[Yuri!!! On Ice Fic][OtabekYurio] crazy crazy, easy tiger (you’re a god send, do you want a boyfriend?) (7)

 

รายละเอียดฟิครอบไปรจาก #comicavenue4 มาแล้วค่ะ
 
ใครอ่านแล้วอยากติชม จัดเต็มในนี้เลยนะคะ♡
 
 
 
 
 
crazy crazy, easy tiger (you’re a god send, do you want a boyfriend?)
ユーリ!!! on ICE fanfiction by Tippuri~ii* 
 

 

Pairing: Otabek Altin x Yuri Plisetsky
Fandom: ユーリ!!! on ICE
 

 * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

[+] REMARK: เป็น universe เดียวกับเรื่อง [seungchuchu] oh darling you look like christmas morning ค่ะ >> สารบัญ

 

 
************************************
 
 
chapter 7
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

โอตาเบครู้ดีว่าตัวเองควรจะทำอะไร

 

 

 

 

ชายหนุ่มรู้ดีมาตั้งแต่นาทีที่หนุ่มน้อยผมทองเล่าถึงที่มาของคำชวนอันแสนน่าปวดหัวนี้แล้ว…ต้องยอมรับว่ายูริไม่ใช่เหตุผลที่เขาตกปากเออออรับคำในทีแรกสุด เพราะโอตาเบคไม่มีทางปล่อยใครที่ไหน—โดยเฉพาะเด็กที่ดูจะไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองกำลังพูดถึงอะไรอยู่—ให้ไปถามอะไรแบบนี้กับคนอื่นอยู่แล้ว เหตุผลหลักที่เขาเอ่ยตกลงก็คือเพื่อซื้อเวลาและหาโอกาสค่อยๆ บอกให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าคำพูดเจเจเป็นสิ่งที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจเลยสักนิด แล้วก็สิ่งที่สำคัญที่สุด…เขาต้องบอกให้คนฟังตระหนักได้ว่าแผนวันไนท์แสตนด์กับคนแปลกหน้าเพียงเพื่อจะเอาชนะใครเป็นความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งในคราวนี้หรือคราวไหนเลย

 

 

 

มันเป็นแผนที่ไม่ยากเลยสักนิดเพราะโอตาเบครู้ชัดเจนว่าตนต้องทำอะไร

 

 

 

เพียงแต่ ‘อีกฝ่าย’ ในสถานการณ์นี้คือยูริ พลีเซตสกี้ และนี่เองที่เป็นจุดที่ทำให้ทั้งเกมถูกพลิกกระดาน

 

 

 

เมื่อมาย้อนคิดไป…โอตาเบคพบว่าเรื่องคงจะง่ายกว่านี้ถ้าคนที่เอ่ยคำถามจุดชนวนออกมาไม่ใช่ยูริ เขาคงสามารถเอ่ยเตือนอีกฝ่ายออกไปได้อย่างง่ายดายและนุ่มนวล จบทุกสิ่งทุกอย่างลงได้ตั้งแต่ในห้านาทีแรกของสถานการณ์นี้แล้ว…การกระทำที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้กับคนหัวดื้อมุทะลุอย่างยูริ

 

 

 

การประวิงเวลาทำให้โอตาเบครู้ดีขึ้นว่าตนควรสื่อสารกับหนุ่มน้อยผมทองอย่างไร…แต่ก็ทำให้ความรู้สึกที่ไม่ควรมีเติบโตเช่นกัน

 

 

 

ทุกนาทีของเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันล่วงเลย…แล้วเมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็พบว่าตนไม่อยากปล่อยมืออย่างที่ควรทำเสียแล้ว

 

 

 

และนั่นเองที่เป็นสิ่งซึ่งหน่วงๆ อยู่ในใจของโอตาเบคเสมอ…น้ำหนักของความรู้สึกผิดว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับการหลอกลวงยูริอยู่

 

 

 

