[The Hobbit Fic][ThorinBilbo] Going to One Wedding Brings on Another (5)

 
 
Going to One Wedding Brings on Another
The Hobbit fanfiction by Tippuri~ii*
 
 

 

 
 

Pairing:  Thorin Oakenshield x Bilbo Baggins
Fandom: The Hobbit
Type: AU fanfiction

 
 

 

 * แฟนฟิคชั่นเซ็ตนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเซ็ตนี้มีแฟนฟิคชั่น BL..ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

 

playlist for this fanfic: In Between Sun Kisses 
 
 
 
 
************************************
 
 
Chapter 5
 
There’s too much love to go around these days

 

 

 

 

เพราะเป็นเรื่องที่ควรทำ และเพราะธอรินโทรมาบอกเพิ่มเติมว่าธรันดูอิล เอลเวนคิงต้องการจะเจอเขาเอามากๆ…บิลโบจึงยิ่งคิดว่าการนัดหมายเซ็นสัญญาที่ตึกเอเรบอร์พับลิชชิ่งไปเลยเป็นเรื่องที่สมควรอย่างที่สุด

 

 

 

 

 

คงด้วยกำหนดการที่แน่นเอี๊ยดกับความติสต์ส่วนตัวหลายๆ อย่าง ธรันดูอิลจึงว่างแค่ช่วงเย็นเกือบหัวค่ำ…แต่บิลโบก็ไม่มีปัญหาอะไรตามประสาคนทำงานอิสระ และเขาเองก็อยากจะพบหน้านักเขียนเบสต์เซลเลอร์คนนี้พร้อมทั้งเข้าเมืองมาทานอาหารเย็นไปด้วยในตัวอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อยลงแล้วตอนที่ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งมาถึงที่หมาย บิลโบแลกบัตรผู้มาติดต่อแล้วก็ขึ้นลิฟต์มายังชั้นแปด…ยืนมองทิวทัศน์ของเมืองที่ถูกอาบย้อมด้วยแสงสีส้มแก่กับน้ำเงินเข้มนอกหน้าต่างอยู่เรื่อยเปื่อยตอนที่ได้ยินเสียงเรียก

 

 

 

 

 

“หวัดดี…”

 

 

 

 

 

เขาหันไป แล้วก็ได้พบกับคนที่คุ้นเคยในมาดอันไม่คุ้นตา…ธอริน โอเคนชีลด์ยังคงเหมือนเดิมด้วยตาคมๆ และหน้านิ่งๆ ประจำตัว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่บิลโบได้เห็นอีกฝ่ายกับเสื้อที่ถูกพับแขนขึ้น…เชิ้ตสีเทาอ่อนยับย่นนิดๆ ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเข้ม ความไม่เรียบร้อยที่กลับให้รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ มากกว่าจะขัดใจอะไร…เพราะบิลโบรู้สึกขึ้นมาในนาทีนั้นว่ามาดของพวกเขาทั้งสองนั้นดูจะเพิ่มความสนิทสนมขึ้นทุกครั้งที่ได้พบเจอ

 

 

 

 

 

เพราะนี่เขาเองก็สวมคาดิแกนตัวที่เก่าแล้วแต่ใส่สบายจนทิ้งไม่ลงอยู่เหมือนกัน… 

 

 

 

 

 

“หวัดดี” บิลโบเอ่ยทักตอบ ถามต่อเล็กน้อย “ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม?”

 

 

 

 

 

ธอรินส่ายหน้า “ไม่เลย…ไอ้หมอนั่นก็เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เอง”

 

 

 

 

 

บิลโบพยายามซ่อนรอยยิ้มอ่อนใจปนเอ็นดูของตัวเองไว้ในหน้าพลางเดินเคียงธอรินไป เขาสังเกตได้เองแล้วว่าท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างคุณเจ้าของสำนักพิมพ์กับนักเขียนเบสต์เซลเลอร์คนนี้คงจะเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยคำจิกกัดและความอยากปาข้าวของใส่หน้ากัน ซึ่งในสายตาของสองคนที่ว่า มันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความน่าหมั่นไส้ล้วนๆ…แต่ในสายตาคนนอกอย่างบิลโบ เขาคงต้องสารภาพว่ามันดูน่าตลกอย่างที่สุด

