[Yuri!!! On Ice Fic][OtabekYurio] crazy crazy, easy tiger (you’re a god send, do you want a boyfriend?) (5)

 
 
crazy crazy, easy tiger (you’re a god send, do you want a boyfriend?)
ユーリ!!! on ICE fanfiction by Tippuri~ii* 

 

 

Pairing: Otabek Altin x Yuri Plisetsky
Fandom: ユーリ!!! on ICE

 * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

[+] REMARK: เป็น universe เดียวกับเรื่อง [seungchuchu] oh darling you look like christmas morning ค่ะ >> สารบัญ

 

 
************************************
 
 
chapter 5

โอตาเบค อัลตินไม่ทำเรื่องอย่างการมีวันไนท์แสตนด์

 

 

 

เจเจไม่ได้มีเหตุอันใดให้พบเจออีกฝ่ายในชีวิตประจำวัน และถึงจะมีโอกาสได้เจอกันบ้างในคลับ แต่อีกฝ่ายก็ทำหน้าที่เป็นดีเจส่วนเขานั้นก็เล่นดนตรีรวมกับวงที่ตั้งเอง หากสุดท้ายแล้ว…เจเจก็มีอันได้คุยจนรู้จักโอตาเบคอยู่ดีตามประสาคนที่ต้องแชร์ห้องนั่งพักสำหรับนักดนตรีด้านหลังคลับ

 

 

 

 

เนื่องจากสถานที่ก็เป็นใจและพวกเขาทุกคนต่างก็เป็นผู้ชายกันทั้งนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในการจะได้เห็นเพื่อนร่วมงานพาใครต่อใครกลับที่พักไปด้วยหลังเลิกงาน…ใครต่อใครที่อาจจะเป็นทั้งแฟนของเจ้าตัวเองหรือคนแปลกหน้า

 

 

 

 

บุคคลเหล่านี้มีทั้งที่ถูกเข้าไปคุยด้วยหรือตรงมาหาพวกเขาเอง…และเจเจก็มาเล่นดนตรีที่คลับนี้บ่อยพอที่จะเห็นได้แล้วว่าสำหรับดีเจผู้เงียบขรึมนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมักจะเป็นกรณีหลัง หากโอตาเบค อัลตินก็จะปฏิเสธอย่างสั้นๆ และสุภาพหากชัดเจนทุกครั้ง แล้วก็กลับบ้านไปคนเดียวอย่างตอนขามาเสมอ และนั่นเองที่ทำให้เพื่อนๆ แค่แซวเล็กน้อยก่อนจะไม่พูดอะไรอีกเลยเพราะเข้าใจตรงกันชัดเจน…โอตาเบค อัลตินไม่ทำเรื่องอย่างการมีวันไนท์แสตนด์

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้ถ้อยคำประกาศจากปากยูริ พลีเซตสกี้นั้นมีค่าพอๆ กับการผลักให้เจเจล้มคว่ำจนตีลังกา…เขาไม่รู้ว่ายูริคุยอีท่าไหนกับโอตาเบคจนเข้าใจแบบนั้น แต่สิ่งที่เจเจรู้ก็คือ…น่าจะมีสิทธิ์สูงว่าที่ผ่านมา เขาเอาแต่ล้อแฟนเพื่อนมาตลอด

 

 

 

 

และท่าทางเขาก็คงล้ำเส้นเกินไปจนโอตาเบคไม่โอเคแล้วด้วยล่ะ…

 

 

 

 

เจเจหวนนึกถึงถุงมือที่ชายหนุ่มผมดำคนนั้นถนอมและใส่ติดมือเสมอแล้วก็ถอนหายใจ…เขารู้ว่ามันเป็นของสำคัญจากครอบครัวอีกฝ่าย เพราะฉะนั้น การที่ยูริ พลีเซตสกี้ได้มันมาสวมไว้แบบนี้จึงบอกได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายมีฐานะอย่างไรในสายตาโอตาเบค

 

 

 

 

นั่นเองที่ทำให้หนุ่มแคนาเดียนมายืนรอหน้าอาคารคณะศิลปศาตร์ตั้งแต่ก่อนเที่ยง…เพราะถึงเจเจอาจจะไม่รู้ว่าตนมักจะทำตัวแบบไม่รู้คิดอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็รู้ว่าเวลาไหนที่ตนควรเอ่ยขอโทษ

 

 

 

 

“โอตาเบค”

 

 

 

 

ชายหนุ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นคนที่รออยู่เดินออกมา…หนุ่มคาซัคสถานไม่มีสีหน้าแปลกใจที่เห็นเขา แค่เดินมาหาพร้อมทักตอบ

 

 

 

 

“ว่าไงเจเจ”

 

 

 

 

ไม่บ่อยนักที่เจเจจะนึกคำพูดไม่ออกแบบนี้ เขาเริ่มต้นอย่างเชื่องช้า “เอ่อ…ฉันอยากคุยกับนายหน่อยน่ะ เรื่อง…อืม…”

 

 

 

 

โอตาเบคดูจะไม่ถือสาอะไร ถามเสียงเรียบๆ กลับมาเสียด้วย

 

 

 

 

“นายเจอยูริแล้วใช่ไหม?”

