[Yuri!!! On Ice Fic][seungchuchu] oh darling you look like christmas morning (6)

 
 
 
oh darling you look like christmas morning
ユーリ!!! on ICE fanfiction by Tippuri~ii* 
 

 

    
 

 
 
Pairing: Seung-gil Lee x Phichit Chulanont
 

Fandom: ユーリ!!! on ICE

 

 

 

 * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

 

 
****************************
 
note: เป็นหนึ่งในฟิคของจักรวาล yuri on ice coffeeshop AU ของเราค่ะ พิชิตบาริสต้านั่นแหละ
 
****************************

 

 

 

Chapter 6

 

 

 

 

 

 

ถ้าเทียบกันแล้ว ตารางเรียนของซึงกิลนั้นคล้ายกับของเอมิลมากกว่าสองพี่น้องคริสปิโนที่ยังลงวิชาแนวๆ เคมีกับชีววิทยาอยู่บ้าง…ตารางของเขากับเอมิลนั้นหนักมาทางฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์มากกว่า และนั่นจึงทำให้มีแค่ซึงกิลกับเอมิลเท่านั้นที่ต้องมาฝ่าฟันกับวิชาฟิสิกส์แรงโน้มถ่วงกันอยู่สองคน

 

 

 

 

มันเป็นวิชาที่คนเลือกเรียนเพื่อเสริมหน่วยกิตเสียมากกว่า(เหตุผลเดียวกับที่ซึงกิลลงเรียน) นั่นจึงทำให้หลักการให้คะแนนเป็นแค่การสอบหนึ่งครั้งแล้วส่งรายงานอีกหนึ่งเล่มเท่านั้น และด้วยความที่การสอบใกล้จะมาถึงในวันจันทร์นี้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เอมิลจะส่งข้อความมาขอให้เขาช่วยติวเรื่องโจทย์คำนวณส่งท้ายให้หน่อย

 

 

 

 

เจอกันตอนเช้าวันเสาร์ได้มั้ย?

 

 

 

 

ซึงกิลไม่เคยแสดงทีท่ามาแต่ไหนแต่ไรว่าเอมิลกับสองพี่น้องคริสปิโนคือเพื่อนของเขา แต่หลังจากเรียนด้วยกันมาจนถึงป่านนี้…ชายหนุ่มก็รู้อยู่ลึกๆ แล้วว่าทั้งสามนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงคำว่ากลุ่มเพื่อนสนิทของตน และถึงเอมิลจะชอบพูดล้อซึงกิลอยู่บ้าง แต่คำพูดเหล่านั้นก็ไม่ได้หวังร้ายอะไร แถมเจ้าตัวยังรู้ด้วยว่าเวลาไหนที่ควรไม่มายุ่งอะไรกับเขามาก(ซึ่งส่วนใหญ่คือตลอดเวลา)…นั่นจึงทำให้หลังคิดๆ ดูสักพัก ซึงกิลก็ส่งข้อความไปว่าตกลง

 

 

 

 

พวกเขานั่งกันที่ตรงโต๊ะประจำของกลุ่มในห้องสมุดตั้งแต่เก้าโมงตอนเช้าวันเสาร์…ไม่ค่อยมีคนนั่งอ่านหนังสือเท่าไหร่ นั่นจึงทำให้บรรณารักษ์ไม่ได้ว่าอะไรที่ทั้งสองคุยกันด้วยเสียงปกติ และหลังจากสองชั่วโมงผ่านไป…เอมิลก็ประกาศว่าตนเข้าใจทุกอย่างที่เคยงงกับมันหมดแล้ว พร้อมตบบ่าซึงกิลรัวๆ พลางพูดขอบคุณ

 

 

 

 

“ขอบคุณมากนะซึงกิล”

 

 

 

 

ตอนนี้พวกเขาเดินออกมาพ้นจากเขตมหาวิทยาลัยแล้ว แต่เอมิลก็ยังไม่หยุดพูดประโยคนี้ ถ้าเขาเป็นมิเกล…ซึงกิลคิดว่าตนคงโดนโอบบ่าหรือกอดเขย่าๆ ไปแล้ว แต่โชคดีที่เอมิลรู้ดีพอ…เพราะเจ้าตัวหาวิธีอื่นมาแสดงการขอบคุณที่ไม่กวนโมโหซึงกิลแทน

 

 

 

 

“เอางี้ดีกว่า! เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวกลางวันนายเอง!!”

