ์สมาชิกปาร์ตี้น้ำชาของเจน ออสเตนรึไง?”

 

 

 

 

 

“รู้กับชอบไม่เหมือนกันหรอกเถอะ—” ชาร์ลส์โต้พร้อมขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อมองหน้าตรงๆ แบบไม่ลดละ ความใกล้ชิดที่เขาเสียใจทันทีที่รุกล้ำเข้ามา…เสื้อแขนยาวเนื้อนุ่มของเลนเชอร์หอมจางๆ ด้วยกลิ่นที่ทำให้ชาร์ลส์คิดถึงป่าสนกับแดดในไอหมอก ปะปนเจือจางด้วยกลิ่นขมๆ ของกาแฟกับควันบุหรี่…เหมือนกับกลิ่นจากเสื้อนอกที่เจ้าตัวเอามาห่มให้เขาเมื่อวันก่อน และชาร์ลส์ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีเลยที่หัวใจของตนจะเต้นผิดจังหวะด้วยเรื่องง่ายๆ อย่างนี้

 

 

 

 

 

และที่ไม่ดียิ่งกว่านั้นก็คือ…เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ดีจริงจังอะไรนี่แหละ… 

 

 

 

 


“รู้กับชอบไม่เหมือนกัน” เซเวียร์ย้ำอีก “เราอาจจะรู้จักใครหรืออะไรก็ได้…แต่เราไม่ได้จำเป็นจะต้องชอบคนคนนั้นหรือสิ่งสิ่งนั้นสักหน่อย”

 

 

 

 

 

อีริคค่อนข้างมั่นใจว่าประโยคนี้ไม่ได้หมายถึงสถาปัตยกรรมใดๆ อีกแล้ว…แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นสีแดงบนแก้มของคนพูดแล้วพยักหน้าเห็นด้วยโดยดี

 

 

 

 

 

“รู้แล้วน่า” อดยิ้มหึหึอีกไม่ได้จริงๆ “ไม่ชอบก็ไม่ชอบ…ฉันก็ไม่ได้ชอบทุกคนหรือทุกอย่างในชีวิตซะหน่อย”

 

 

 

 

 

สีแดงบนแก้มของเซเวียร์เข้มขึ้นอีกเฉด…เจ้าตัวเสไปสนใจแค่กาแฟของตัวเองแล้วทำเหมือนอีริคไม่มีตัวตน แต่สุดท้ายก็เอนมาซบเขาอยู่ดีตอนที่เจ้าตัวเผลองีบหลับไปจนได้

 

 

 

 

 

เสียงลากดินสอยาวนานอีกเพียงนิด…ก่อนที่จะอีริคมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึมซาบเพียงจังหวะลมหายใจของคนข้างกาย…ความเงียบที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่ากล่อมให้ความฝันของชาร์ลส์ล่องลอยไปถึงป่าสนสีเขียวลึกล้ำกับแดดในสายหมอก เยือกเย็นหากอบอุ่น…รายละเอียดที่ฟังดูแตกต่างหากแท้จริงแล้วลงตัวถ้าเพียงสังเกตและเปิดใจจะมองหา

 

 

 

 

 

บรรยากาศยามฟ้าสางของกรุงนิวยอร์กอาบย้อมให้ทั้งเมืองดูเป็นสีฟ้าอมเทาจาง โคมไฟรายทางส่องแสงโรยราอย่างเตรียมจะดับลง รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นมาพ้นขอบฟ้า…และน่าแปลกเหลือเกินที่คำสารภาพที่มีแต่คำว่าไม่ชอบจะทำให้ใจรู้สึกอ่อนโยนและเบาหวิวได้ถึงเพียงนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

*************************************

 

โฆษณาแฝง note:


– มหาลัยของอีริค >> Fachhochschule Düsseldorf:  BA Architecture and Interior Architecture

– มหาลัยของชาร์ลส์ (ขอบคุณอเมริกาที่มีมหาลัยไอวีลีกอยู่กลางกรุงนิวยอร์ก!!) >> Columbia University in the City of New York

– มหาลัยของแฮงค์ >> New York University’s Courant Institute of Mathematical Sciences

– เปียโนฟอร์เต้ คือเปียโนยุคเจน ออสเตนค่ะ สกิลการเล่นมันโดนนับเป็นสกิลกุลสตรีในสมัยนั้น เสียงมันจะไม่นุ่มเท่าเปียโนจริงๆค่ะ…ค่อนข้างโดดๆและสดใสคล้ายๆอีเลคโทนชอบกล (อธิบายไม่ค่อยดีเลยแงงง)

– สมุดโน้ตของอีริค โปรดจินตนาการสมุดไม่มีเส้นของมูจินะคะ หน้าตาประมาณนั้น

– น้ำหอมของอีริค…ทิพย์พยายามหายี่ห้อแพงๆเกร๋ๆให้แล้ว แต่สุดท้ายที่คิดว่าตรงใจกลับเป็นของ Nature Republic เซ็ต PERFUME de NATURE Green Planet ค่ะฟฟฟฟฟฟ ลองหามาดมดูนะคะ ทิพย์ว่ามันสถาปนิกอีริคมากๆๆๆเลย -/////-