 

 

 

 

“ใช่!” เจเจถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเริ่มต้นพูดเป็นชุด “ฉันเห็นถุงมือนายแล้ว…โทษทีนะเพื่อน! ฉันไม่รู้เลยว่าเขาเป็นแฟนนาย!! ฉันขอโทษจริงๆ ที่ล้อเขาหนักขนาดนั้น ฉันนึกน่ะว่าเขาโสด แล้วหมอนั่นก็แกล้งแล้วสนุกชะมัด…อ๊ากกก! ขอโทษ! ฉันไม่ควรพูดอย่างงั้น—”

 

 

 

 

“ใจเย็น เจเจ” ความเรียบนิ่งของน้ำเสียงโอตาเบคนั้นขัดกันชะมัดกับคำพูดดั่งน้ำป่าไหลหลากของเขา เจ้าตัวถอนหายใจเองเบาๆ ก่อนจะพูดง่ายๆ “ฟังนะ อย่างแรกเลย…ยูริไม่ใช่แฟนฉัน”

 

 

 

 

“หะ-หา???” หนุ่มแคเนเดียนกะพริบตาปริบๆ “แล้วทำไม…”

 

 

 

 

“เอาสั้นๆ เลยก็คือ…ยูริไม่ใช่แฟนฉัน แต่นายเองก็ทำไม่ถูกอยู่ดี” โอตาเบคพูดตรงๆ ตามนิสัย หากเสียงทุ้มนั้นนุ่มนวลอย่างที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดว่าเจเจคือคนผิดเต็มประตู “นายคงคิดว่านายแค่ล้อเขาเล่นใช่ไหม…แต่เขาหงุดหงิดถึงขั้นมาพูดกับฉันเลยนะว่าให้มาเป็นวันไนท์แสตนด์ของเขา”

 

 

 

 

เจเจยิ่งหน้าซีด ถามเสียงเบา “เขา…ง่า…ไปตีบวกนายได้ไงน่ะ?”

 

 

 

 

“ฉันไม่ได้รู้จักเขาหรอก แต่บังเอิญแชร์โต๊ะที่สตาร์บัคส์ด้วยกันบ่อยๆ เท่านั้นเอง” โอตาเบคถอนหายใจชัดๆ อีกที “นายเข้าใจรึยัง เขาถึงขั้นมาถามคนแปลกหน้าอย่างฉันเลยนะ”

 

 

 

 

“ให้ตายสิ…ให้ตายสิ…” เจเจสบถ ก่อนจะถาม “เขา…เอ่อ…เขาไม่ได้ไปถามแบบนี้กับคนอื่นอีกใช่ไหมน่ะ?”

 

 

 

 

“ฉันบอกเขาไปว่าตกลง เขาเลยไม่ได้หาคนอื่น” โอตาเบคตอบ ขมวดคิ้วนิดๆ “แต่คิดสิ ถ้าเขาไม่ได้มาถามฉันคนแรกล่ะ มันจะเป็นไง…ครั้งนี้นายเล่นเกินไปแล้วนะเจเจ นายก็รู้ทั้งรู้ว่ายูริชอบเอาชนะ…เอาแต่แซวเขาซ้ำๆ แบบนี้ มันก็แหงอยู่แล้วสิว่าเขาต้องคิดอะไรแผลงๆ เพื่อเอาชนะนาย”

 

 

 

 

“ให้ตาย…ฉันไม่ได้คิดนี่นาว่ามันจะถึงขั้นนี้…” เจเจสบถอีกรอบ ถึงขั้นเผลอยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองจนเสียทรงจากความรู้สึกผิด ก่อนที่สุดท้ายจะถามเสียงเบา “ฉัน…ฉันควรไปขอโทษเขา ดีมั้ยน่ะ?”

 

 

 

 

แต่เจเจก็รู้ดีพอๆ กับโอตาเบค…ต่อให้ไปขอโทษก็ไม่ได้หมายความว่ายูริจะเชื่ออยู่ดี

 

 

 

 

“ฉันก็ไม่รู้” โอตาเบคยอมรับตรงๆ…เขาแอบคิดด้วยซ้ำว่าถ้าเจเจไปขอโทษ ยูริอาจจะมองว่าอีกฝ่ายมาพูดเพราะจะล้อเลียนแล้วยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟกว่าเดิม “แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้ นายไม่ต้องไปล้ออะไรเขาแล้ว ทุกเรื่องเลย โอเคมั้ย?”

 

 

 

 

เจเจพยักหน้ารัวๆ “ไม่ต้องห่วงเลยเพื่อน แค่นี้ฉันก็สติโคตรจะแตกแล้วเนี่ย”

 

 

 

 

โอตาเบคพยักหน้า ก่อนจะพึมพำ “แล้วเดี๋ยวฉันจะลองหาทางพูดๆ ให้เขาล้มเลิกไอเดียนี้ก็แล้วกัน…”

 

 

 

 

…ถ้าเขายอมฟังน่ะนะ เป็นถ้อยคำที่หนุ่มคาซัคสถานไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเพราะเจเจรู้ดีอยู่แล้ว

 

 

 

 

เขารับคำกับเพื่อนเป็นมั่นเหมาะว่าตนจะไม่ล้ออะไรยูริอีกแล้ว หากก็นึกได้ก่อนจะบอกลา จึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ

 

 

 

 

“เฮ้ โอตาเบค ที่นายให้ยูริใส่ถุงมือของนาย…ก็เพราะนายกะจะให้ฉันไม่ล้อเขาต่อตอนเห็นมันใช่มั้ยน่ะ?”

 

 

 

 

“อืม…ก็นิดหน่อย” โอตาเบคยอมรับตรงๆ เหมือนกัน ยักไหล่นิดๆ ตอนเอ่ยประโยคหลัง “…แต่ก็ไม่ใช่แค่นายหรอก”

 

 

 

 

ไม่มีการอธิบายอะไรต่อ ร่างในชุดสีดำผงกศีรษะนิดๆ เป็นการลาแล้วเดินจากไป

 

 

 

 

ทิ้งให้เจเจยืนค้างตรงนั้น เหลือจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเข้าใจได้เอง

 

 

 

 

ไม่ใช่แค่เขา…แต่ให้หลายๆ คนที่เห็นเข้าใจไปเองด้วยว่ายูริ พลีเซตสกี้คือคนของเจ้าตัว

 

 

 

 

“ให้ตายเถอะว่ะอัลติน” แม้แต่เจเจก็ยังถึงกับต้องสบถออกมาเบาๆ “นายนี่มัน…”

 

 

 

 

โอตาเบค อัลตินไม่ทำเรื่องอย่างการมีวันไนท์แสตนด์…และโอตาเบค อัลตินก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษสัตว์กินพืชอย่างที่หลายๆ คนคิดเลยสักนิดเดียว