 

 

 

 

ยังเป็นเวลาแค่สิบเอ็ดโมงกว่าๆ…แต่ซึงกิลก็ยักไหล่อย่างไม่ปฏิเสธ และเอมิลก็คงกะจะเลี้ยงให้เต็มที่จริงๆ…เพราะเจ้าตัวลากเขาเข้าไปในสตาร์บัคส์สาขาประจำด้วยตัวเอง

 

 

 

 

ซึงกิลอาจไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา แต่ในใจนั้นคิดไปแล้วเรียบร้อย…คำถามที่เป็นเหตุผลหลักในการแวะมาซื้อกาแฟของเขา

 

 

 

 

วันนี้จะได้เจอมั้ยนะ…

 

 

 

 

คำตอบที่ได้รับคือภาพรอยยิ้มสดใสของหนุ่มน้อยผิวแทนในชุดผ้ากันเปื้อนเครื่องแบบสีเขียวสด และคงเพราะใกล้วันเทศกาลมากแล้ว…วันนี้พนักงานในร้านจึงต่างก็มีหมวกซานต้าหรือที่คาดผมเขากวางเรนเดียร์สวมกันอยู่ทุกคน และก็ต้องยอมรับว่าถึงจะดูติงต๊องแค่ไหน แต่พิชิตที่ใส่หมวกซานต้าอยู่นี้ก็เป็นภาพที่น่าเอ็นดูชะมัด

 

 

 

 

“หวัดดีครับ” คำทักและรอยยิ้มมีให้พวกเขาทั้งสองคนแม้ว่าเอมิลจะเป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า

 

 

 

 

“หวัดดี” ซึงกิลไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เอมิลเป็นคนทักตอบและคนสั่งออเดอร์คนแรกไปก่อน “เอาคาปูชิโนร้อนนะ ถ้วยใหญ่เลย แล้วก็ครัวซองต์แฮมชีส…เอากลับบ้านทั้งคู่เลยนะ”

 

 

 

 

ซึงกิลพยักหน้านิดๆ เมื่อเอมิลหันมาอธิบายว่าตนคงไม่นั่งกินในร้าน แต่จะกลับอพาร์ตเมนต์เลย ก่อนจะรับบัตรสมาชิกของเจ้าตัวมา ขยับเข้าไปชิดเคาเตอร์บ้างเมื่อเพื่อนเดินออกไปตรงจุดรอรับกาแฟ

 

 

 

 

“หวัดดีครับซึงกิล…”

 

 

 

 

เทียบกับเสียงสดใสเต็มที่อย่างที่ทักเอมิลแล้ว ประโยคนี้ของพิชิตแผ่วเบากว่ามากนัก…หากมันก็เจือมาด้วยรอยยิ้มเขินๆ และสีเรื่อจางๆ บนวงหน้า และนั่นเองที่ทำให้ซึงกิลสงสัยขึ้นมาในวินาทีนั้น…เขาสงสัยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สีหน้าเล็กน้อยแบบนี้ของพิชิตค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนเหมือนวันนี้ และก็สงสัยว่าเมื่อไหร่ที่ตนจะรับได้กับความรู้สึกหวานๆ อันน่างุ่นง่านปนกับชวนให้มีความสุขชะมัดนี้ในใจตัวเอง

 

 

 

 

“หวัดดีพิชิต” น้ำเสียงอาจเรียบนิ่งพร้อมกับคิ้วเหมือนจะขมวดนิดๆ…แต่ผิวแก้มของซึงกิลก็เริ่มมีความร้อนวาบๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว และนั่นก็ทำให้เขาสติแตกเบาๆ จนไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสั่งอะไร “เปปเปอร์มิ้นต์มอคค่า ถ้วยกลาง แล้วก็แซนด์วิช”

 

 

 

 

“โอเคครับ—” พิชิตเตรียมจะกดออเดอร์ในเครื่องแล้ว แต่เอมิลส่งเสียงข้ามเคาเตอร์มาเสียก่อน

 

 

 

 

“ไม่ต้องเกรงใจเลยซึงกิล บอกแล้วไงว่าฉันเลี้ยงเอง” เจ้าตัวพูดกับพิชิตในประโยคถัดมา “อัพไซส์เป็นถ้วยใหญ่ไปเลย”

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้ในอีกห้านาทีต่อมา ซึงกิลก็ได้นั่งลงที่โต๊ะในร้านพร้อมจานแซนด์วิชกับกาแฟถ้วยใหญ่จนต้องใช้สองมือประคอง เอมิลกลับไปก่อนตามที่บอก…แต่ซึงกิลคิดว่าตนจะนั่งกินมื้อกลางวันมันเสียที่นี่เลยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องล้างจาน

 

 

 

 

ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะอยู่แค่จนกาแฟหมด แต่ด้วยความที่มันใหญ่เหลือใจ…ซึงกิลก็เลยได้พบว่าตนนั่งทวนบทเรียนที่นี่มาเป็นเวลาสี่สิบห้านาทีแล้ว หากเปปเปอร์มิ้นต์มอคค่านี่ก็ยังเหลืออยู่อีกพอตัวเลย

 

 

 

 

แรกๆ นั้นยังไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่สักพักต่อมา…ซึงกิลก็เริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองรู้สึกไม่ค่อยดีชอบกล

 

 

 

 

มันเป็นการมึนหัวจางๆ ปนกับใจเต้นรัวและแรงจนรู้สึกได้ เขาถึงกับต้องวางโน้ตย่อลงเพื่อแตะมือตรงแผ่นอกของตัวเอง…ก่อนจะยิ่งรู้สึกตกใจเมื่อรับรู้ได้ถึงจังหวะของมัน

 

 

 

 