 

 

 

 

 

ห้องประชุมที่บิลโบกับธอรินก้าวเข้าไปนั้นดูกว้างไปถนัดใจเพราะมีคนคนเดียวรออยู่ที่โต๊ะยาวสำหรับเกือบยี่สิบที่นั่ง…คุณนักวาดรู้สึกทันทีว่าธรันดูอิล เอลเวนคิงเปล่งรัศมีความเป๊ะทุกองศาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมาจากเรือนผมยาวเหยียดตรงที่มัดไว้เป็นหางม้าหรือเสื้อผ้าสไตล์เรียบๆ แต่เฉียบคมทั้งตัว บิลโบแอบสูดลมหายใจเพื่อข่มความตื่นเต้นเบาๆ…แอบหวังในใจให้คุณนักเขียนใหญ่ผู้แต่งตัวเหมือนนายแบบนี่จะไม่ถือสาคาดิแกนตัวเก่งของตน

 

 

 

 

 

“ธรันดูอิล นี่บิลโบนะ…บิลโบ แบ็กกินส์” ธอรินแนะนำเมื่อคนข้างตัวและชายหนุ่มผมสีอ่อนเอ่ยทักทายกันแล้ว

 

 

 

 

 

ธรันดูอิลพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพยักเพยิดไปที่เก้าอี้ข้างตัวเมื่อเห็นบิลโบทำท่าจะเดินไปนั่งตรงอีกฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “ไม่เป็นไรหรอกมิสเตอร์แบ็กกินส์…นั่งตรงนี้ดีกว่า”

 

 

 

 

 

ถึงอีกฝ่ายจะพูดด้วยเสียงเรียบๆ…แต่บิลโบก็อดแอบแปลกใจกับความเป็นกันเองนี้ไม่ได้ เขาจึงเริ่มขยับยิ้มพร้อมเดินไปนั่งตรงนั้น แล้วก็ได้พบว่านี่เป็นความประหลาดใจแรกที่ตนได้พบ…ความประหลาดใจที่สองและสามและต่อๆ มาค่อยๆ ติดตามกันมาเรื่อยๆ เมื่อแทนที่จะเซ็นสัญญาให้จบไปแล้วแยกย้าย ธรันดูอิลกลับนั่งต่อเพื่อถามความเห็นของเขาที่มีให้กับนิยายที่ได้อ่านไป และก็รับฟังเงียบๆ เมื่อบิลโบอธิบายถึงภาพของตัวละครแต่ละตัวที่เขาคิดไว้ในหัวด้วย

 

 

 

 

 

ความรู้สึกสนิทใจไม่ได้ก่อตัวมากมายทันทีนักเพราะธรันดูอิลก็ยังคงมีมาดไว้ตัวนิ่งๆ และรัศมีความเป๊ะทุกองศาอยู่ แต่อย่างน้อย ความรู้สึกเกร็งๆ ในใจบิลโบก็บางเบาลงมากพอที่จะทำให้เขากล้าเอ่ยประโยคนี้ออกไปในที่สุด

 

 

 

 

 

“เอ่อ…มิสเตอร์เอลเวนคิง” ดวงตาสีน้ำตาลเจือเขียวเข้มมีแววไม่แน่ใจปนเกรงๆ นิดๆ ตอนถาม “…ช่วยเซ็นหนังสือให้ผมหน่อยได้มั้ย?”

 

 

 

 

 

คิ้วหนาๆ ของอีกฝ่ายเลิกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงมีกระแสพิศวงเล็กๆ ตอนถามกลับ “…นายอ่านหนังสือของฉัน?”