 

(จัดเต็มดีเทลของอีริคอย่างโคตรลำเอียง)

 

 

 

 

สวัสดีค่ะทุกคน

 

 

ก่อนอื่น…ต้องขอบคุณทุกคนที่อุดหนุนเชริคไฮสคูลนะคะ T////T หนังสือจะมาสัปดาห์หน้านี้ล่ะค่ะ ตื่นเต้นจัง

 

 

และฟิคเรื่องนี้(ฟฟฟฟฟฟ)มัน…มันจะจบแล้วล่ะค่ะ(ฟหกดฟหกดฟหกดฟหกดหฟก) เขียนเพลินเขียนไว พลังติ่งเข้ากระแสเลือดยิ่งกว่าอีโบล่าอีกค่ะแงงงงง ยินยอมให้เครย์ซังล่อลวงลงหลุมนี้เลย…เพราะอีริคหล่อเจรงๆ *heavy breathing* อยากเขียนอีริคกับชาร์ลส์เชอะๆใส่กันมานานแล้ว…เรื่องนี้มันสนองนี้ดจริงๆค่ะแงงงงง

 

 

บทนี้เขียนไว้นานแล้วแต่เพิ่งลง(อีกแล้ว)…ทิพย์ตั้งใจให้เป็นบทของการที่ชาร์ลส์ได้เห็นด้านที่อีริคไม่เคยแสดงให้ใครเห็น และอีริคเองก็ยินยอมที่จะเปิดเผยโลกส่วนตัวของตัวเองให้ด้วยเพราะนี่คือชาร์ลส์…แบบนั้นน่ะค่ะ เพราะอีริคเขาดูเป็นคนที่ไม่ชอบแบ่งปันเรื่องราวใดๆกับใครต่อให้มันจะเป็นเรื่องดีก็ตาม…แต่กับชาร์ลส์มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เหมือนชาร์ลส์เป็นคนที่สุดท้ายยังไงเขาก็จะเปิดประตูให้แค่คนเดียวเท่านั้นฟฟฟฟฟ //น้ำตาสายรุ้งไหลหลาก

 

 

เครย์ซังวาดอีริคอีกรูปแล้วล่ะค่ะฟฟฟฟฟ (รู้สึกเหมือนเราป้ายเชื้อติ่งใส่กันไปกันมาก้ากกกกกกกก) …ไม่อยากจะบอกว่าทิพย์เองก็มโนว่าอีริคยังใช้โต๊ะแบบนี้อยู่ล่ะค่ะฟฟฟฟฟ และสลิปเปอร์นั่นโมเอะนักแงงงงงงงงงงงงงง >> https://twitter.com/crazy_cray/status/500315613214932992

 


 

อีกแป็บๆมันจะจบแล้วล่ะค่ะเรื่องนี้ แฮ่กแฮ่กแฮ่ก รอติดตามต่อไปนะคะ

 

 

 

 

ทิพย์เองค่ะ

 

 

16 responses to “[X-Men Fic][ErikCharles] The Architecture of Metanoia and Concinnity (5)

  1. อยากมอบโล่ให้แฮงค์เหลือเกินฐานทำให้เศษผงที่บังตาเซเวียร์หลุดออก
    ใจอะรักเขาแล้ว แต่ยังไม่อยากจะยอมรับอะดิ๊
    ชาร์ลส์โหมดหน้าแดงอีริคจะต้านไหวไหมมม ส่วนคนอ่านนอนตายเกยตื้นบนที่นอนไปแล้ววว
    คืออ้อนไม่รู้ตัว อร่ากกกกกกก น่ารักกกกก ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    Like

  2. อ่านตอนนี้แล้วมีคำว่า…เหรอออออออจ๊ะะะะะะะะะ…ดังขึ้นในหัวมากกว่า5รอบ นี่มันบ้าจริงๆเลย
    น่ารักมาก โรแมนติกสุดๆ อ่านไปเขินไปเลยค่ะ
    นุ่มๆหวานๆกำลังดี รู้สึกอบอุ่นกับตอนนี้มากเลย
    จะรอตามตอนต่อไปนะคะ

    Like

  3. อ่านจบแล้วอยากยืนไว้อาลัยให้ตัวเองมากค่ะ คือตกหลุมรักคุณสถาปนิก แบบรักมากกกกก แบบอยากแทรกเข้าไปในฟิคไปแอบกอดครั้งนึงแล้วรีบออกมา ฮืออออ T////T