อาการใจสั่นนี้มากจนทำให้ชายหนุ่มอ่านอะไรก็ไม่เข้าหัวแล้ว เขารู้สึกหัวตื้อๆ จนคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงต่อดี…ได้แต่นั่งจมลงไปในพนักเก้าอี้นวม พยายามหายใจช้าๆ ก่อนเพื่อปรับให้หัวใจที่เต้นรัวจนเหมือนทำให้หูอื้อได้เลยแบบนี้กลับมาสู่จังหวะปกติ

 

 

 

 

ลมหายใจช้าๆ ทำให้ซึงกิลรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย หากก็ยังไม่ได้ดีมากจนฟังประโยคของบาริสต้าที่มาเก็บจานเปล่าของเขาได้ทัน

 

 

 

 

“หา??” ดวงตาสีดำตวัดขึ้นมอง ก่อนจะได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่บาริสต้าที่ดูแลร้านอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นคนที่น่าจะยืนอยู่ตรงแคชเชียร์อย่างพิชิตต่างหาก

 

 

 

 

“ผมถามว่าคุณโอเคไหมน่ะครับ?” อีกฝ่ายมองมา สายตาเป็นห่วงปนไม่ค่อยสบายใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมเห็นว่าสีหน้าคุณไม่ค่อยดีเลยน่ะ…แต่ถ้าผมเข้าใจผิดก็—”

 

 

 

 

“นิดหน่อยน่ะ” ซึงกิลพูดแทรกโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาคิดว่าตนพอจะรู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไร โบกๆ มือไปทางถ้วยกาแฟ “ปกติฉันไม่เคยกินกาแฟทีละเยอะๆ แบบนี้…สงสัยนี่มันจะมากไป เลยไม่ค่อยโอเค…”

 

 

 

 

“อะ อ๋อ…” พิชิตเองก็ดูตื่นๆ กับสถานการณ์นี้ “เข้าใจแล้วครับ…”

 

 

 

 

ร่างปราดเปรียวนั้นเดินกลับไปที่เคาเตอร์ ซึงกิลไม่ได้มองตามแต่หลับตาลงแทน พิงตัวเข้าหาพนักเก้าอี้นวมมากกว่าเดิมจนด้านหลังศีรษะจมลงในเบาะ…ยังไงเสีย เขาก็เป็นลูกค้าและพิชิตก็เป็นบาริสต้า ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยในการจะต้องมารับผิดชอบสิ่งอื่นใดให้กันนอกเหนือไปจากรสชาติของกาแฟ ซึงกิลต้องยอมรับว่าอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก…แต่ในตอนนี้เขาคงมีทางเลือกแค่นั่งรอจนรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วค่อยเดินกลับบ้าน

 

 

 

 

“ซึงกิลครับ ลุกไหมมั้ย?”

 

 

 

 

เสียงคุ้นเคยแต่ไม่ได้คาดคิดแล้วว่าจะได้ยินดังขึ้นเหนือหัว ทำให้ซึงกิลลืมตาขึ้นอย่างประหลาดใจ…พิชิตยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงอยู่ในเครื่องแบบตามกฎร้านซึ่งก็คือเสื้อยืดดำกับกางเกงยีน แต่ไม่ได้มีผ้ากันเปื้อนสีเขียวเข้มแล้ว…สิ่งที่มาแทนที่คือเสื้อแจ็คเก็ตสีเข้มตัวเดิมที่เขาเห็นตอนวันที่เดินกลับด้วยกัน

 

 

 

 

ท่าทางการมองนิ่งๆ ของซึงกิลจะโดนตีความผิด เพราะพิชิตมีสีหน้าลังเลยิ่งกว่าเดิม หน้าขึ้นสีนิดๆ อย่างคนที่กำลังอายว่าตนอาจจะทำอะไรก้าวก่ายเกินไป

 

 

 

 

“คือว่าผม…ผมก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน กินคาเฟอีนมากไปแบบนี้น่ะ” หนุ่มน้อยอธิบายไวๆ “แล้วผมว่าถ้าได้ออกไปนั่งข้างนอกมันจะดีขึ้นนะ เพราะในนี้อากาศมันไม่ค่อยสดชื่นน่ะ…ไปนั่งในที่โล่งๆ หน่อยดีมั้ย เผื่อคุณจะได้รู้สึกดีขึ้น?”

 

 

 

 

มันเป็นประโยคคำถาม แต่เจ้าตัวก็แตะมือลงมาจับต้นแขนเขาไว้นิดๆ แล้วตั้งแต่ยังเอ่ยไม่จบ และซึงกิลก็หัวตื้อเกินกว่าจะมาคิดอะไรให้มากความ…ชายหนุ่มยัดโน้ตสรุปกับผ้าพันคอลงในกระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วลุกขึ้น รู้สึกได้สัมผัสของมือของพิชิตที่ยังคงแตะประคองแขนเขาไว้อยู่

 

 

 

 

แว่วเสียงบาริสต้าคนเก่งร้องบอกเพื่อนร่วมงานหลังเคาเตอร์อีกที ซึ่งก็คงคุยกันไว้อยู่แล้ว…เพราะอีกฝ่ายแค่ตอบมาว่าให้พิชิตใช้เวลาได้ตามสบายสักพักเลย ก่อนที่เขากับหนุ่มน้อยผมดำจะเดินออกไปจากร้าน