 

 

 

 

 

“โอ…ปละ เปล่าหรอก” บิลโบรีบอธิบาย รู้สึกอายปนงุ่นง่านเล็กๆ ที่โดนเข้าใจผิด “ญาติผู้หญิงของผมเขาฝากหนังสือมาน่ะ…เขาเป็นแฟนตัวยงของคุณเลย”

 

 

 

 

 

ธรันดูอิลพยักหน้ารับรู้ และเหนือความคาดหมายใด…มือเรียวสวยนั่นก็แบออกมาเป็นเชิงขอหนังสือเล่มที่ว่านั่น กิริยาที่ทำให้บิลโบรีบหยิบนิยายในกระเป๋าออกมา…พริมุล่าแทบกรี๊ดสลบตอนที่รู้ว่าเขาได้งานล่าสุดเป็นการวาดปกให้นักเขียนในดวงใจของเธอ บิลโบจึงคิดว่าการขอลายเซ็นธรันดูอิลในนิยายเล่มโปรดของเธอคงเป็นของขวัญต้อนรับเจ้าตัวจากทัวร์ฮันนีมูนที่ดีไม่น้อย

 

 

 

 

 

“อ๋อ เล่มนี้หรอกเหรอ” ธรันดูอิลพูดเรียบๆ เมื่อเห็นชื่อเรื่องบนปก มือเรียวเซ็นชื่อบนหน้ากระดาษด้วยท่วงท่าของความชำนาญไร้ที่ติ “ฉันเขียนมาจากเรื่องจริงนะเรื่องนี้”

 

 

 

 

 

เจ้าตัวไม่อธิบายต่อว่าเรื่องจริงที่ว่านี่คือเรื่องอะไร บิลโบจึงแค่พยักหน้าเออออไปด้วย แล้วก็รับนิยายเรื่อง ‘ไปตามหาหัวใจที่ทิศเหนือ’ ที่ได้ลายเซ็นแล้วใส่ในกระเป๋า

 

 

 

 

 

ทั้งสองยังคงพูดคุยกันต่ออีกหน่อยถึงเรื่องปก…บิลโบเอาภาพที่เขาได้ร่างๆ ไว้ให้อีกฝ่ายดู และธรันดูอิลก็บอกเพิ่มเติมว่าตรงไหนที่ถูกต้องและตรงไหนที่ต้องแก้ไข และนาฬิกาก็ชี้เวลาหนึ่งทุ่มครึ่งพอดีตอนที่คุณนักเขียนกับคุณนักวาดกล่าวลากันในที่สุด

 

 

 

 

 

 

**

 

 

ด้วยเวลาที่เลยช่วงเลิกงานไปโขแล้ว จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ทั้งชั้นจะไร้ผู้คนแล้วตอนที่บิลโบเดินออกมาจากห้องประชุม

 

 

 

 

 

…เขาเลยหยุดนิ่งอย่างประหลาดใจเมื่อได้เห็นว่ามีใครนั่งอยู่ที่ม้านั่งตรงพื้นที่หน้าลิฟต์

 

 

 

 

 

“ธอริน?” ดวงตาสีน้ำตาลเจือเขียวเข้มกระพริบนิดๆ “ฉันนึกว่านายกลับไปแล้วนะเนี่ย…มีอะไรหรือเปล่า?”

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำอยู่ในห้องประชุมด้วยตอนที่เขากับธรันดูอิลเซ็นสัญญา ก่อนจะขอตัวออกไปเมื่อทั้งสองเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้วเริ่มต้นคุยกันถึงรายละเอียดปก…ธอรินไม่ได้กลับเข้ามาในห้องประชุมอีกหลังจากนั้น ทำให้บิลโบเข้าใจไปแล้วว่าเจ้าตัวคงไปสะสางงานอื่นๆ ต่อแล้ว

 

 

 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่…” ธอรินนึกไม่ออกว่าจะเรียบเรียงคำพูดยังไงให้เข้าท่า เขาจึงจบลงที่การเปลี่ยนประโยคกลางคัน “ขอบใจนะที่วันนี้เข้ามา ไอ้หมอนั่นทำตัวเรื่องเยอะใส่นายรึเปล่าน่ะ?”

 

 

 

 

 

“ไม่หรอก” บิลโบ แบ็กกินส์ส่ายหน้านิดๆ พร้อมอมยิ้มขำ “เขาเซ็นหนังสือให้ฉันด้วย”

 

 

 

 

 

ธอรินพยักหน้าเล็กน้อย “โอเค…ดีแล้วล่ะ”

 

 

 

 

 

แล้วก็เว้นช่วงนิดหน่อย ก่อนที่จะตัดสินใจพูดต่อ…เสียงเรียบนิ่ง ไม่ได้รู้สักนิดว่ามันเจือกระแสไม่แน่ใจหากอบอุ่นนักในความรู้สึกคนฟัง

 

 

 

 

 

“…งั้น…ถ้านายจะไม่รีบกลับ เราไปหามื้อเย็นกินกันต่อมั้ยล่ะ?”