เขาควรบอกความจริงว่าไม่ได้มีความคิดจะเป็นวันไนท์แสตนด์กับอีกฝ่ายเลยสักนิด เตือนเจ้าตัวตามที่คิดไว้ แล้วก็ปล่อยมือจากเรื่องนี้…รอให้ยูริเป็นคนตัดสินใจเองว่ายังคงอยากจะเริ่มต้นอะไรกับเขาหรือไม่

 

 

 

โอตาเบคคิดเรื่องนี้ด้วยหัวใจหนักอึ้งทุกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างอ่อนล้ากับตัวเอง

 

 

 

คงจะเป็นเรื่องง่ายกว่านี้มากมายนักถ้าเขาไม่ได้ต้องการจะเกี่ยวกุมมือของยูริไว้ให้นานขึ้นอีกสักนิดแบบนี้

 

 

 

 

**

 

 

“รอนานมั้ยครับที่รัก~”

 

 

 

ยูริทำหน้าหยะแหยงใส่ประตูหลังของร้านดาฟเนที่ตนกำลังล็อคอยู่…ด้านหลังของเขาคือเจเจที่วิ่งเข้าไปกอดอิซาเบลราวกับแยกห่างจากอีกฝ่ายมาสักสิบปี ไม่ใช่แค่ตั้งแต่หกโมงเย็นตามความเป็นจริง

 

 

 

หญิงสาวหัวเราะ กอดอีกฝ่ายตอบ แต่ก็ท้วงเบาๆ “เจเจ! ช่วยยูริทำงานให้เสร็จก่อนสิ”

 

 

 

 

ยูริไม่ได้ชอบอะไรอิซาเบลนักหรอก แต่เขาก็คิดอยู่ดีว่าเธอนั้นเป็นคนดีมีมารยาทและสติเพียบพร้อมเกินไปนักสำหรับเจเจ นั่นจึงทำให้หนุ่มน้อยแค่ชักสีหน้าอี๋ๆ พร้อมโบกมือตอบไป “เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉันนะ”

 

 

 

 

เขาเพิ่มเสียงแหง็กๆ เหมือนคนจะอ้วกตามไปด้วยเมื่อเจเจหัวเราะแล้วประทับริมฝีปากเข้าหาหญิงสาว

 

 

 

 

“อะไรของนายอีกล่ะพลีเซตสกี้?” ดวงตาสีฟ้าหรี่มองมาอย่างล้อๆ “นายกับวันไนท์แสตนด์ของนายไม่ได้ทำแบบนี้รึไง—”

 

 

 

 

เจ้าตัวเอ่ยล้อเอง แต่ก็เงียบไปกลางคันเองเหมือนกันราวกับเพิ่งนึกอะไรได้ ก่อนจะกระแอมค่อกแค่กรัวๆ แล้วรีบกล่าวลา ดึงมืออิซาเบลที่มีสีหน้างงๆ ให้แยกไปตามทางกลับบ้านของเจ้าตัว

 

 

 

 

ยูริตอบรับคำลานั้นด้วยนิ้วกลางและคำแช่งในใจให้การไอของเจเจคือสัญญาณของวัณโรคเฉียบพลัน…เพราะถ้อยคำล้อเลียนของอีกฝ่ายกวนตะกอนในใจที่ทำให้เขางุ่นง่านมาได้สักพักแล้วขึ้นมา

 

 

 

 

เมื่อไหร่แผนวันไนท์แสตนด์นี้มันจะเกิดขึ้นได้สักทีวะ?? เขาเบื่อเต็มทีแล้วนะเฟ้ยที่เถียงไอ้เวรเจเจออกไปแบบเต็มปากไม่ได้สักที!!