 

 

 

 

พิชิตพาเขาข้ามถนนไปนั่งที่ม้านั่งของสวนหย่อมเล็กๆ แถวนั้น จริงดังที่อีกฝ่ายว่า…อากาศด้านนอกแม้จะเย็นเฉียบ แต่มันก็เป็นวันแดดสดใสแม้ว่าจะยังมีหิมะกองเป็นปุยไปทั่ว ซึงกิลสูดลมหายใจลึกๆ…ซึมซาบความเย็นชื้นที่เจือกลิ่นจางๆ ของหิมะกับใบต้นสนเข้าไป รู้สึกได้นิดๆ ว่าอาการปวดหัวตุบๆ นั้นเริ่มดีขึ้นแล้ว

 

 

 

 

มีเสียงเด็กๆ เล่นกันดังแว่วๆ มาจากอีกมุม แต่ในบริเวณที่ไม่มีอะไรนอกจากม้านั่งตรงนี้แล้วนั้น ซึงกิลกับพิชิตก็ได้นั่งด้วยกันภายในบรรยากาศสงบนิ่งของยามเที่ยงวัน…ความเงียบที่หนุ่มเกาหลีรู้สึกขอบคุณนักที่ไม่มีอะไรมาทำลายมันลง

 

 

 

 

พิชิตไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั่งข้างเขาเงียบๆ หลังจากส่งขวดน้ำที่ซึงกิลไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าตัวถือติดมือมาด้วยให้เขา ซึงกิลเริ่มจิบน้ำตอนที่ไม่ปวดหัวเท่าทีแรกแล้ว และนั่นคงเป็นสัญญาณที่ทำให้พิชิตกล้าถามขึ้น

 

 

 

 

“โอเคขึ้นบ้างรึยังครับ?”

 

 

 

 

ซึงกิลพยักหน้าตอบเสียงแผ่วค่อยนั้น “ดีขึ้นมากเลยล่ะ ขอบคุณนะที่บอกให้ฉันออกมา”

 

 

 

 

“ไม่เป็นไรเลยครับ” พิชิตหัวเราะนิดๆ “ผมเคยเป็นเหมือนกัน เลยพอจะรู้ไงว่าต้องทำอะไรบ้าง…ดีใจที่ช่วยได้นะครับ”

 

 

 

 

หนุ่มเกาหลีดื่มน้ำอีกอึก ก่อนจะถามบ้าง “แล้วนี่นายออกมานานๆ แบบนี้ได้เหรอ?”

 

 

 

 

“ผมบอกเพื่อนไว้แล้วน่ะ ไม่มีปัญหาหรอกครับ…เรื่องฉุกเฉินนี่นา” พิชิตส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าหายห่วงได้

 

 

 

 

ความเงียบทิ้งตัวอีกชั่วครู่ ก่อนที่บาริสต้าคนเก่งจะหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมา ซึงกิลหันไปมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม และนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวโบกมือนิดๆ

 

 

 

 

“ไม่มีอะไรครับ…” ส่ายหน้าประกอบเสียด้วยเมื่อซึงกิลเริ่มขมวดคิ้ว “บอกไปเดี๋ยวคุณก็โกรธน่ะสิ…ไม่มีอะไรหรอกครับ”

 

 

 

 

“บอกมาเลย” ซึงกิลยังคงขมวดคิ้ว บอกตัวเองว่าห้ามเผลอยิ้มตามอีกฝ่าย “บอกมาเถอะน่า…พิชิต”

 

 

 

 

ท่าทางเสียงคาดโทษแบบนี้จะได้ผล เพราะรอยยิ้มซนๆ ของบาริสต้าคนเก่งชะงักกึกทันที เจ้าตัวหันหน้าไปทางอื่นพร้อมๆ กับที่ก้มหน้าลงจนซึงกิลมองไม่เห็น ก่อนจะช้อนตานิดๆ ขึ้นมาแล้วค่อยพูด

 

 

 

 

“ผมแค่คิดว่า…จากคณะที่คุณเรียน คุณน่าจะกินกาแฟเก่งแล้วน่ะ” พิชิตหลุดหัวเราะออกมาใหม่แล้ว น่ารักและน่าหยิกแก้มไปพร้อมๆ กันกับสายตาล้อๆ นั่น “แล้วเห็นมาทีไรคุณก็สั่งกาแฟทุกทีด้วย…เห็นคุณชอบเลยไม่นึกน่ะว่าคุณไม่เคยดื่มมันทีละเยอะๆ”

 

 

 

 

“ฉันไม่ได้ชอบกาแฟ ปกติฉันไม่กินกาแฟด้วยซ้ำ”

 

 

 

 