 

 

 

 

 

 

 

**

 

 

ลอนดอนในยามค่ำเป็นส่วนผสมของแสงไฟเรื่อเรื่องหลากสีกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเหมือนผ้ากำมะหยี่

 

 

 

 

 

ร้านอาหารที่ธอรินกับบิลโบตกลงใจกันว่าจะไปนั้นอยู่ห่างไปพอควรถ้าต้องเดิน…แต่เพราะเส้นทางการเดินรถจะบังคับให้ต้องไปอ้อมเสียไกลยิ่งกว่านั้นอีก ทั้งสองจึงเลือกที่จะเดินเท้าเอาแทนเรียกแท็กซี่ ทางเลือกที่มอบเวลาของวันนี้เพิ่มเติมให้กันและกัน

 

 

 

 

 

ปกติแล้ว การสานต่อบทสนทนากับคนนอกครอบครัวเป็นเรื่องที่ทำให้ธอรินปวดหัวเสมอ แต่แปลกนักที่กับบิลโบ แบ็กกินส์แล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คุ้นเคยเลย…บทสนทนาของพวกเขาไม่ได้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหรือความนัยอะไรที่จะทำให้มันพิเศษผิดธรรมดาอย่างที่ในนิยายชอบบรรยาย มันเป็นแค่การพูดคุยและบอกเล่าถึงเรื่องราวทั่วไปเท่านั้นเอง แต่บรรยากาศง่ายดายสบายๆ ระหว่างกันนี้เองที่กลับทำให้ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลาตรงนี้นั้นเพียงพอเสียยิ่งกว่าอะไร

 

 

 

 

 

…ทั้งๆ ที่รู้จักกันไม่นานเลยแท้ๆ 

 

 

 

 

 

นี่เป็นการตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นในใจธอรินท่ามกลางความเงียบของบทสนทนา…เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งของการพูดคุย ถ้อยคำก็ค่อยๆ ลดลงไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ เหลือไว้เพียงจังหวะการก้าวเดินเคียงกันไปบนทางเดินริมแม่น้ำ…ความเงียบที่ถูกเติมเต็มด้วยเสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเบาๆ ผสมผสานกับเสียงใบไม้จากกิ่งก้านริมทางไหวขยับ

 

 

 

 

 

“นายเคยบอกใช่มั้ยน่ะว่าคิลีจะมีแสดงคอนเสิร์ต?” บิลโบถามขึ้น “จะเป็นสักวันที่เท่าไหร่เหรอ? เผื่อพริมุล่ากับโดรโกจะกลับมาที่ลอนดอนก่อนหน้านั้น…พวกเขาอาจจะอยากไปกัน โดรโกเขาชอบเพลงคลาสสิค”

 

 

 

 

 

ธอรินเคยบอกคนข้างตัวเขาไปแล้วว่าหลานชายคนโตเรียนอยู่ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ส่วนหลานคนเล็กนั้น — แม้จะดูไม่น่าเชื่อแค่ไหนก็ตาม — เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ในสายวิชาเครื่องดนตรีที่ดูไม่ได้เข้ากันกับนิสัยเจ้าตัวเลยอย่างเปียโน และหนุ่มน้อยก็กำลังจะได้ขึ้นแสดงในเวลาอีกไม่ถึงเดือนแล้ว

 

 

 

 

 

“ฉันจำวันที่แน่ๆ ไม่ได้ แต่ไม่กี่อาทิตย์แล้วล่ะ” ธอรินตอบ “เป็นเพลงของโมสาร์ทนะ…เปียโนโซนาต้าน่ะ”

 

 

 

 

 

บิลโบพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ หลังเงียบไปชั่วครู่…กิริยาที่ทำให้ธอรินเลิกคิ้วนิดๆ แทนการเอ่ยถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็โบกมือนิดๆ แล้วอธิบายเสียงขันๆ

 