 

 

 

 

อีกอย่างที่ทำให้ยูริรู้สึกงุ่นง่านขึ้นมาก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า…เขามักจะลืมแผนนี้ไปเองเสมอตอนเจอโอตาเบคเข้าจริง การได้ใช้เวลากับชายหนุ่มผมดำเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและสบายใจเสียจนลืมไปว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายที่แท้จริงนั้นเป็นอะไรที่ควรเกิดและจบในคืนเดียว

 

 

 

 

ต่างจากความหงุดหงิดแรก…ความงุ่นง่านของการคิดถึงความรู้สึกตอนอยู่กับโอตาเบคทำให้ยูริหน้าร้อนขึ้นมาเบาๆ และนั่นก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

 

 

 

 

หิมะเริ่มตกมาตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้ว และเพราะมันจะถูกกวาดโดยเจ้าหน้าที่ในตอนเช้ามืด…ยูริเลยต้องย่ำสวบๆ ไปบนปุยสีขาวที่ปกคลุมฟุตบาธ อากาศของเวลาห้าทุ่มเย็นจัด…แต่หนุ่มน้อยผู้เกิดและโตมาในรัสเซียก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่นัก แค่รำคาญหิมะที่ทำให้เดินได้ช้าเท่านั้นเอง

 

 

 

 

เพราะมัวแต่แช่งชักหิมะกับเจเจอยู่นั่นเอง…เสียงข้อความจากโทรศัพท์เลยทำให้ยูริสะดุ้งเบาๆ

 

 

 

 

หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเห็นว่าชื่อผู้ส่งคือโอตาเบค

 

 

 

 

พรุ่งนี้ เรายังจะเจอกันใช่มั้ย?

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำหมายถึงนัดหมายการไปห้องสมุดของย่านข้างๆ…เพราะวันก่อน ยูริบ่นออกมาว่าหาหนังสือเล่มที่ต้องใช้อ่านประกอบการเรียนไม่ได้เพราะมันเก่าจนหาซื้อได้ยาก โอตาเบคผู้ผ่านสถานการณ์คล้ายๆ กันนี้มาแล้วเลยแนะขึ้นว่าลองไปห้องสมุดของย่านข้างๆ ดูไหม เพราะมันใหญ่และมีหนังสือเก่าๆ ที่หาซื้อไม่ได้แล้วอยู่เยอะกว่า แถมมีบริการถ่ายเอกสารที่ได้รับอนุญาตแล้วด้วย

 

 

 

 

เพราะขี้เกียจเดินไปพิมพ์ไป ยูริเลยกดโทรออกแทนส่งข้อความ

 

 

 

 

เสียงของคนปลายสายมีกระแสประหลาดใจเล็กน้อย “ยูร่า?”

 

 

 

 

“ฉันไม่อยากพิมพ์น่ะ กำลังเดินกลับอยู่…เพิ่งเลิกงาน” ยูริบอก “พรุ่งนี้เจอกันที่ไหนดี?”

 

 

 

 

“อพาร์ตเมนต์นายก็ได้นะ เดี๋ยวฉันไปหา” โอตาเบคเสนอ “สักสิบโมงดีไหม?”

 

 

 

 

“ได้” ยูริตอบ ก่อนอดไม่ได้ที่จะถาม เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตนก็โทรไปแบบไม่คิดอะไรก่อนเท่าไหร่เลย “เอ่อ…นายจะนอนแล้วหรือเปล่าน่ะ?”

 

 

 

 

โอตาเบคส่งเสียงฮึมฮัมมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบง่ายๆ “ไม่เป็นไรหรอก…ยังคุยได้”

 

 

 

 

เสียงฮึมฮัมนั่นและถ้อยคำที่ให้ความรู้สึกอย่างประหลาดว่าแตะแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้ยูริจินตนาการขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล…โอตาเบคในชุดนอนที่เหยียดยาวตามสบายอยู่บนเตียง อิงวงหน้าเข้าหาโทรศัพท์มือถือมากกว่าจะถือมันดีๆ

 

 

 

 

หน้าเขาร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีกับภาพนี้ในความคิด

 

 

 

 

“ไม่-ไม่เป็นไร นายนอนเหอะ” ยูริพูดเร็วปรื๋อ ความรู้สึกในใจตอนนี้เป็นอะไรสีชมพูพาสเทลอย่างน่ารังเกียจอีกแล้ว “พรุ่งนี้มาเจอกันก็พอ จบ บาย”

 

 

 

 

โอตาเบคผู้ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยถึงความสติแตกของเขาหัวเราะ และนั่นก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย “ฉันต้องไปอยู่แล้วสิ…ก็นัดกันไม่ใช่เหรอ?”