    หยุดโหมดมโนแปป… รวมรวมสติมาเขียนคอมเม้นท์ก่อนค่ะ 555555555 คือไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีหนูแฮงค์ออกมาด้วย เหมือนนางมาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ให้ชาร์ลส์รู้ใจตัวเองสักที เรียนจิตวิทยามาแท้ๆแต่กลับพยายามหลอนตัวเองว่าไม่รู้สึกอะไร ยิ่งตอนที่แฮงค์ทักว่า “แล้วนี่คือนายจะรอเขาขอนายคบ หรือนายจะเป็นคนขอเองเหรอ?” เราอ่านแล้วแบบบฟฟฟฟฟฟฟ ใช่เลยลูกกก! ทำดีมากหนูแฮงค์!! //เคี้ยวคิทแคทชาเขียวด้วยความยินดี

    แล้วคือตอนที่คุณสถาปนิกนั่งสเก็ตซ์ภาพอยู่นั้นนนนน (อะฮรั๊งงง เขินจังงง แค่พิมพ์ก็เขินแล้วแง ทำไมถึงหล่อเท่โฮกได้ขนาดนี้ ชาติหน้ามีจริงข้าขอเกิดเป็นคาร์บอนในดินสอไว้ขูดขีดกับกระดาษกลายเป็นเป็นสายเส้นของเลนเชอร์อ๊ากกกก หรือไม่ก็ขอเป็นโมเลกุลอากาศแถวๆนั้น ล่องลอยอยู่หลังเสาแอบมองคุณสถาปนิกสเก็ตซ์ภาพด้วยสายตาหื่นกระหา— พอเถอะ….) แล้วแบบบบ ชาร์ลส์ก็ขึ้นมา คืออออออ นายจะมาหาเขาชัดๆอะชาร์ลส์เอ้ยยยยย ตอนนี้เราโฮกมากค่ะะะะแบบบ เราคิดว่าภาพวาดในสมุดที่วาดไว้เล่นๆอะไรแบบนั้นมันถือเป็นเรื่องส่วนตัวพอๆกับสมุดบันทึก แต่พอชาร์ลส์เห็นเข้าและอีริคก็ไม่ได้ว่าหรือหลบอะไร แถมให้ดูด้วยซ้ำเอ้า! มันเป็นอะไรที่เปิดใจแล้วอะค่ะ ชอบตอนที่เล่าถึงลักษณะลายเส้นของอีริคมากกกกก นึกภาพตามแล้วตกหลุมรักแล้วรักอีก รายละเอียดในความเรียบง่าย คือมันมีเสน่ห์ มันดึงดูด โอ้ยยย รักกกกกก ไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้วค่ะ เกิดมาเพิ่งจะเคยรักสถาปนิกมากขนาดนี้ก็คราวนี้แหล่ะ เปลี่ยนสถาปนิกไอดอลเป็นอีริค เลนเชอร์ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป (บ้าที่สุด ติ่งแท้ๆ) แล้วตอนที่ทั้งสองคนเฟลิร์ตกัน ไม่สิ “ทะเลาะ” กัน (อ้างอิงจากชาร์ลส์) เราไม่คิดอะไรมากเลยค่ะ แค่เห็นว่าน่ารักกกกก กิ้วๆๆๆ จนกระทั่งมาเจอประโยค “คำสารภาพที่มีแต่คำว่าไม่ชอบ” …….ตู้มมมมมมมมมม!! เลื่อนกลับขึ้นไปอ่านทันที แล้วแบบ.. อ๊ากกกกกก จริงด้วยยยยยย มันต้องจูบแล้ววววววว แบบนี้ควรต้องจูบกันแล้วชัดๆ ชาร์ลส์อย่าทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่มันเห็นอยู่แล้วชัดๆเลยได้ไหม T___T นายน่ะโคตรโชคดีเลยนะ อีริคไม่เปิดใจให้ใครเท่านี้หรอก มันน่าแย่งคิทแคทชาเขียวมากินให้หมดกล่องนักกกก ยังคงลุ้นอยู่ดีค่ะว่าสองคนนี้น่ะยังไงงงงงงง เหมือนที่แฮงค์ถามแหล่ะค่ะ ใครจะบอกก่อนกันแน่ (แต่เอาเข้าจริงความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำทุกอย่างละลายแล้ววว) ขอบคุณที่เขียนตอนฟินๆออกมาให้อ่านกันอีกเช่นเคยค่าา

    ปล. พอเห็นว่าจะจบแล้วก็อยากให้ทิพย์ลงตอนต่อไปเลทหน่อยก็ได้ซะงั้น ฮือออ อยากอยู่กับคุณสถาปนิกไปนานนานนนน
    ปอลิ่ง. น้ำหอมอีริคนี่เราจินตนาการไม่ออกจริงๆค่ะ (ความรู้เรื่องนี้= 0) คืออะไรไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าต้องฮอตแน่ๆโอ้ยยยยยย

    Liked by 1 person

  4. โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยฟฟฟฟฟฟหวกวกวกววกสปสปสปสปสปวปยฟวฟบฟฟงผงฟบฟบวฟวฟ