ความรำคาญอาการปวดหัวบวกกับความงุ่นง่านกับตัวเองที่มาแพ้แค่กับกาแฟถ้วยเดียวทำให้ซึงกิลไม่ได้คิดก่อนพูดออกไป ไม่ได้คิดก่อนว่านี่ไม่ใช่เพื่อนหรือคนแปลกหน้าที่เขาพูดเรื่องนี้ด้วยได้ ไม่ได้คิดก่อนว่าประโยคนี้คือสิ่งที่ไม่ควรบอกคนตรงหน้ามากที่สุด…เพราะมันจะตามมาด้วยคำถามที่ซึงกิลรู้ว่าอันตรายนักในการจะพูดตอบ

 

 

 

 

“อ้าว? แล้ว…แล้วถ้าอย่างนั้น…” ซึ่งแน่นอน คำถามที่อันตรายที่สุดหมายเลขหนึ่งก็ถูกพิชิตถามทันที แม้ว่าจะด้วยเสียงเนิบช้าด้วยความสับสนก็ตาม “ทำไมคุณ…ทำไมถึงสั่งกาแฟที่ร้านทุกวันล่ะครับ?”

 

 

 

 

แย่แล้ว…

 

 

 

 

“ฉันไม่ได้ไปที่ร้านทุกวันซะหน่อย” ซึงกิลพยายามจะซื้อเวลาด้วยการชี้ความจริงแบบไม่จำเป็น ก่อนจะถอนหายใจด้วยหน้าบึ้งตึงนิดๆ ตอนที่พิชิตหรี่ตานิดๆ มองมา

 

 

 

 

ความเงียบทิ้งตัวเล็กน้อยก่อนที่หนุ่มเกาหลีจะพูดขึ้น

 

 

 

 

“แรกสุดฉันไม่ได้กะจะสั่งกาแฟอะไรหรอก” เริ่มต้นได้ค่อนข้างสวยแล้ว แต่ซึงกิลก็ทำพังตรงประโยคหลังอยู่ดี “…แต่วันนั้นฉันก็เจอนาย”

 

 

 

 

แล้วนายก็ยิ้มตอนฉันตัดสินใจสั่งกาแฟ แล้วจากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจแล้วว่าตัวเองไม่ชอบกินกาแฟ

 

 

 

 

เขายังจำได้ดีว่าหายนะที่กำลังเผชิญอยู่นี้เริ่มได้ยังไง และคราวนี้ก็จำได้แล้วด้วยว่าควรคิดให้ดีๆ ก่อนพูดอะไรออกไป เพราะอาการปวดหัวนี่อาจจะชั่วคราว แต่ความพังพินาศของชีวิตที่จะตามมาถ้าพูดเรื่องไม่ควรพูดออกไปนั้นคือเรื่องจริงแน่อน

 

 

 

 

“แล้วจากนั้นมันก็เลยเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้นั่นแหละ” ซึงกิลเลยเลือกที่จะเล่าแค่นี้พร้อมยักไหล่เป็นการจบเรื่อง ไม่จำเป็นต้องบอกเสริมว่าพิชิตยังได้แนะนำเมนูกาแฟให้เขาอีกหลายครั้งเพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็นึกออก “กาแฟคริสต์มาสมันก็ไม่ได้แย่อะไรเวลาหวานน้อย ฉันเลยไม่ได้กลับไปสั่งโฮจิฉะเหมือนเดิม”

 

 

 

 

อากาศตอนนี้เย็นเฉียบและซึงกิลก็ไม่ยอมมองหน้าพิชิตตรงๆ…หนุ่มเกาหลีเลยยิ่งไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลของสีชมพูจางที่แต่งแต้มผิวแก้มสีแทนนั่น

 

 

 

 

“ฟังแบบนี้แล้วผมเริ่มรู้สึกผิดแล้วเนี่ย…” พิชิตโอดโอยเบาๆ ออกมา “ผมแนะนำกาแฟก็จริง แต่ถ้าคุณไม่ได้อยากสั่งก็บอกมาก็ได้นะครับ”

 

 

 

 

“พูดแบบนี้ระวังโดนไล่ออกนะ”

 

 

 

 

ซึงกิลห้ามตัวเองไม่ทันอีกแล้วกับประโยคนี้ แต่ก็พบว่ามันคุ้มค่าทุกพยางค์เมื่อดวงตาโตๆ ของพิชิตยิ่งเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะลั่นออกมา สดใสเหมือนแสงแดด

 

 

 

 

ซึงกิลพบว่าตัวเองยิ้มบางๆ ตามไปด้วยอย่างห้ามไม่ได้

 

 

 

 

“แต่ผมจริงจังนะ…ถ้าคุณไม่ได้อยากสั่งกาแฟก็บอกได้นะครับ ผมไม่ทำไมหรอก” พิชิตพูดย้ำอีกที หลุบตาลงเล็กน้อยเสียจนซึงกิลไม่ได้สังเกต

 

 

 

 

และอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ได้สังเกตก็เพราะมัวแต่ยักไหล่พร้อมตอบกลับไปด้วย

 

 

 

 

“มันก็ไม่แย่อะไรหรอก…ที่ได้เจอนายแล้วก็สั่งกาแฟน่ะ”

 

 

 

 

เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นประโยคที่กินใจอะไรมากมาย ในทางกลับกันแล้ว…ประโยคนี้เป็นความจริงที่ง่ายดายที่สุดที่ซึงกิลจะพูดออกไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันไปแล้วเห็นว่าพิชิตมองเขาแปลกๆ นั่นแหละ…ที่ชายหนุ่มเพิ่งมารู้สึกว่าถึงมันจะเป็นความจริงอันง่ายดาย แต่ในขณะเดียวกัน มันก็คือคำสรุปถึงทุกการเดินเข้าร้านสตาร์บัคส์ของเขามาตั้งแต่ต้นด้วย

 

 

 

 

ฉันเข้าไปก็แค่เพื่อจะได้เจอนายเท่านั้นเอง

 

 

 

 

ซึงกิลรู้สึกตัวแข็งไปทันทีกับการตระหนักรู้นี้ และเวลาที่เขารู้สึกแบบนี้…สีหน้าบู้บี้เคร่งขึงก็จะถูกแสดงฉับโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าความสติแตกของเขาเป็นที่รู้สึกได้มากแค่ไหน เพราะพิชิตเองก็มีสีหน้าตื่นๆ ตามมาด้วยเล็กน้อย แต่สุดท้าย ถึงจะลังเลและแผ่วค่อย…เสียงสดใสของบาริสต้าคนเก่งก็เอ่ยตอบกลับมา

 

 

 

 

“มัน…มันก็ไม่แย่อะไรเหมือนกันครับ ที่เจอคุณตอนมาซื้อกาแฟน่ะ”

 

 

 

 

และในวินาทีนั้น ซึงกิลก็มีความคิดที่ไร้สติยิ่งกว่าเดิม…ความคิดที่บอกให้เขาพูดออกไปว่ามันไม่ใช่แค่ไม่แย่ แต่มันคือเรื่องที่ดีมากๆ ในการได้เห็นหน้าอีกฝ่ายทุกวัน คือสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแบบงี่เง่าแต่ซึงกิลไม่ได้รำคาญเลยสักนิด คืออะไรที่คิดถึงแล้วก็จะรู้สึกน้อยลงว่าทั้งวันมีแต่เรื่องน่าหงุดหงิด

 

 

 

 

และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งกว่าดีมากๆ ทีแรกนั่นอีกถ้าเราจะได้เจอกันนอกร้านกาแฟบ้าง…แค่เราสองคนเท่านั้น

 

 

 

 

ทุกอย่างโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายเกือบได้เป็นเสียงที่ซึงกิลเปล่งออกไป แต่แน่นอนว่าสวรรค์ก็ตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าโปรโมชั่นชีวิตดีของเขาควรหมดลงได้แล้ว เพราะโทรศัพท์ของพิชิตก็แผดเสียงขึ้นมา…ทำลายบรรยากาศขัดเขินระหว่างกันลงจนหมดสิ้น

 

 

 

 

“อะ โอ…” พิชิตก้มหน้างุดทันทีเพื่อหยิบมือถือขึ้นมาดู “แป็บนึงนะครับ…”

 

 

 

 

ไม่ใช่บทสนทนาที่ยาวนานอะไร ปลายสายเป็นแค่ฝ่ายพูดและบาริสต้าคนเก่งก็ตอบรับแค่คำสั้นๆ…หากก็มอบเวลานานพอให้ซึงกิลได้ส่งเสียงฮึ่มฮั่มดังๆ อย่างหงุดหงิดในจินตนาการอยู่หลายรอบ

 

 

 

 

“เอ่อ…ผมต้องกลับไปแล้วล่ะครับ ออกมานานไปแล้ว” พิชิตพูดกับเขาเมื่อวางสาย กระแสเสียงเป็นเชิงขอโทษชัดเจน เรียวปากถูกเม้มสลับกับยิ้มเล็กๆ…ไม่เหมือนกับยิ้มกว้างสดใสอย่างทุกที แต่ซึงกิลก็พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบมันน้อยไปกว่ากันเลย “คุณโอเคแล้วใช่มั้ยครับ? ไม่ปวดหัวแล้วนะ?”

 

 

 

 

ซึงกิลแค่พยักหน้า เขารู้สึกสบายตัวมาได้สักพักแล้ว แค่เพิ่งมาได้สังเกตเอาตอนนี้นี่เอง

 

 

 

 

เส้นทางการข้ามถนนกลับไปที่หน้าร้านสตาร์บัคส์นั้นกินเวลาแค่ช่วงการรอสัญญาณไฟตรงทางม้าลายเท่านั้น ซึงกิลพบว่าหลังจากการนั่งคุยกันเมื่อครู่…สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากอาการใจเต้นตลกๆ ของตัวเองเวลาเจอหน้าพิชิตกลับเป็นความรู้สึกสงบสบาย

 

 

 

 

แน่นอนว่ายังมีส่วนผสมของความตื่นเต้นคิดอะไรไม่ออกอยู่…แต่ก็เหมือนกับว่าความรวดเร็วนั้นเริ่มเนิบช้าลงจนกลายเป็นจังหวะเรียบเรื่อยแล้วนิดหน่อย

 

 

 

 

และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คำพูดนี้ของเขาถูกเปล่งออกมาได้ง่ายดาย

 

 

 

 

“นี่”

 

 

 

 

พิชิตชะงักฝีเท้า หันมาตามเสียงเรียกแทนเดินเข้าร้านไป “ครับ?”