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

การได้พบยูริ พลีเซตสกี้ครั้งแรกคือเรื่องบังเอิญ การได้พบยูริ พลีเซตสกี้ครั้งที่สองคือเรื่องบังเอิญที่ทำให้เขาแอบยิ้ม ส่วนการได้พบยูริ พลีเซตสกี้ครั้งที่สามคือเรื่องที่เขาตั้งใจ…และก็ดีใจอย่างไม่มีเหตุผลที่มันเกิดขึ้น

 

 

 

 

ไม่ใช่นิสัยของโอตาเบคเลยในการไปขอแชร์โต๊ะในร้านกาแฟกับใคร เพราะมันมักจะมีแต่บรรยากาศกระอักกระอ่วนตามมาจนเขานั่งไม่ได้อยู่ดี…นั่นจึงทำให้ครั้งแรกที่เขาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะของเด็กหนุ่มผมทอง เหตุผลของการกระทำก็คือเพราะไม่มีทางเลือกอย่างที่สุดแล้ว

 

 

 

 

แต่สิ่งที่โอตาเบคได้ค้นพบนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจ…เพราะ หนึ่ง ความเงียบไม่ได้ทำให้กระอักกระอ่วนใจเลย สอง สายตาที่หนุ่มน้อยคงคิดว่าตัวเองแอบมองมาได้แนบเนียนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนแมวขี้หงุดหงิดที่ระแวงคนเสียจนโอตาเบคต้องแอบขำ และสาม โต๊ะตัวนี้อยู่ในทำเลที่กำลังดีแถมใกล้ปลั๊กไฟเสียด้วย

 

 

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาเปลี่ยนมานั่งตรงนี้แทนในครั้งต่อๆ มาถ้าโต๊ะว่าง ค่อนข้างจะลืมการได้พบกันครั้งแรกสุดไปแล้วตอนที่ได้ยินเสียงข้าวของถูกวางดังกึกลงมาบนโต๊ะ

 

 

 

 

เขาจำได้ว่าตัวเองกะพริบตาเล็กน้อย จ้องมองเด็กหนุ่มผมทองที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเจ้าของโต๊ะคนเดิม ความรู้สึกผิดเบาๆ เริ่มก่อตัวนิดหน่อย…ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่ว่าเขาไปแย่งที่นั่งเจ้าตัวหรืออะไรเลยเพราะโอตาเบคมาก่อนแท้ๆ

 

 

 

 

คนตัวเล็กประกาศกร้าวว่าตัวเองจะนั่งนี่ (ซึ่งโอตาเบคคิดว่าตลกดี) และก็ฟึดฟัดอยู่กับการเสียบปลั๊กแล็ปท็อป (ซึ่งโอตาเบคก็ยังคงคิดว่าตลกดี แต่ก็ให้ความช่วยเหลือโดยไม่เกี่ยงงอน)

 

 

 

 

มีการพูดคุยเล็กน้อยในวันนั้น แต่ก็เป็นอะไรที่แสนจะผิวเผิน…ไม่มีคำล่ำลาเมื่ออีกฝ่ายแยกตัวจากไปก่อน ซึ่งโอตาเบคก็ไม่ได้ถือสาอะไร…จริงอยู่ที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายตลกดี แต่มันก็แค่นั้น…ไม่ได้มีความคาดหวังด้วยซ้ำว่าจะได้เจอกันอีก

 

 

 

 

การพบกันครั้งที่สองนี้จึงแตกต่างจากครั้งแรกแค่ว่าโอตาเบคเผลอยิ้มเมื่อมองตามคนตัวเล็กที่เคลื่อนที่ได้โครมครามเหลือใจคนนั้นไปเท่านั้นเอง

 

 

 

 

อย่างที่บอกไป…ครั้งที่สามของการได้พบกันเป็นเรื่องที่โอตาเบคตั้งใจให้เกิดขึ้น เพราะก็เป็นเขาอีกแล้วที่มาถึงร้านและโต๊ะตัวเดิมก่อนในวันนั้น…และก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่กวักมือเรียกหนุ่มน้อยผมทองที่ยืนลังเลอยู่ให้เดินมานั่งด้วยกัน

 

 

 

 

อีกฝ่ายมีสีหน้านิ่งขึงไปก่อนเล็กน้อยตอนเห็นคำชวนของเขา แต่สุดท้ายก็เดินอาดๆ มาหาอยู่ดี สายตาแมวหวาดระแวงถูกส่งมารัวๆ เหมือนลูกศร แต่สุดท้าย…คิ้วขมวดๆ นั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติเมื่อเจ้าตัวเริ่มจดจ่อกับหนังสือการ์ตูนที่เตรียมมา

 

 

 

 

โอตาเบคปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นภาพที่สงบนิ่งและชวนมอง

 

 

 

 

(หากภาพที่ทำให้เขาอยากมองนานๆ จริงๆ ก็คือตอนที่อีกฝ่ายหลุดหัวเราะคิกเบาๆ เป็นครั้งคราวกับเรื่องราวในหน้ากระดาษมากกว่า)

 

 

 

 

เวลาล่วงเลย มันเป็นความเงียบที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

 

 

 

 

โอตาเบคง่วนกับการเก็บของเมื่อใกล้ถึงเวลาไปเรียนของตัวเอง เขาไม่ได้คิดว่าการบอกลาจะเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าแอบคิดๆ อยู่เหมือนกันว่าจะพูดดีไหม

 

 

 

 

สุดท้าย ชายหนุ่มก็ออกเดินโดยไม่ได้บอกอะไร จึงประหลาดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเรียกตามมา

 

 

 

 

“เฮ้ นาย”

 

 

 

 

ไม่มีการเอ่ยชื่อ แต่เสียงนี้ก็เป็นที่คุ้นเคยแล้วจนเขาหันกลับไปหา…จึงได้สบตากับดวงตาสีเขียวสดใสบนหน้างอๆ นั่น

 

 

 

 

“บาย”