    พี่ทิพย์คะะะะะ แงงงง ตอนนี้มันละมุนอบอุ่นโรแมนติกฟหกดสวหมากเลยค่ะ ฮืออออออออ ฟ้าก๊าวใจ ถึงกับเม้นจากมือถือ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ฟ

    เห็นมั้ยน่ะเซเวียร์ ทั้งพี่สาว ทั้งรุ่นน้อง ทั้งคนอ่านคนเขียนเค้ารู้ความรู้สึกนายอะไรยังไงหมดแล้ว ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ เหลือแต่นายนั่นแหละ ฮอลลลลลลลลลล /ทุบหมอนอย่างบ้าคลั่ง

    อะไรนะนายไม่รู้ว่าทำไมทุกคนรู้ยังงั้นหรอ ก็ไม่อะไรหรอกนะเซเวียร์ นายไม่รู้ตัวหรอ แค่นายเล่า ‘เรื่องของนายช่วงนี้’ ให้ใครฟังทีไร มันดันมีข้อมูล ‘คนที่นายไม่ชอบขี้หน้าไม่ถูกชะตาไม่มีวันจะชอบได้’ หลุดมาซะแปดเก้าส่วนทุกทีสินะ หึหึหึหึหึหึหึหึ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ พูดเองก๊าวเองค่ะฮือออ

    เห็นด้วยกับหนุ่มน้อยแฮงค์ ที่สุดเลยว่าพวกนายเฟลิร์ตกันไม่ได้เรื่อง เสียสุขภาพจิตทั้งนายทั้งคนอ่าน ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆฟฟฟฟฟ #แบบอ่านแล้วหัวใจจะล้มเหลวละลายหายไปเลยหายไปในอากาศ ฟฟฟฟฟฟฟ

    ยิ่งตอนท้ายของบทนี่ยิ่ง ฟฟฟฟ โอยยยยยยย กดค้างไม่ได้ต้องกดฟรัวๆ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ฮืออออ พื้นที่ที่แชร์เฉพาะแต่กับนาย ไอ้อาการฉันไม่ได้ชอบนายสักนิดนึง แต่ในใจตรงข้ามมันเรียกอีกอย่างว่าซึนนะยะ ฟฟฟฟ น้องสัมผัสได้ว่าเค้ารู้ใจกันแล้วโอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยฟฟฟฟฟฟหวกวกวกววกสปสปสปสปสปวปยฟวฟบฟฟงผงฟบฟบวฟวฟ

    พี่ทิพย์คะะะะะ แงงงง ตอนนี้มันละมุนอบอุ่นโรแมนติกฟหกดสวหมากเลยค่ะ ฮืออออออออ ฟ้าก๊าวใจ ถึงกับเม้นจากมือถือ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ฟ

    เห็นมั้ยน่ะเซเวียร์ ทั้งพี่สาว ทั้งรุ่นน้อง ทั้งคนอ่านคนเขียนเค้ารู้ความรู้สึกนายอะไรยังไงหมดแล้ว ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ เหลือแต่นายนั่นแหละ ฮอลลลลลลลลลล /ทุบหมอนอย่างบ้าคลั่ง

    อะไรนะนายไม่รู้ว่าทำไมทุกคนรู้ยังงั้นหรอ ก็ไม่อะไรหรอกนะเซเวียร์ นายไม่รู้ตัวหรอ แค่นายเล่า ‘เรื่องของนายช่วงนี้’ ให้ใครฟังทีไร มันดันมีข้อมูล ‘คนที่นายไม่ชอบขี้หน้าไม่ถูกชะตาไม่มีวันจะชอบได้’ หลุดมาซะแปดเก้าส่วนทุกทีสินะ หึหึหึหึหึหึหึหึ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ พูดเองก๊าวเองค่ะฮือออ

    เห็นด้วยกับหนุ่มน้อยแฮงค์ ที่สุดเลยว่าพวกนายเฟลิร์ตกันไม่ได้เรื่อง เสียสุขภาพจิตทั้งนายทั้งคนอ่าน ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆฟฟฟฟฟ #แบบอ่านแล้วหัวใจจะล้มเหลวละลายหายไปเลยหายไปในอากาศ ฟฟฟฟฟฟฟ

    ยิ่งตอนท้ายของบทนี่ยิ่ง ฟฟฟฟ โอยยยยยยย มือถือกดค้างไม่ได้ต้องกดฟรัวๆ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ฮืออออ เรื่องที่เล่าเฉพาะแต่กับนาย ความรู้สึกที่แชร์ร่วมกัน การเปิดใจ โอยยยยยย /เกาะกระจกตึกแล้วไถลลงไปถึงพื้น ฟฟฟฟฟ แล้วไอ้อาการฉันไม่ได้ชอบนายสักนิดนึง แต่ในใจตรงข้ามมันเรียกอีกอย่างว่าซึนนะยะ ฟฟฟฟ น้องสัมผัสได้ว่าเค้ารู้ใจกันแล้ว… ลึกๆ หึหึหึ ถึงภายนอกจะยังเก๊กไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปก็เถอะค่ะ ฮอลลลลลลล น้องสงสัยอย่างยิ่งว่าพี่เก็บไฟล์ไว้ได้ยังไงตั้งนาน มดไม่ขึ้นหมดแล้วหรอ ก๊ากกกกกก 55555 โอย สติน้องไม่เหลือแล้ว เริ่มวนไปวนมา เอาเป็นว่ารอตอนต่อไปนะคะะะ เลิฟยูวววววว