 

 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก” เรือนผมสีน้ำผึ้งขยับไหวนิดๆ เมื่อเจ้าตัวส่ายหน้า “แค่คิดเฉยๆ น่ะ…คิลีกับเปียโน…”

 

 

 

 

 

ธอรินหลุดหัวเราะพรืดตามบ้างอย่างห้ามไม่ได้ เข้าใจบิลโบได้อย่างชัดเจนในฐานะผู้ที่เห็นเจ้าตัวแสบมาตั้งแต่เล็ก…เสียงหัวเราะอ่อนใจปนเอ็นดูนั้นทุ้มต่ำนุ่มนวลเหมือนเสียงเชลโล และดวงตาสีเทาอมฟ้าที่ทอประกายความรู้สึกเดียวกันนั้นก็อ่อนโยนจนหัวใจคนมองเผลอเต้นผิดจังหวะไป ดวงตาสีน้ำตาลเจือเขียวเผลอจ้องมองคนข้างตัว…และก็โชคดีนักที่ความรู้สึกน่าอายนี้ถูกทำให้ไม่เป็นที่สังเกตด้วยสัมผัสที่จู่ๆ ก็ตกต้องลงมาบนผิวแก้ม

 

 

 

 

 

“อ๊ะ—” บิลโบปาดหยดน้ำนั้นออกไปด้วยปลายนิ้ว “ฝนตกเหรอ—”

 

 

 

 

 

ราวกับจะตอบคำถามของเขา หยาดน้ำอีกสองสามหยดก็ร่วงหล่นตามลงมา

 

 

 

 

 

“ให้ตาย…ฉันไม่ได้พกร่มมาซะด้วย…” ธอรินสบถ ก่อนจะพยายามมองโลกในแง่ดี “แต่มันคงตกไม่หนักหรอกมั้ง…”

 

 

 

 

 

ธรรมชาติตอบคำถามให้อีกครั้งด้วยการส่งสายฝนที่เม็ดใหญ่กว่าเดิมลงมาในความถี่ที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ…แล้วในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา แม้แต่เสียงคลื่นจากแม่น้ำก็โดนกลบด้วยเสียงสายฝนที่กระหน่ำเทลงมา

 

 

 

 

 

“มาเถอะ”

 

 

 

 

 

ธอรินตัดสินใจหาที่หลบฝนเฉพาะหน้าเอาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง ยังคงมีหยดน้ำตกต้องลงมาบ้าง…แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่เปียกทั้งตัวด้วยร่มเงาที่แผ่คลุม สายฝนกลายเป็นเพียงเสียงหยาดน้ำเปาะแปะลงใบไม้เท่านั้น

 

 

 

 

 

สองสายตาทอดมองภาพเบื้องหน้า…ลอนดอนยามค่ำคืนหลังม่านฝน ก่อนที่บิลโบจะพึมพำเสียงหงอย

 

 

 

 

 

“…สงสัยวันนี้คงอดกินมื้อเย็นแล้วแน่เลย”

 

 

 

 

 

ความทุกข์ใจเพราะอาหารนี้ทำให้คนฟังอยากหัวเราะมาก แต่ชายหนุ่มผมดำก็พยายามห้ามตัวเองไว้…พูดตอบเสียงค่อย

 

 

 

 

 

“ฉันไม่เครียดเรื่องมื้อเย็นเท่าไหร่หรอก” ธอรินแอบถอนหายใจตอนนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ “ตอนนี้ฉันเครียดมากกว่าว่าฟิลีกับคิลีจะไปเจอตัวอะไรเปียกฝนแล้วพากลับมาบ้านรึเปล่า”

 

 

 

 

 

บิลโบอยากจะเถียงว่าเรื่องมื้อเย็นก็เป็นอะไรที่ควรเครียดด้วยเหมือนกัน…แต่ภาพสองหนุ่มที่หอบกล่องใส่ลูกหมาหรือลูกแมวมาเต็มอ้อมแขนก็เป็นอะไรที่ผุดวาบขึ้นในหัวได้อย่างไม่ยากเย็น และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาหัวเราะออกมา

 

 

 

 

 