 

 

 

 

ถ้อยคำห้วนสั้น มือที่ไม่ได้โบกลาอย่างภาษาสากลแต่ยกแค่นิ้วโป้งมาให้แทน

 

 

 

 

โอตาเบคยกนิ้วเดียวกันตอบไป แล้วในหัวใจของเขานั้น…ความรู้สึกดีใจอันหาสาเหตุไม่ได้ก็เริ่มผลิบาน

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

ครั้งที่สี่ของการได้เจอกันนั้นคล้ายคลึงกับครั้งแรก…อีกฝ่ายแอบๆ มองมาอีกแล้วว่าเขาอ่านอะไร ปกติโอตาเบคไม่ชอบการกระทำแบบนี้จากคนแปลกหน้านัก แต่เขาก็พบว่าในสายตาของตน…ตอนนี้หนุ่มน้อยผมทองก็ไม่ได้อยู่ใกล้คำคำนั้นสักเท่าไหร่แล้ว

 

 

 

 

แล้วก็คงเพราะว่าสายตาที่มุ่ยๆ แต่ก็สนอกสนใจแบบนี้มันน่ารักดีด้วยนั่นแหละ

 

 

 

 

โอตาเบคแอบกะพริบตากับตัวเองตอนฉุกใจ

 

 

 

 

เมื่อกี้เขาคิดว่า ‘ตลกดี’ ใช่มั้ย…ต้องเป็นคำว่า ‘ตลกดี’ สิ…

 

 

 

 

เขาพยายามย้ำกับตัวเองแบบนั้น แต่คำย้ำนี้ก็เป็นเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่แก้มใสๆ นั่นแดงแปร๊ดขึ้นมาเมื่อปฏิเสธเสียงลั่นว่าตัวเองไม่ได้มอง

 

 

 

 

อีกฝ่ายเป็นคนที่บอกลาก่อนในวันนั้น…และโอตาเบคก็พบว่าตัวเองมองตามเจ้าตัวไปด้วยความคิดนี้ในหัว ความคิดอันน่าหัวเราะนักที่เขาดันมามีให้กับคนที่ตนไม่รู้ชื่อด้วยซ้ำได้

 

 

 

 

ครั้งที่ห้า สงบนิ่งหากก็ทำให้ใจเต้นแผ่วเบา ตอนครั้งที่ห้า…ฉันอยากจะถามเขาว่าว่างพอที่จะนั่งดื่มอะไรกันต่ออีกสักถ้วยไหม

 

 

 

 

หากแน่นอน…การพบกันครั้งที่ห้าแบบในจินตนาการของโอตาเบคไม่เคยมาถึง เพราะยูริ พลีเซตสกี้พังมันลงเป็นชิ้นๆ ด้วยคำถามเพียงคำถามเดียว

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

กินข้าวกันมั้ย?

 

 

 

 

ยูริส่งข้อความมาหาเขาในวันถัดมาที่โอตาเบคคุยกับเจเจ…แล้วหลังจากการนัดแนะต่ออีกหน่อย มื้อเที่ยงก็ถูกเปลี่ยนเป็นมื้อเย็นแทนเพราะโอตาเบคบอกไปว่าตนมีต้องไปค้นหาข้อมูลที่ห้องสมุดก่อน แล้วก็ให้ยูริส่งที่อยู่ของร้านมาเพื่อไปเจอกันที่นั่นเลย

 

 

 

 

เขาใช้แอปพลิเคชั่นแผนที่ในการหาที่ตั้งร้านหลังจัดการงานของตัวเองเรียบร้อยแล้ว การเดินทางเร็วกว่าปกติเพราะวันนี้โอตาเบคขับมอเตอร์ไซค์มาแทน…แต่ก็ยังมาถึงช้ากว่ายูริอยู่ดี

 

 

 

 

“หวัดดี” ชายหนุ่มเอ่ยทักเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่อีกฝ่ายรออยู่ รูดซิปแจ็คเก็ตหนังของตัวเองออกพร้อมคลายผ้าพันคอออก “โทษที…รอนานมั้ย?”

 

 

 

 

“ไม่นานๆ” ยูริโบกมือ พยักเพยิดไปทางถุงกระดาษข้างตัว “ฉันแวะซื้อของด้วย มาถึงก่อนนายแป็บเดียวเอง”

 

 

 

 

บนถุงกระดาษนั้นมีชื่อร้านขายอาหารสัตว์พิมพ์อยู่ โอตาเบคจึงถามอย่างฉงน “นายเลี้ยงสัตว์ด้วยเหรอ?”

 

 

 

 

“ช่าย” ยูริลากเสียงตอบ “แมวน่ะ”

 

 

 

 

โอตาเบคเพิ่งเคยมาร้านนี้เป็นครั้งแรก แต่นี่เป็นครั้งที่สองของยูริ…หนุ่มน้อยแจกแจงว่าตนค้นพบร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ก็เพราะวิคเตอร์

 

 

 

 

“หมอนั่นมาเพ้อเจ้อเป็นชุดๆ ให้ฉันฟังน่ะว่าคัตสึด้งมันอร่อยแค่ไหน” ยูริชักสีหน้า “น่ารำคาญชะมัด…ก็แค่แฟนทำมาให้เท่านั้นเอง”

 

 

 

 

มันเป็นการเล่าสั้นๆ สลับกับบ่นยาวๆ…แต่โอตาเบคก็ได้ใจความครบถ้วน โปรเฟสเซอร์นิกิโฟรอฟดูจะติดใจกับคัตสึด้งฝีมือแฟนของตัวเองจนมาหาร้านที่ขายเพื่อกินซ้ำอีกแล้วก็พายูริมาด้วย…และถึงจะบ่นเป็นชุดแค่ไหน แต่หนุ่มน้อยผมทองเองก็ดูจะติดใจเจ้าอาหารเมนูนี้พอๆ กัน

 

 

 

 

“นั่นแหละ มันก็พอใช้ได้ ฉันเลยอยากกินอีก” ยูริพูดด้วยสีหน้ายู่ยี่

 