    Like

  5. แฮงคคคคคคคคคคคคคค์ ทำไมมาแปปเดียวนายมองขาดขนาดเน้
    จี้จุดจี้เข้าไป อยากน้องตอนนี้ชาร์ลส์ก็เกิดอาการตึกตักในหัวใจอย่างชัดเจนล้ะ
    รอว่าเมื่อไหร่จะยอมรับได้ ส่วนอีริคนี่ฮียังไง ?
    เปิดเผยความเป็นส่วนตัว หัวเราะแบบสบายๆ แอร้ยย
    คือแกรรร ฉันว่าพวกเค้าเข้าใกล้กันมากไปอีกนิดแล้วล้ะ
    แล้วนี่จินตนาการถึงม้านั่งรกๆมีชาร์ลส์หลับพิงอีริค
    แล้วก็มีแสงตอนเช้าสว่างสาดส่อง โฮววววว
    ถ้ารวมเล่มขอภาพสีช็อตนี้ด้วยได้มั้ยคะ
    มันต้องละมุนมากแน่แน่เยยย โฮ้ยอ่านตอนนี้ล้ะอย่างกินเครมบูเล่
    หวานๆนุ่ม ๆจังอะฮิ ขอบคุณคุณทิพย์ที่แต่งเรื่องดีดีมาให้อ่านนะคะ

    Like

  6. พี่ทิพย์คะ พี่ทิพย์ แงแงแงแงงงงง T/////////////T

    *มอบโล่ลูกดีเด่นแด่แฮงค์ แมคคอย*
    ทำดีมากค่ะลูกกก ทำดีที่สุดเลยยยยยยยยยยยยยย ><
    ตอนที่เปิดประเด็นถามชาร์ลส์เรื่องจะรอใครขอคบนี้คืออะไรรร
    แฮงค์คะ ขอบคุณที่ยิงประเด็นทีเดียวคุณเซเวียร์ถึงกับเสียหลัก #ยื่นเสื้อคอเต่าให้ซบ
    เข้าใจเลยค่ะว่าแฮงค์ที่รักนี้คงจะหงิดในใจที่ทำไมชาร์ลส์ไม่ยอมรับตัวเองซักที
    เล่าไปก็ทำหน้าเขินไปไม่ใช่เหรอออออ ฟฟฟฟฟฟฟ
    และจะพยายามเข้าใจนะคะที่ว่าไม่ได้เฟลิร์ตกันเลยค่ะ มันเป็นแค่การทะเลาะกัน
    อืมมม … ก็แค่ทะเลาะเนอะ ไม่ได้ฟงไม่ได้เฟลิร์ตเล๊ยยยยยย
    แต่ก็แค่ยินดีจะทะเลาะกันไปเรื่อยๆก็แค่นั้นเองอ่ะเนอะ
    อีกอย่างเห็นด้วยกับแฮงค์มากค่ะเรื่องชาร์ลส์เรียนจิตวิทยาแล้วทำไมยังไม่ยอมรับตัวเองงง ฟฟฟฟ
    ยอมรับแล้วแต่งกันไวๆนะคะ #หืม #เหมือนจะไม่ใช่ประเด็นนี้ 5555
    ถึงจะบอกว่าเสียสุขภาพจิต แต่ทั้งสองฝ่ายก็ดูเหมือนยินยอมจะเสียสินะคะ โอเค ~