“ไม่ต้องห่วงถึงตัวอะไรหรอกตอนนี้…” ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งส่ายหน้า ยกมือขึ้นปาดหยาดฝนจากวงหน้าตัวเอง “ห่วงตัวพวกเราเองก่อนท่าจะดีกว่า…เปียกก็เปียกแถมยังไม่มีร่มอีก…”

 

 

 

 

 

ธอรินถอนหายใจพร้อมพยักหน้าตาม เหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย…ก่อนที่จะหันไปหาอีกฝ่ายตรงๆ เพื่อเอื้อมปลายนิ้วออกไปช่วยปาดน้ำฝนออกให้จากข้างแก้มเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดูจะไม่สังเกตถึง

 

 

 

 

 

บิลโบ แบ็กกินส์ชะงักไปกับสัมผัสนี้…ดวงตาสีน้ำตาลเจือเขียวเข้มช้อนมองธอรินตอนที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้น แล้วในนาทีนั้น…รอบตัวของพวกเขาก็ดูจะเหลือแค่เสียงหยดน้ำกระทบใบไม้และเสียงลมหายใจอันติดขัด ทุกอย่างถูกโอบล้อมไว้ในความโหยหาอันนุ่มนวล…กันและกันที่ห่างเพียงเสียงหัวใจกั้น

 

 

 

 

 

มันไม่ได้รวดเร็วหรือรุ่มร้อนเหมือนฉากในภาพยนตร์…กลับกันด้วยซ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเคลื่อนไปในจังหวะเนิบช้าหากอ่อนโยนมั่นคง ธอรินใช้มือหนึ่งประคองวงหน้าของบิลโบไว้ในขณะที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในอ้อมแขนของเขา…ความใกล้ชิดที่ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งคล้องแขนรอบคอเขาได้ตอนที่ธอรินก้มลงไปเพื่อประทับริมฝีปากของตัวเองเข้ากับเจ้าตัว

 

 

 

 

 

จูบนั้นเป็นแค่จูบเดียว…บิลโบพิงศีรษะเข้าหาเขาแทนเมื่อทั้งคู่ผละจากกัน ธอรินรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรด และก็พบว่าตนคิดถูกจริงๆ เสียด้วย…เขาสามารถวางคางลงบนเรือนผมสีน้ำผึ้งอ่อนนุ่มนี่ได้อย่างสบายๆ ถ้ากอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนแบบนี้

 

 

 

 

 

“รู้มั้ย…”

 

 

 

 

 

เสียงนุ่มๆ ของบิลโบทำลายความเงียบลง วงหน้าที่เงยขึ้นมามองเขาตรงๆ แล้วทำให้ธอรินได้เห็นรอยยิ้มและดวงตาที่พริบพราย…เขินอายหากก็ขบขันปะปนกัน

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำแค่เพียงส่งเสียงในลำคอ แทนคำบอกให้อีกฝ่ายช่วยขยายความต่อ…และนั่นก็ทำให้คนในอ้อมแขนเขายิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด เขย่งตัวขึ้นเพื่อให้ถ้อยกระซิบอ่อนหวานนี้ชัดเจนระหว่างกัน

 

 

 

 

 

“…ฉันกำลังสงสัยอยู่เลยล่ะ…ว่าเมื่อไหร่ที่เราจะทำแบบนี้กันสักที”

 

 

 

 

 

ธอรินได้แต่มองอีกฝ่าย…นิ่งนาน ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มแตะแต้มที่มุมปากตั้งแต่เมื่อไหร่ “ดีแล้ว”

 

 

 

 

 

คนตัวเล็กกว่าเอียงคอนิดๆ “ดีแล้วที่?”