 

 

 

โอตาเบคพยักหน้า พยายามจะไม่ยิ้มขันๆ ออกมา “โอเค งั้นฉันก็เอาเหมือนนายนั่นแหละ”

 

 

 

 

พนักงานจดเมนูไปด้วยรอยยิ้มละไม กล่าวอย่างนุ่มนวลว่าอาหารจะพร้อมมาเสิร์ฟในเวลาไม่เกินสิบห้านาที

 

 

 

 

“ฉันไม่รู้เลยว่านายเลี้ยงแมว” โอตาเบคพูดขึ้น

 

 

 

 

“ทีแรกฉันก็ไม่ได้เลี้ยงหรอก” ยูริส่ายหน้า “แต่ฉันไปเจอมันโดนทิ้งอยู่ตรงในตรอกน่ะ ฝนตกด้วยนะวันนั้น เจ้าของเก่านี่มันโคตรเลวเลย”

 

 

 

 

โอตาเบคขมวดคิ้วนิดๆ “แย่จังนะ”

 

 

 

 

“โชคดีที่มันเชื่องด้วยแหละ ถ้าต้องให้ตามจับมันตอนนั้น…ฉันก็คงไม่ไหวเหมือนกัน” ยูริยักไหล่ ก่อนจะมีสีหน้าภูมิใจ “แต่โปเทียเป็นเด็กดีที่สุดในโลกเลย…ฉันเลยไม่ต้องปวดหัวซักนิด”

 

 

 

 

บทสนทนานี้ตามมาด้วยรายการคนอวดแมวฉบับรัสเซีย…ยูริเอารูปแมวเปอร์เซียตัวกลมฟูรูปแล้วรูปเล่าให้เขาดู ซึ่งถึงโอตาเบคจะไม่เคยเลี้ยงสัตว์จนผูกพันด้วยมาก่อนก็ยังพอเข้าใจ…เพราะโปเทียเป็นแมวที่หน้าตาน่าอุ้มตามคำกล่าว แล้วยิ่งถ้าเชื่องและขี้อ้อนด้วยล่ะก็…ก็ไม่น่าแปลกใจที่ยูริจะรักมันขนาดนี้

 

 

 

 

คัตสึด้งมาถึงโต๊ะตามเวลาที่พนักงานบอกไว้ และถึงจะเป็นครั้งแรกที่โอตาเบคเห็นอาหารเมนูนี้…แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าภาพหมูทอดกับไข่สีเหลืองสดนั้นเป็นอะไรที่น่ากินชะมัด

 

 

 

 

“น่ากินใช่มั้ยล่ะ!!” ยูริพูดอย่างภูมิใจ

 

 

 

 

โอตาเบคชิมมันเข้าไป ไม่รู้ตัวเลยว่าพยักหน้าหงึกๆ ทั้งๆ ที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่…และนั่นก็ทำให้ดวงตาสีเขียวเป็นประกายพริบพราวยิ่งกว่าเดิมอย่างดีใจ รอยยิ้มกว้างระบายเต็มเรียวปาก ก่อนจะเริ่มต้นจัดการคัตสึด้งของตัวเองบ้าง…ผิดกันกับเขาที่ใช้ตะเกียบ หนุ่มน้อยผมทองดูจะวางแผนในการจัดการอาหารมื้อนี้ด้วยส้อมคันเดียวอย่างห้าวหาญ

 

 

 

 

เขาชนะยูริในการเป็นคนเลี้ยงด้วยข้ออ้างว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นคนแนะนำร้านมาแล้ว ซึ่งชัยชนะนี้ไม่ใช่เพราะหนุ่มน้อยผมทองยอมตกลงด้วยเท่าไหร่หรอก…แต่เป็นเพราะโอตาเบคใช้เวลาที่เจ้าตัวมัวแต่โวยวายไม่ยอมอยู่นั้นในการส่งธนบัตรใหญ่ให้แคชเชียร์ไปเลยต่างหาก

 

 

 

 

“เฮ้ๆๆๆ!! อะไรน่ะ!!!” ยูริยิ่งแยกเขี้ยวกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเขากำลังเก็บเงินทอนแล้ว “เบก้า!! นายเล่นขี้โกงนี่หว่า!!!”

 

 

 

 

โอตาเบคไม่ต่อคำ แต่เริ่มเดินออกมาจากร้านพร้อมคุยเรื่องอื่นแทน “เบก้าแปลว่าอะไรน่ะ?”

 

 

 

 

“อะ-อ๋อ…ไม่ใช่คำหรอก มันเป็นวิธีเรียกชื่อเล่นน่ะ” ยูริหน้าแดงขึ้นมา กิริยาฟ่อแฟ่เมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความอึกอัก “ที่รัสเซีย ถ้าเรียกกันเล่นๆ เราจะแทนเสียงอาลงไปหลังชื่อจริงน่ะ อย่างนายก็จะเป็นเบก้า…”

 

 

 

 

ดวงตาสีเขียวจ้องมาแบบมุ่ยๆ ปนอายๆ เล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริม

 

 

 

 

“โทษที ฉันก็เผลอเรียกเอง ถ้านายไม่ชอบก็จะไม่เรียกแล้ว”

 

 

 

 

โอตาเบคส่ายหน้า พูดเสียงนุ่ม “ถ้าอย่างนี้ ชื่อนายก็เป็น—”

 

 

 

 

“ยูรัชก้า” ความสติแตกเบาๆ ทำให้ยูริเข้าโหมดพูดไม่เป็นเหมือนตอนแลกเบอร์โทรศัพท์อีกแล้ว เขาไม่เคยเรียกชื่อใครแบบสนิทสนมอย่างนี้มาก่อนเลย เพราะเขาไม่เคยรู้สึกสนิทสนมกับใครมากพอจนอยากจะเรียก “แต่นั่นก็…อืม…คุณตากับยาคอฟเรียกน่ะ เพราะงั้น…เอ่อ…ฉันว่า…”