    ตัดมาที่คุณเลนเชอร์ตอนนั่งวาดรูป
    พอนึกภาพตามแล้ว …. ขอลาตายตรงนี้เลยนะคะ TT แง๊~ มันดู ฟุ้งงงงงงงงง บรรยายไม่ถูก
    แล้วพอเจอหน้าคุณเซเวียร์นี้ก็กัดเลยนะคะ นัลลั๊กกกกก
    ชอบมากตอนที่ชาร์ลส์พยายามจะออกเสียงเยอรมัน #นี้ถึงต้องกลับไปเปิดดู xmfc ตอนที่ชาร์ลส์พูดเยอมันเลย
    ถึงจะเพียงน้อยนิดและรวดเร็วแต่ก็น่ารักดี ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
    แล้วแล้วแล้วแล้ววววววววววว …!! ยอมคุยกันเรื่องส่วนตัวมากขึ้นแล้ววว TT
    โอร้ยยย นี้ยอมรับกันเข้าไปในชีวิตให้มันมากกว่านี้เลยได้ไหมคะ #นี้ก็จะยุให้เค้าแต่งกันท่าเดียว
    ตอนที่ยอมหลบให้ชาร์ลส์ดูรูปที่ตัวเองวาดนี้มัน ไม่มีอะไรฟินในความลงตัวแบบนี้อีกแล้วว
    แต่บอกเลยว่าขำมากที่คุณอีริคจิกน้องชาร์ลส์เรื่องจะโดนริบสิทธิ์ปาร์ตี้น้ำชา ถถถถถถถถถ
    อีกอย่างคือ รู้สึกอยากไปซบคุณเลนเชอร์แล้วสูดดมกลิ่นน้ำหอมจึงค่ะ #อัลไลลล #ความคิดนี้คืออะไรรร
    แล้วไอ้รู้สึกชอบไม่ชอบ ไม่ชอบชอบคืออัลไลลลล โงร้ยยยยย
    ความฟินมันฟุ้งไปหมดเลยอ่ะพี่ทิพย์~

    ปล. อยากพูดกับพี่ทิพย์นานมากแล้วเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้บอกในตอนไหน
    ขอบอกในคอมเม้นท์นี้เลยนะคะ เชื่อว่าพี่ทิพย์จะได้อ่าน TT
    รินชอบฟิคทุกเรื่องของพี่ทิพย์ (ที่รินอ่าน) ทุกเรื่อง … ย้ำอย่างจริงจังค่ะว่าทุกเรื่องจริงๆ
    นอกจากความฟินจะพุ่งจนบางทีคิดว่า นี้มันคือพลังติ่งแบบที่พี่ทิพย์บอกจริงๆสินะ
    มันคือความสมจริงของทุกเนื้อหา เนื้อเรื่อง ทุกตัวอักษรจนทำให้รู้สึกว่า ทุกคนในฟิคมีชีวิตจริงแบบจริงๆ
    คือบางทีเวลาอ่านฟิคบางเรื่องมันจะแอบขัดใจกับตัวเองเล็กน้อย
    แต่มันไม่มีในฟิคพี่ทิพย์เลยซักนิดเดียว (รินไม่ได้จับผิดหรืออะไรอย่างใดนะคะ TT)
    แล้วที่ชอบคือ ชอบอ่านทอร์คของพี่ทิพย์มาก มันจะมีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนให้อ่าน
    สรุปคือ . รินรักฟิคพี่ทิพย์ มากมากมากมากมากมากกกก
    และถึงแม้เราจะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่อยากจะบอกว่า รักพี่ทิพย์มากมากเลยค่ะ
    ขอบคุณที่แต่งฟิคน่ารักๆมาให้อ่าน
    แงแงแงงงง T////////////T
    ปล.2 พี่ทิพย์เป็นคนที่ทำให้รินมาสิงแฟนด้อมหนังอย่างเป็นทางการ . ได้พลังติ่งมาเต็มที่เลยคะ

    ด้วยรักกค่ะพี่สาววว ♡

    Like

  7. ชาร์ลส์ บางทีนายอาจจะควรอัดเสียงตอนที่ตัวเองเล่าเรื่องสตูดิโอคลาร่าเอาไว้
    แล้วลองเปิดวนๆ ดูนะ เผื่อนายจะได้รู้ว่าทำไมคนอื่นถึงคิดว่านายกับเลยเชอร์ “กิ๊กกัน”
    มากกว่า “ทะเลาะกัน” อย่างที่นาย “พยายาม” เข้าใจน่ะนะ
    เพราะขนาดเราที่ที่เห็นการกระทำ ความคิด คำพูดทุกอย่างของนายสองคน
    เรายังคิดว่าพวกนาย “เฟลิร์ต” กันเลย #ขอบคุณแฮงค์ที่ช่วยนิยามการกระทำของสองคนนี้ให้
    เอ็มม่าก็คิดแบบนั้น ขนาดแฮงค์ยังคิดเลย ชาร์ลส์เอ๊ย ไม่สนใจจะ “เฟลิร์ต” กับเลนเชอร์เลยเหรอ
    เคมีพวกนายเหมาะเจาะกันสุดๆ เชื่อเราฟฟฟฟ เอาแต่เถียงกันแบบนี้ไม่ดีหรอก
    เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ เห็นปะว่าแฮงค์ยังบอกเลยว่าเป็น “วิธีเฟลิร์ตกันที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิต” เลย

    อีริคนั่งวาดรูปอยู่บนโต๊ะทำงาน… “………………………” #มีติ่งเสียชีวิต1ea
    เราไม่น่านึกภาพตามเลยแง คือมันหล่ออออออออสสสสสส์ หล่อจนถึงระกับติ่งลืมทางกลับบ้าน
    หล่อจนลืมแล้วว่าต้องหายใจเข้าและออก มันดูมีมาด มันดูคูล มันดู มันดู มัน…#ชักตาย
    เราไม่เข้าใจเลยว่าชาร์ลส์ยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงหลังจากอีริคภาพนั้น #เพราะเราไปแล้ว
    โฮรว ผู้ชายอะไรหล่อร้ายได้คูลน่าปีนป่ายขนาดนี้คะ (ขออนุญาติเอาคำคุณทิพย์มาใช้)
    ไม่ให้ปีนอีริคก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเราปีนขาโต๊ะทำงานก็ได้ แฮ่กๆๆๆ #ต่อมติ่งแตกซ่าน