 

 

 

 

 

รอยยิ้มนั้นอบอุ่นอ่อนโยน…เหมือนน้ำเสียงที่เอ่ยตอบประโยคเต็มๆ

 

 

 

 

 

“…ดีแล้ว…ที่ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่สงสัยเรื่องนี้”

 

 

 

 

 

 

บิลโบหัวเราะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

********************************

 

สวัสดีค่ะ

 

แป็บๆก็ใกล้จะหมดปีแล้ว รู้สึกเหมือนเพิ่งลงฟิคคริสมาสต์ของปีที่แล้วอยู่เลยค่ะ…ไวมากเลย แล้วก็เลยแอบเศร้าจุยที่ปลายปีนี้จะไม่มีฮอบบิทให้รอดูแล้ว T-T คิดแล้วเหงาๆมากเลยค่ะ คิดถึงบิลโบและธอรินและทุกๆคน เฮิร์ทกับตอนจบ ฟฟฟฟฟฟ เลยทำให้ปั่นฟิคมโนรัวๆว่าพวกเขาแฮปปี้กันค่ะแงงงงงงงงงงงง

 

 

เรามองว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้ ถ้ามาอยู่ในโลกปัจจุบัน คงแนวๆนี้ล่ะค่ะ นิ่งๆและดูรักษามารยาทต่อกัน แต่จริงๆก็แอบชอบกันอยู่ทั้งคู่ บทจะบอกความในใจก็เลยจะมุมิแบบมึนๆเงียบๆค่ะ เหมือนรู้กันอยู่แล้วก่อนจะบอกอีก ก็เลยไม่ได้คิดจะเร่งให้ชัดเจนอะไรเพระารู้อยู่แล้ว แบบนั้นน่ะค่ะฟฟฟฟ…เราอธิบายงงๆมั้ยคะแงงงงง

 

 

เอาสั้นๆก็คือ เขียนบทนี้แล้วเขินฟุวะฟุวะมากค่ะฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

 

 

ทีแรกเราคิดว่าฟิคเรื่องนี้คงราวๆสามบทจบ แต่ยิ่งเขียนภาพก็ยิ่งมาค่ะฟฟฟฟ ก็เลยจะเขียนไปเรื่อยๆแล้วล่ะค่ะ otp ที่แฮปปี้คือความหวังเดียวของเราในมโนแลนด์แห่งนี้ค่ะก้ากกกกก

 

 

 

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

 

 

 

 

ทิพย์

 

 

 

 

 

11 responses to “[The Hobbit Fic][ThorinBilbo] Going to One Wedding Brings on Another (5)

  1. อร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาย กรีดร้องงงงงงง ฮรือออ ฉากจูบใต้ร่มไม้ตอนฝนตกคือดีงามมากค่ะพี่ทิพย์ โฮรวว อ่านไปเขินไป นี่จะแทะหมอนขาดแล้วค่ะ ลุงป้าช่างละมุนละไมเหลือเกิน งืออ

    Like

  2. >//////<
    ฮรือออ แทบจะร้องไห้ออกมาเป็นก้อนน้ำตาล มันหวานละมุนมากกกกกกกกกกกกกก เขินมากกกกกกกกกกกกกก ก๊าวหัวใจมากกกกกกกกกกกก ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    Like

  3. น่ารักจุงเลยยยยยย
    มุมิงุ้งงิ้งงงงงมากๆค่ะ
    คือให้ฟีลอุ่นๆหวานๆน่าเอ็นดู
    อธิบายไม่ถูกแล้วแต่ชอบธอโบ้อุ่นๆของพี่ทิพย์มากเลยค่ะ
    ขอบคุณสำหรับฟิคและรักนะคะ

    Like

  4. โอ๊ยยยยยยย เอาใจไปค่าาาาา //อ้วกออกมาเป็นสายรุ้ง
    อ่านฟิคน้องหมาฟีลีกับคัพเค้กพิศวงต่อด้วยฟิคนี้แล้วก๊าววววโคตรรรรรร
    แต่บอกเลยว่าเราก็มึนๆงงๆไปกับสองคู่นี้ตอนฉากจูบจริงๆนะคะ เอิ้กกกกกก

    Like

  5. อบอุ่น!!!! อ่านตอนนี้แล้วอบอุ่นหัวใจมากๆค่ะ เราชอบสไตล์ที่น้องทิพย์แต่งมากๆ มันไม่หวือหวา เรื่อยๆค่อยๆซึบซับความรู้สึกไป ยิ่งตอนนี้เราอ่านแล้วโคตรรรรรรเขินค่ะ เขินบ้าบอมาก //ตัวบิดดดด 55555555555 ชอบมากกกกกๆค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ^_______________^