 

 

 

 

“คงแปลกๆ เนอะถ้าฉันเรียกแบบนั้นด้วย” โอตาเบคทำตัวได้สมกับเป็นนักศึกษาด้านภาษาในการเข้าใจประโยคพังพินาศนี้จนน่าปรบมือ ชายหนุ่มเอ่ยสรุปให้ ทำให้ยูริมีหน้าที่แค่พยักหน้ารัวๆ เท่านั้น

 

 

 

 

“ใช่” เขาพยายามพูดใหม่ รักษาถ้อยคำให้สั้น “มันพิลึก”

 

 

 

 

“งั้นฉันเรียกแบบธรรมดาก็แล้วกันนะ…”

 

 

 

 

ยูริพยักหน้ารัวๆ อีกครั้ง เข้าใจว่านั่นหมายถึงชื่อต้นปกติของตัวเอง คำถัดมาจึงไม่ต่างอะไรจากการจู่โจมทีเผลอเลยสักนิด

 

 

 

 

“…ยูร่า”

 

 

 

 

เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ยูริพบว่าตัวเองในนาทีนี้หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นทั้งๆ ที่อากาศแสนจะเย็นเฉียบ

 

 

 

 

โอตาเบคอาสามาส่งเขาที่อพาร์ตเมนต์ด้วยมอเตอร์ไซค์ของเจ้าตัว…ยูริรู้ว่าคุณตาคงได้ความดันขึ้นแน่ถ้าตนตอบตกลงที่จะนั่งไปบนพาหนะสูงใหญ่แต่ไม่มีอะไรปกป้องนี้ เขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่บอกคุณตาแล้วก็ปีนขึ้นไปนั่งตรงเบาะหลังอย่างตื่นเต้นเบาๆ

 

 

 

 

ให้ตายสิ…นี่มันเท่สุดๆ ไปเลย!

 

 

 

 

ถนนยังคงมีรถสัญจร แต่มอเตอร์ไซค์ก็มีข้อได้เปรียบของการลัดเลาะ…ทำให้พวกเขามาถึงที่พักของยูริได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเกินจำเป็น

 

 

 

 

“ขอบคุณนะ” เด็กหนุ่มพูดพลางโดดลงมายืนหน้าตึก อากาศหนาวทำให้เผลอถูๆ มือเข้าหากัน และนั่นเองที่ทำให้นึกได้…เขายังคงสวมถุงมือของอีกฝ่ายอยู่เลย “เออใช่…จะเอานี่คืนเลยมั้ย?

 

 

 

 

โอตาเบคดูชะงักไปเล็กน้อยตามประสาคนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะส่ายหน้า พูดเสียงนิ่งๆ หากทุ้มนุ่มเหมือนเคย ยกมือให้เขาเห็น “ไม่เป็นไรหรอก ให้นายใส่ไว้นั่นแหละ…ฉันยังมีอีกคู่”

 

 

 

 

“แต่คู่นี้น้องสาวนายให้มาไม่ใช่เหรอ?” ยูริถามอย่างพิศวง

 

 

 

 

“อืม…ก็ใช่…” โอตาเบคพึมพำ ก่อนจะเอื้อมมือมา…ปลายนิ้วของเจ้าตัวเรียวยาวพอที่จะโอบกุมรอบมือของเขา “แต่ไม่เป็นไรหรอก…นายใส่ไว้ก่อนก็แล้วกันนะ”

 

 

 

 

ยูริหลุดหัวเราะ ขยับมือให้จับอีกฝ่ายตอบ สานเรียวนิ้วเข้าหาแล้วโยกๆ ไปมานิดๆ…กระซิบแผ่วเบา “นายนี่มันพิลึกชะมัด อัลติน”

 

 

 

 

โอตาเบคไม่ตอบอะไร แค่ยิ้มบางๆ แล้วปล่อยให้มือของตัวเองอยู่ในมือของยูริต่อไปเท่านั้น

 

 

 

 

เป็นตอนที่เขาเดินขึ้นมาถึงห้องพักของตัวเองแล้วนั่นแหละที่ยูริเพิ่งนึกได้ว่าตนลืมไปเสียสนิท…เห็นได้ชัดว่าคืนนี้โอตาเบคคงไม่มีธุระอะไรต่อ และตัวเขาเองก็ว่างแสนว่าง

 

 

 

 

โธ่โว้ย! หนุ่มน้อยคิดอย่างหงุดหงิด เวลาโคตรเหมาะกับแผนวันไนท์แสตนด์…แต่เมื่อกี้เขาดันลืมชวนเองแบบนี้ได้ไงวะ??!

 

 

 

 

รู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ความงุ่นง่านก็ทำให้มือเรียวงัดโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความนี้อยู่ดี

 

 

 

 

เบก้า! เมื่อไหร่น่ะเราถึงจะได้เป็นวันไนท์แสตนด์กันซะที??!

 

 

 

 

ไม่มีการตอบรับนานเสียจนยูริอาบน้ำเสร็จ เดาไม่ยากว่าคงเพราะอีกฝ่ายคงยังเดินทางอยู่บนถนน

 

 

 

 

เป็นตอนที่เขาเตรียมจะนอนแล้วนั่นแหละ…ที่โทรศัพท์ส่งเสียงข้อความเข้าเบาๆ

 

 

 

 

นั่นสิ ลืมไปเลยเนอะ

 

 

 

 

ข้อความที่สองตามมาติดๆ

 

 

 

 

ไม่เป็นไรหรอก ไว้นัดกันใหม่ก็ได้

 

 

 

 

ยูริล้มตัวลงนอนตะแคงลงบนเตียงดังปุทั้งๆ ที่ยังถือโทรศัพท์ไว้อยู่ คิดในใจอย่างงุ่นง่านเบาๆ

 

 

 

 

แล้วจะมีวันไหนไหมล่ะที่สุดท้ายนายจะไม่ติดเปเปอร์ด่วนหรือต้องคุยเรื่องโปรเจ็คน่ะ???