 

 

 

 

หัวใจยังคงเต้นแรง แต่มันไม่ได้อื้ออึงแบบทีแรกๆ แล้ว…เป็นแค่จังหวะระริกแผ่วไหวเท่านั้น

 

 

 

 

“ไว้วันไหนสักวัน…เรามานั่งแบบนี้กันอีกมั้ย?” น้ำเสียงห้วนๆ อย่างห้ามไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ซึงกิลเคยพูดกับใครมาก่อน “ถ้านาย…เอ่อ ว่าง หรืออยากมาน่ะนะ”

 

 

 

 

เยี่ยมมากอีซึงกิล เขาคิดอย่างเหี้ยมเกรียมในความเงียบกริบที่ปกคลุมตามมา สำหรับผู้ชายอายุยี่สิบ…นายมีความสามารถในการสื่อสารเท่ากับเด็กประถมเป๊ะเลย

 

 

 

 

แต่เมื่อเขามองดีๆ…ซึงกิลก็ได้ประหลาดใจอีกครั้ง

 

 

 

 

เพราะพิชิตกำลังยิ้ม

 

 

 

 

บางเบาจนแทบมองไม่เห็น…เรียวปากนั้นโดนเม้มไว้ให้เป็นสีหน้าปกติ แต่ถ้ามองดีๆ ก็จะสังเกตได้…มันระริกนิดๆ ราวกับเจ้าตัวกำลังอยากจะทั้งหัวเราะและยิ้มไปพร้อมๆ กัน หากก็พยายามรักษาสีหน้าไว้ให้ปกติ แม้ว่าแก้มจะเป็นสีชมพูไปหมดแล้ว

 

 

 

 

ขอถอนคำพูด…จังหวะเรียบเรื่อยอะไรนั่นกลับมาเป็นเสียงเพลงของวง The Vaccines เหมือนเดิมแล้ว

 

 

 

 

พิชิตกระแอมกระไอนิดหน่อย ก่อนจะพูดเสียงค่อย

 

 

 

 

“นั่นเป็นอะไรที่…เอ่อ…มันเป็นอะไรที่ไม่แย่เลยครับ” สีชมพูนั่นเข้มขึ้นอีกนิด อาการที่ซึงกิลก็คิดว่าตัวเองก็คงเริ่มเป็นแล้ว…เพราะคำพูดนี้ทำให้คิดถึงบทสนทนาในสวนหย่อมนั่นใหม่ “ไว้เรา…ไว้เรานัดกันอีกที ดีมั้ยครับ?”

 

 

 

 

นี่ฟังดูเหมือนประโยคจบของบทสนทนานี้แล้ว แต่พิชิตก็ยังยืนอยู่อย่างรีรอ ซึงกิลกะพริบตานิดๆ อย่างงงๆ…ก่อนจะนึกขึ้นได้

 

 

 

 

“งั้น…” เขาพูดเพื่อซื้อเวลา ส่วนมือนั้นเริ่มต้นพยายามหาสิ่งที่ต้องการอย่างจ้าละหวั่น “…ไว้ฉัน…จะ…เอ่อ…จะถามนายละกันนะ”

 

 

 

 

จบประโยคได้ทันเวลากับที่เขาเจอสิ่งที่ต้องการได้ในกระเป๋าโค้ท…เศษกระดาษกับปากกาหนึ่งด้าม

 

 

 

 

พิชิตพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะรับมันไป ใช้เวลาเล็กน้อยเท่านั้นในการเขียนหมายเลขแถวหนึ่งลงบนกระดาษ ก่อนจะยื่นคืนมาให้ซึงกิล

 

 

 

 

“โอเค” หนุ่มเกาหลีตอบนิ่งๆ ราวกับทั้งหมดนี่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย แต่ในใจนี่เหมือนมีแผ่นดินไหวผสมสึนามิเกิดขึ้นรัวๆ ไปแล้ว “แล้วเจอกัน”

 

 

 

 

บาริสต้าคนเก่งของเขาพยักหน้า รอยยิ้มสดใสปนขัดเขิน และคำลาเดิมแบบทุกๆ ครั้งที่เขามาซื้อกาแฟ “แล้วเจอกันใหม่นะครับ”

 

 

 

 

ซึงกิลยังคงรู้สึกเบลอๆ อย่างเหลือจะเชื่ออยู่แบบนั้นจนกลับถึงอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง เขาวางกระดาษแผ่นนั้นไว้กลางโต๊ะอาหารอันว่างเปล่า ก่อนจะบังคับให้ตัวเองเอาโค้ทไปแขวนแทนมายืนมองมัน

 

 

 

 