    Like

  6. ฮรือ น่ารักๆๆๆๆๆๆๆๆ
    โอ้ยเขินแปบข่ะะะ
    แอบขำคิลีกะเปียโน 5555555 แต่ชอบคนเล่นเปียโนนะคะ น่าร้ากกกกก
    ลอตอนที่บิลโบ้บอกว่าแบบ ฉันสงสัยว่าทไมเราไม่ทำแบบนี้กันสักที
    และธอรินตอบว่า ดีแล้ว ที่ฉันไม่ได้สงสัยอยู่คนเดียวนี่มัน……….
    กร๊าซซซซซ โอ้หม่ายก้อดดดดดดดดดดด
    เขินค่ะแง เขินแบบบิดตัวสักแปดร้อยองศา
    มีคนแบบนี้ในชีวิตจริงม้ายยยย มาเป็นแฟนเราด่วน
    คือแบบบบบบบ เขินมากจริงๆค่ะแงงงง
    เหมือนคนบ้าเลยยยยยยย

    Like

  7. สอบเสร็จแล้ว ถึงได้มาอ่านลุงป้าค่ะ
    โงร้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
    เขาจูบกันแล้ว จูบนะ จูบบบบ
    ฮือ น่ารักละมุนคงคอนเซ็ปต์เดิมของพี่ทิพย์เลยค่ะ ยิ่งพอเราจินตนาการบรรยากาศของลอนดอนตอนค่ำคืน มันยิ่งอบอุ่นละมุนท่ามกลางสายฝนเข้าไปใหญ่ โฮรยยย น่ารักมาก
    ตอนบิลโบขำเรื่องคิลีกับเปียโน นี่ก็รู้สึกขำตาม ธรันดี้อีก กิริยานางช่างเริ่ดอะไรขนาดเน้5555

    Like

  8. ตอนที่ระยะห่างมันใกล้ลงเรื่อยๆจนในที่สุด….
    อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พี่ทิพย์ พี่ทำอัลไลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล(ปาหัวใจใส่รัวๆ)หนูกรี๊ดกับตรงนี้นานมากกกกกกกกกก อ่านวนหลายรอบมาก เขินโว๊ยยยยยยยยยยยย555555555 (กรี๊ดไร้เสียงนะคะ กรี๊ดเสียงดังเดี๋ยวคนข้างห้องจะฆาตกรรมหนูได้555)
    ชอบบรรยากาศตอนที่พูดมาก สารภาพรักกันแบบเอื้อออออออออออออออออ ตายๆๆค่ะนาทีนี้ หัวใจกี่ดวงถึงจะพอ5555555
    คิลิกับเปียโน ถ้าคิลิต้องแต่งเพลง นึกไม่ออกเลยค่ะว่าเจ้าตัวจะแต่งแนวไหน(ฮา)แต่ก็คงแนวที่ฟังแล้วทำให้นึกถึงลูกหมาที่วิ่งบนทุ่งหญ้าขจีในฤดูใบไม้ผลิ สดใสร่าเริงแน่ๆเลย
    ฟินมากๆถึงมากที่สุด นิยายพี่ทิพย์ทำให้เราฝันหวานในคืนนี้แล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ555555

    Like

  9. พึ่งตามหาอ่านจนมาเจอเรื่องนี้ ;0;
    เห็นคุณทิพย์ไม่ได้อัพต่อมาปีนึงแล้วอยากจะทราบว่าเรื่องนี้ยังมีทางจะต่อได้บ้างไหมคะ อยากอ่านต่อมากเลย ;_______;

    Like

    • เรื่องนี้มีพล็อตแล้วค่ะ แต่เรายังคิดตอนจบให้ถูกใจไม่ได้เลยค่ะ เลยยังไม่ได้เขียนต่อสักที TxT ขอบคุณนะคะที่ถามเข้ามา เรานึกว่าเรื่องนี้ไม่มีคนอ่านค่ะแงงงง ถ้ายังไงเราจะเขียนต่อแน่ค่ะ ❤

      Like

  10. ฮือออ ความนุ่ม ความละมุนในทุกบรรทัดนี้
    อ่านแล้วหุบยิ้มไม่ได้เลยค่ะ ละมุนมากกกกกก

    Like

Leave a reply to tippuri Cancel reply