 

 

 

 

แต่แน่นอนว่ายูริมีความเป็นผู้ใหญ่พอแล้วที่จะไม่บ่นไร้สาระแบบนี้ เพราะเรื่องเรียนของอีกฝ่ายยังไงก็ต้องมาก่อนแผนเอาชนะเจเจของเขา หนุ่มน้อยจึงพิมพ์ตอบไป

 

 

 

 

โอเค ไว้นัดกันใหม่ก็ได้

 

 

 

 

อดไม่ได้ที่จะสำทับเล็กน้อย

 

 

 

 

ห้ามเบี้ยวนะ เบก้า

 

 

 

 

เครื่องหมาย Read ปรากฏขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบรับใดๆ มาจากทางนั้น ซึ่งยูริไม่ค่อยจะติดใจอะไรนัก…หากก็เป็นตอนที่เขาปิดไฟและซุกตัวในผ้าห่มแล้วที่โทรศัพท์ก็ส่งเสียงดังเบาๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

 

 

มือเรียวควานมันขึ้นมาจากใต้หมอน กดเปิดแอปพลิเคชั่น

 

 

 

 

ไม่มีข้อความเป็นตัวอักษรมา มีแค่สติกเกอร์คำว่า Okay เรียบๆ กับคลิปเสียงอันแสนสั้นเท่านั้น

 

 

 

 

ยูริกดให้มันเล่น แล้วในความเงียบของห้องนอนของเขา…เสียงทุ้มนุ่มนั้นก็เติมเต็มทุกอย่างเป็นเวลาไม่กี่วินาที

 

 

 

 

“ราตรีสวัสดิ์ ยูร่า”

อาการหน้าร้อนผ่าวเหมือนตอนแรกถ่าโถมกลับมาใหม่ทันควัน ครั้งนี้รุนแรงจนยูริต้องคว้าหมอนใกล้ๆ มือมากอดไว้แล้วซุกหน้าลงไปแน่นๆ เลยเสียด้วย
 

 

 

 

tbc.

 

*****************************

 

ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤

>>Tippuri~ii* ♥ COMMENT BOX<<

(แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ)

*****************************

note:

 

-เรื่องชื่อเล่น เราพยายามหาแล้วค่ะว่า เบก้า เนี่ยคือชื่อเล่นสไตล์คาซัคสถานรึเปล่า แต่หาไม่เจอเลย(เจอแต่ลิ้งฟิคโอตะยูริ……….) ส่วนการเรียกฉบับรัสเซียที่เราเขียนลงไปในฟิคก็เป็นสิ่งที่คนรู้จักเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้วค่ะ ไม่ได้ค้นดีๆอีกทีด้วยว่าถูกไหมอย่างไร ถ้าผิดไปยังไง เราต้องขออภัยด้วยนะคะ

 

-เราไม่คิดว่าฝรั่งเขาจะใช้แอปไลน์เท่าไหร่ค่ะ แต่อิงตาม อฟช. (และความสะดวก555) แล้วกันนะคะ ทุกชิปของฟิคสตาบัคนี้จะใช้ไลน์ในการแชทกันทุกคู่ค่ะ

 

-มีคนแซวน้องว่าตอนแรกๆว่าใช้ส้อมกินอาหารญี่ปุ่นอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน หลังๆถึงหัดใช้ตะเกียบ เราว่าน่ารักดีค่ะ เลยใส่ลงมาด้วย /////

 

*************************

 

สวัสดีค่ะ เรายังคงอยู่ในนรกผู้ชายไถลน้ำแข็งนะคะ ฮาาาา

 

ไม่คิดไม่ฝันเลยค่ะว่าจะมีวันได้เขียนมุมมองของเจเจในฟิค(….) ได้ออกก่อนพระเอกตัวจริงอย่างเฮียเบคอีกด้วย! แคเนเดียนแฮมสำนึกผิดนี่น่ารักมากๆค่ะ //// เรามี headcanon น่ะค่ะว่าจริงๆโอตาเบคกับเจเจคงรู้จักกันไม่มากก็น้อย และน่าจะสนิทกันได้เพราะเรื่องดนตรี ดีใจที่ได้เอาปมนี้มาใช้ในฟิคจริงๆ 

 

แล้วก็ไม่รู้ว่าคนอ่านเดากันได้อยู่แล้วมั้ย(เพราะพล็อตฟิคเราไม่ค่อยซ่อนเงื่อนเท่าไหร่อยู่แล้ว…) แต่บทนี้ก็ได้เฉลยซะทีค่ะว่าเฮียแอบๆถูกใจยูริอยู่หน่อยๆแล้ว แต่ไม่ใช่รักแรกพบนะคะ เราตั้งใจไว้ว่าความรู้สึกเขาคือ ถูกใจเบาๆ จีบได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้อกหักอะไรมากมาย เป็นความผิวเผินแบบคนแปลกหน้าครึ่งนึง คนคุ้นหน้าครึ่งนึงน่ะค่ะ(งงมั้ยคะ…………….)

 

แต่แน่นอน พลาดท่ากันมารู้จักในฐานะนี้แล้ว เราก็ต้องลุ้นกับเฮียและน้องต่อไปค่ะ ก้ากกกก ฉงฉารพรี่เบค

 

(แต่ขอกรีดร้องหน่อยเถอะค่ะฟฟฟฟฟ ตอนเราเขียนฉากจับมือกันนี่เขินบ้าบอมาก เขินทำไมก็ไม่รู้ แต่เขิน ฮืออออ ดูสิเขาจับมือกันนนน)

 

สุดท้าย…ก็ขอขอบคุณและกอดน้วยคนอ่านและคอมเม้นทุกคอมเม้นค่ะ สร้างกำลังใจได้มหาศาลมากจริงๆ และถ้าเราเขียนนิสัยตัวละครแปลกไปตรงไหน ก็ขอโทษด้วยนะคะ เราเครียดกับการตีความตัวละครของแฟนด้อมนี้มากค่ะตอนเขียน กลัวหลุด แต่นี่คือภาพเคมีของโอตาเบคกับยูริในสายตาเราค่ะ หวังว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ไม่แปลกไปนะคะ