หากสุดท้าย ชายหนุ่มก็ได้กลับมายืนมองมันอยู่ดี…หมายเลขถูกเขียนไว้บนแผ่นกระดาษ สีน้ำเงินตัดกับสีขาวอย่างชัดเจนราวกับจะช่วยยืนยันให้ว่านี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

 

 

 

 

และราวกับจะช่วยยืนยันอีกทาง…กระดาษแผ่นที่ว่านี่คือใบเสร็จของร้านสตาร์บัคส์เองนั่นแหละ

 

 

 

 

ซึงกิลหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่าไม่ได้มองอะไรผิดไป ก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

********************************

 

ในหัวของอปป้าในบทนี้มีแต่เสียง ฟฟฟฟ เหมือนกันกับคนเขียนค่ะ…แต่เรานี่ ฟฟฟ เพราะรู้สึกเขียนบทสนทนาไม่ค่อยเก่งค่ะ เขียนไปก็กังวลไปว่าจะใช้คำพูดแปลกๆ กันรึเปล่า ฮาาา TvT

 

แต่บั่บ….ก็มี ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ เพราะเขินตอนมาอ่านทวนค่ะ แบบ แง อัลไลกันน่ะพวกเธอ ไปซื้อแหวนเลยเถอะอย่ามัวแต่ซื้อกาแฟ #หยุดนะ

 

หลังจากบู้บี้เปย์กาแฟไปหลายถ้วย ในที่สุดวันนี้ก็ได้คืบหน้ากับคนดีย์แล้วค่ะ ก้ากกก แต่โปรเฟสเซอร์นิกิโฟรอฟนี่ได้บุกบ้านยัยหมูตั้งแต่บทแรก หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะทำให้คนอ่านหนุกหนานกิ๊วก๊าวไปเหมือนกับเราตอนที่เขียนนะคะ หนุ่มๆกับกาแฟฤดูหนาวนี่เป็นอะไรที่เราชอบมากๆค่ะ อิอิอิ

 

 

 

เจอกันบทหน้าเรื่องเดิม ไม่ก็บทหน้าเรื่องใหม่นะคะ (ฮา)

 

 

ทิพย์เอง

5 responses to “[Yuri!!! On Ice Fic][seungchuchu] oh darling you look like christmas morning (6)

  1. รู้สึกเหมือนโดนสึนามิแห่งความเขินถล่มใส่…แอร๊ย
    อ่านฟิคพี่ทิพย์ทีไรน้องไม่เคยเก็บอาการสักที ได้แต่กลั้นยิ้มแก้มแทบแตกพร้อมกรีดร้อง ฟฟฟฟฟฟฟ อยู่ในใจอย่างบ้าคลั่ง(//เกรงใจรูมเมท)55555 ตอนนี้เริ่มเสพติดหนุ่มๆในฤดูหนาวแล้วค่ะเพราะดีต่อใจเหลือเกินนนนนน

    Like

  2. กินกาแฟแล้วใจสั่น ได้เบอร์เธอมาเมมไว้ก็คุ้มค่า

    กาแฟกินแล้วมีอะไรดีจริงๆ ด้วย

    ไม่น่าเชื่อว่าความคืบหน้าจะมาจาก อปป้าเอง ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ปล. คู่ยูรินี่คิดถึงบริการแฟนหลอกๆเพื่อไปเจอพ่อแม่ตอนตรุษจีนเลย 5555555

    Like

  3. ตายๆๆๆๆๆๆ อ่านเเล้วเขินเเรงมากค่ะ!!!!
    ขอบคุณกาเเฟถ้วยใหญ่นั่น
    โอ้ยๆๆๆๆๆๆ/////////////

    อ่านเเล้วหัวใจฟูฟ่อง~♡
    ในที่สุดก็ได้เบอร์กันซักที!!!! หมดค่ากาเเฟไปเท่าไรคะซึงกิล5555555

    เเต่ละคนต่างเขิลอาย เเง//////

    Like

  4. ตายแล้วววววววว เขินแรงมากค่ะะะ คือแบบในที่สุดอ้ปก็ได้เบอร์แล้ว หลังจากที่เปย์กาแฟมาเนิ่นนาน โอ้ยๆๆๆๆๆๆ เขินแล้วเขินอีก กลั้นยิ้มไม่อยู่เลยค่าาาา แงงงง รอติดตามตอนต่อไปนะค่าาา

    Like

  5. เขินจะตายแล้วค่ะทิพย์ ยิ้มจนแก้มเมื่อยเลย
    ฮืออออออออออออออออออออออ
    อปป้าสู้ๆ อปป้าเก่งมาก จีบเข้าไปค่ะอ้ป!!!
    อปป้านอมูเยปปอ~
    เอ็นดูความเขินจนสมองช็อตของอ้ปมากค่ะ ออโต้ไพลอตแล้วมั้ยคะนั่น 😂
    พิชิตคนดี แก้มแดงแล้วแดงอีกแล้วลูก ฮือออออ
    พิชิตโหมดเขินนี่น่ารักมากกกกกกกกกกกค่ะ ฮือออ
    ใกล้กันเข้ามาอีกก้าวแล้วเนอะ ดีจังค่ะ ดีจัง ♡

    Like

Leave a comment