    ช่วงท้ายที่เขาบอก “ไม่ชอบ” กันคืออะไรที่น่ารักในระดับฟหกด่าสวฟหกด่าสว
    แบบว่าเหมือนเด็กสองคนกำลังเล่นเกม “พูดคำตรงข้าม” อยู่ยังไงก็ไม่รู้ แงๆๆๆๆๆ
    น่าร้ากกกกกก แบบ ฉันไม่ชอบนายหรอกนะ เชื่อสิ อีกคนก็แบบ ฉันก็ไม่ชอบนายเหมือนกัน!
    แต่สรุปหน้าแดงทั้งคู่ไรงี้ เป็นการเถียงกันได้หวานอะไรขนาดนี้ สาบานสิว่าไม่ใช่การเฟลิร์ต
    อยากเห็นฝั่งอีริคเล่าเรื่องสตดิโอคลาร่ากับคนอื่นจังเลยค่ะ อยากรู้ว่าจะมีปฏิกิริยายังไง
    หากโดนคนฟังบอกว่านายกำลังกิ๊กอยู่กับน้องชายเจ้าของสตูอิโอเหรอ? -///-

    Like

  8. ชาร์ลส์อาจไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปบ้างจนกระทั่งแฮงค์บอก แหม่… พล่ามถึงสถาปนิกเลนเชอร์ซะเพลินเลยนะ แถมยังทำหน้าเขินๆอายอีกด้วย ฮรุ่มมมม ชาร์ลส์ควรไปขออีริคคบจะได้เป็นการเซอร์ไพรส์ให้คุณสถาปนิกผู้เย็นชาคนนั้นได้เขินอายไปด้วยอีกคนเลย ชอบที่แฮงค์ใช้คำพูดแต่ละคำมาก ไม่เอาน่าชาร์ลส์.. ดูเหมือนกับแบบว่า ฉันดูนายออกนะว่านายรู้สึกยังไงกับสถาปนิกหนุ่มคนนั้น ไรงี้ ถถถถถ ดูเหมือนว่าชาร์ลส์เองจะโกหกได้ไม่เนียนสักเท่าไร อย่าว่าแต่โกหกคนอื่นเลย ขนาดโกหกตัวเองชาร์ลส์ยังทำไม่ได้เล้ยยยยย

    บรรยากาศที่พี่ทิพย์บรรยายมามันชวนให้เดินเล่นจริงๆค่ะ ถ้าเป็นชาร์ลส์ก็อยากจะออกเดินมองเมืองที่ขึ้นชื่อว่าไม่หลับไหลในตอนเช้ามืดๆเหมือนกัน แต่การที่เดินไปเดินมาแล้วสุดท้ายมาจบที่เจออีริคนั่งวาดรูปตึกอยู่แบบนี้นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ก๊าวมาก 55555
    ชอบที่สองคนนี้พูดคุยกันแบบมีแอบแซะกันเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง เหมือนความรู้สึกของคนแอบชอบกันแต่อายเกินกว่าจะแสดงออกไปแบบชัดแจ้ง ฮึ่มมมม -////-
    ชอบที่สุดคงเป็นตอนที่ชาร์ลส์งีบแล้วพิงไหล่อีริค -///////////- อ่านไปเขินไปมากค่ะ อยากวาร์ปไปแอบดูเพื่อสัมผัสบรรยากาศน่ารักๆแบบนี้สักหน่อย

    ชอบทุกอย่างในตอนนี้เลย บรรยากาศและบทพูด ฮรุ่มมมมม ที่ทั้งคู่คุยเรื่องส่วนตัวของกันและกัน รวมไปถึงคำพูดบางประโยคที่มั่นใจว่ามันสื่อความหมายบางอย่างซึ่งใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่อาจรับรู้ถึงความหมายมันเพียงแต่ไม่อยากยอมรับก็เป็นได้ (‘/////’) แต่คนที่รุกหนักดูจะเป็นชาร์ลส์นะ 55555 ชอบเค้าก็บอกมาาาาา อย่ามัวโกหกเล้ยยยยยย เดี๋ยวเอมม่าจะไม่ได้น้องเขยเป็นสถาปนิกคนเก่งนะชาร์ลส์ แล้วตอนที่ความใกล้ของหน้าของสองคนนี่..อยากจะให้มีมือปรศนาผลักสองคนนี้เบาๆให้ปากได้พอสัมผัสกันจังเลยค่ะ อยากเห็นชาร์ลส์เขิน แอร๊ยยยย