 

ขอแปะอีกที…ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤

>>Tippuri~ii* ♥ COMMENT BOX<<

 (แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ)

 

 

ด้วยรักและคัตสึด้ง

 

 

ทิพย์เอง

6 responses to “[Yuri!!! On Ice Fic][OtabekYurio] crazy crazy, easy tiger (you’re a god send, do you want a boyfriend?) (5)

  1. งื้อออออ เขินความน่ารักของเฮียกับน้องมากๆค่ะ หัวใจพองโตกับการจับมือกันของพวกนางสุด(ดีดดิ้น) ขอบคุณที่เขียนฟิคดีๆให้ได้อ่านกันนะคะคุณทิพย์ ติดตามผลงานเสมอค่ะ

    Like

  2. ร้ายยยยยย เบก้านายมัยร้ายยย
    นี่หลุดขำตอนมาแย่งที่นั่งยูริ ก็เป็นการจองให้อะเนาะ ยังไงสุดท้ายก็นั่งด้วยกันอยู่แล้ว .////.
    พี่ทิพย์เขียนได้ดีแล้วค่ะ ขอบคุณที่ทำให้ตัวละครที่เรารักได้โลดแล่นต่อไปในเรื่องราวน่ารักๆ แบบนี้
    พาร์ทนี้เขินทั้งพาร์ทเลยจริงๆ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ♡♡♡

    Like

  3. พี่ทิพพ์คะ ฟาดากาากสหสหสหส มุมมองเบก้า(ยูริเราขอยืมเรียกด้วยนะ อย่าข่วนเรานะ!)มันละมุนมาก ฮือ เราชอบที่พี่ทิพพ์ตีความนะคะว่าเบก้านางไม่ใช่สัตว์กินพืช นางคือผู้ชายกินเนื้อที่ซ่อนเขี้ยวอย่างแนบเนียนค่ะ แงงง ลูกแมวเราตกอยู่ในกำมือเสือคาซัคซะแล้ว (ซึ่งถ้าเราเป็นยูริเราจะยอมกระโดดเข้าไปในกำมือของเขาอย่างเต็มใจค่ะ -//-) แชปนี้กริ๊วกร๊าวได้ใจมากค่ะ เจเจถึงกับหงอยถอยทัพเลย โถโถพ่อคุณ ขอบคุณนะคะที่มาแต่งซีรี่ย์นี้ โฮ เราลงบ่วงของทุกคู่เลยค่ะ อยู่ในบ่วงนรกผู้ชายลานสเกตกับเราไปนานๆนะคะ แง
    ปล. อยากวาดรูปประกอบให้มากเลยค่ะ 😭 ฟิคคุณทิพพ์มันดีมากจนอยากวาด แต่ความขี้เกียจนั้นอยู่เหนือคนค่ะ 55555555

    Liked by 1 person

  4. พ….พาร์ทนี้แบบ เจเจหงอยไปเลยค่ะ โธ่วๆๆ เจอหนุ่มคาซัคเข้าไปจนต้องถอย แต่เฮียแอบมีความร้ายเบาๆ ตอนจับมือกันนั่น…โอ้ยยยย เขินตามเลยค่ะ อะไรจะมุ้งมิ้งขนาดนี้ ไหนจะเรียกชื่อเล่นๆ กัน..เบก้า กะ ยูร่า…เขินตายสุดตอนท้ายพาร์ท…ราตรีสวัสดิ์ ยูร่า
    เขินตายไปเลยค่ะ แงงงงงง

    ยังไงก็รอติดตามต่อนะค่า แผนวันไนท์สแตนด์ จะสำเร็จหรือไม่ ฮ่าาา

    Like

  5. งืออออออออออ ก่อนอื่นขอตบตีเจเจ ฮาาาา แกล้งอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ขอบคุณนะที่ทำให้น้องยูริไปขอเฮียเบคฟหกดกฟนะ 5555

    เราชอบมุมมองของโอตาเบคมาค่ะ ตั้งแต่เริ่มอ่านเลยว่า ดีจังงง ทิพย์เขียนมุมของเฮียด้วย เลยได้เห็นความรู้สึกที่มันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น มันอบอุ่นแล้วก็กิ๊วก๊าวอย่างบอกไม่ถูกค่ะ ประโยคที่เราชอบมากคือที่เฮียว่าการพบกันครั้งที่สามคือความตั้งใจ นี่ตบเข่าฉาดดด! (อิอิ) แล้วยังชื่อเรียกนั้นอีกกกก เบก้า ยูรัชก้าอะไรกันพวกแกกก //กรี๊ดดดดดดด ยิ่งมาฉากจับมือมุ้งมิ้งนี่ฮืออออ อยากจับพวกนางมัดรวมกันไว้ตลอดไปมากค่าาาา

    ขอบคุณทิพย์สำหรับฟิคน่ารักมุมินี้เช่นเคยนะคะะะะ

    Like

  6. ฮรุก มิสเตอร์อัลตินนี่ร้ายกาจจริงๆค่ะ เจ้าหมาป่าห่มหนังหมี!!! เขินแทนยูริไปหลายยกเลยล่ะ
    เปิดมาก็เอ็นดูความตื่นตระหนกของเจเจเลยค่ะ พ่อเจ้าประคุณน่ารักเหลือเกิน
    ชอบตอนเรียกชื่อกันเล่นมากเลยค่ะ น้องดูจะปลดกำแพงทิ้งไม่เหลือเลย ส่วนโอตาเบค… ตาคนร้ายกาจจจจ ความเนียนนั้นคืออะไรรรรรรร แถมตอนจับมืออีกกกกก //กรีดร้องเป็นภาษาต่างดาว

    ที่สำคัญคืออ่านแล้วยิ้มไปกับความน่ารักทั้งตอนเลยค่ะ ♡

    Like

Leave a comment