    ขอบคุณฟิคสนุุกๆมากค่ะพี่ทิพย์ ❤

    ปล.สรุปแล้วมหาลัยที่อีริคเรียนชื่ออะไรคะ 5555

    Like

  9. อ….อ่า…………. จบแล้วอ่อคะ ฮรืออออออออ
    สนุกมากๆๆๆๆเลยค่ะ แงงง หาแทแยหสแายดาดา นี่มันซีนโรแมนติกมากเลย -//////////- มโนอิริคในหัว… ทำไมท่านถึงหล่อร้ายแบบนี้ พรากกกกกก
    เชียร์ให้เล่มนี้ออกมาเป็นหนังสือนะคะ โอ๊สสสสสส!!!!!!

    Like

  10. เฮนโลสววว หนุ่มซึนสองคนนี้เล่นอะไรกัน ให้ป้าเล่นด้วยได้มรั้ยยยย//โดนตบ
    ชอบก็จีบเลยชอบก็จีบเลยเซ่ ชูวับๆ #ร้องเพลงลอยๆ //อุ๊ยแท่งเหล็กฟาดหัว
    ว้ายพี่คะน้องชอยคำพูดของตาแฮงค์มากค่ะ แบบสิบแต้มให้แมคคอย!!
    บร้าบร้าบร้า #บิดดดดด
    โกโกหนูน้อยยยยย ก้ากกกก ชอบคำนี้
    อะไรนะเถียงกันจนหลับซบอกกันเลยหราาาา//แท่งเหล็กฟาดหัวอะเกน
    พี่ทิพยฺนี้ทำลายชีวิตน้องจริงๆคร่ะะะะ
    และจากการที่ได้อ่านฟิคนี้ก็ทำให้น้องได้รู้ว่าน้องเป็นคนขี้แซะมากค่ะฟฟฟฟฟ

    Like

  11. “ไม่ชอบก็ไม่ชอบ…ฉันก็ไม่ได้ชอบทุกคนหรือทุกอย่างในชีวิตซะหน่อย”
    “ไม่ชอบก็ไม่ชอบ…ฉันก็ไม่ได้ชอบทุกคนหรือทุกอย่างในชีวิตซะหน่อย”
    “ไม่ชอบก็ไม่ชอบ…ฉันก็ไม่ได้ชอบทุกคนหรือทุกอย่างในชีวิตซะหน่อย”
    ประโยคนี้หมุนวนในหัวเรามาไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้วอ่ะ คือแบบบเราเขินแทบชาร์ลเลยจริงๆนะ ทำไมนายหยอดได้เหมาะและตรงประเด็นขนาดนี้ ตอนอ่านนี่เรามือสั่นเลย ฟินมากกจนต้องว่างมือถือแล้วกรี้ดอะ โฮกจริงๆ ทำไมมันละมุนแบบนี้ พอนึกถึงหน้าพี่ฟาสพูดประโยคนี้นะพร้อมยิ้มฟันฉลามนะ โอ๊ยตายอ่ะ ตายจริงๆ เป็นคำสารภาพที่สุดยอดมากจริงๆ TvT

    Like

  12. เปลี่ยนจากขอคบเป็นขอแต่งงานได้ไหมคะคู่นี้ แฮงค์ยังรู้เลยหนูน้อยหุหุ

    Like

  13. แฮงค์ชงเต็มที่ ดีแล้วลูก สนับสนุนคนที่ปากไม่ตรงกับใจแบบชาร์ลส์ที เวลาแซะกันเบาๆ ดูน่ารักละมุนเหลือเกิน ;/////;) อีริคนี่โคตรโรแมนติกเลย โฮร่วว

    Like

  14. ชาร์ลส์นี่ไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองนะคะ…
    เข้าใจเลยว่าอารมณ์ประมาณไหน คือพูดถึงเขา แต่บอกปัดว่าไม่มีอะไร -แต่ใครฟังใครก็ไม่เชื่อ ถถถถถถ
    ชอบที่แฮงค์บอกว่ามันคือการเฟลิร์ต เพราะมันคือการเฟลิร์ตใส่กันจริงๆๆๆ555
    แล้วอะไรคือเจอเขา ตีความเรื่องรายละเอียดของภาพเขาได้ คุยเรื่องส่วนตัวอย่างสนิทใจ ไหนจะเรื่องพูดกึ่งชื่นชมใน…. กลิ่นของอีริคอีก โอ๊ย มันเลยเถิดมาแล้วล่ะยะหล่อน!
    ไม่อยากให้จบเลยยยย เรื่องนี้มันเชอะใส่กันดีอ่ะ ชอบ<3

    Like

  15. นุ่ม นุ่มมาก นุ่มกว่าฟองนมในลาเต้อีก ฮืออออ น่ารักมากอ่ะพี่ทิพย์ ><

    Like

Leave a reply to freshyblue Cancel reply