 

 

 

 

“ไม่ใช่ มาเจอกันนั่นคือ…ให้ตายเถอะ” ยูริรู้สึกอยากปามือถือทิ้งเพราะความงุ่นง่าน หรือทางที่ดีก็คือปามันใส่หน้าตัวเขาเอง โทษฐานที่สมองช็อตจนพูดจาเป็นก้อนโง่แบบนี้อีกแล้ว “นั่น! ฉันหมายความว่า…เออ นั่นแหละ”

 

 

 

 

เขาแทบเห็นโอตาเบคขมวดคิ้วผ่านน้ำเสียงของอีกฝ่ายมาเลย “โทษทียูร่า ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”

 

 

 

 

“ไม่มีอะไร” หนุ่มน้อยตอบ เสียงห้วนโฮกเร็วปรื๋อในประโยคสุดท้าย “ฉันแค่จะบอกว่าฉันอยากเจอนาย แค่นั้นแหละ จบ บาย”

 

 

 

 

ความเงียบทิ้งตัวเล็กน้อย ยูริรู้สึกอยากจะต่อยปุ่มวางสายแล้วก็หน้าตัวเองต่อ

 

 

 

 

แล้ววินาทีต่อมา โอตาเบคก็หัวเราะ

 

 

 

 

“โอเค ฉันก็อยากเจอนายเหมือนกัน” น้ำเสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและเอ็นดู “ราตรีสวัสดิ์นะ ยูร่า”

 

 

 

 

ยูริส่งเสียงฮื่อยาวๆ แทนการตอบคำ แล้วก็กดวางสาย

 

 

 

 

จู่ๆ ในแวบนั้น เขาก็นึกถึงเจเจกับคำยียวนของอีกฝ่ายขึ้นมา

 

 

 

 

“นายกับวันไนท์แสตนด์ของนายไม่ได้ทำแบบนี้รึไง—”

 

 

 

 

ยูริยิ่งรู้สึกอยากคำรามฮึ่มออกมาพร้อมๆ กับหน้าร้อนวาบขึ้นมาอีกระลอก

 

 

 

 

 

**

 

 

เขาเห็นยูริตั้งแต่ไกล

 

 

 

ร่างปราดเปรียวนั้นยืนอยู่ตรงริมฟุตบาธหน้าประตูอพาร์ตเมนต์ หมวกฮู้ดสวมทับอยู่บนเรือนผมสีทอง แต่ลวดลายเสือดาวบนเสื้อแจ็คเก็ตของเจ้าตัวก็ทำให้ไม่ยากเลยที่มั่นใจ…หนุ่มน้อยดูดมิลค์เชควานิลลาอึกสุดท้ายจากถ้วยพลาสติกในมือก่อนจะโยนมันลงถังขยะ เดินเข้ามาโอตาเบคที่ค่อยๆ จอดมอเตอร์ไซค์ของตัวเองรออยู่

 

 

 

“หวัดดี”

 

 

 

“หวัดดี” โอตาเบคต้องแอบซ่อนยิ้มเมื่อนึกถึงประโยคโฮกฮากของอีกฝ่ายเมื่อคืน ตีหน้านิ่งๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะรู้ว่ายูริอาจจะโวยวายฟ่อแฟ่ถ้าตนพูดถึง “เอ้านี่ ใส่นี่ไว้”

 

 

 

ยูริรับหมวกกันน็อคไป ปัดฮู้ดของตัวเองลงเพื่อสวมมัน

 

 

 

การเดินทางกินเวลาราวๆ ยี่สิบนาที โอตาเบคไม่ได้ใช้ความเร็วอย่างที่จะทำในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งยูริก็ไม่ได้ดูจะเดือดร้อนอะไร…หนุ่มน้อยดูเหมือนจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองตลอดการเดินทาง

 

 

 

เขาตัดสินใจไม่ถามว่ายูริกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

 

ห้องสมุดแห่งนี้ถูกสร้างอย่างเรียบง่าย แต่ความธรรมดาของมันกลับทำให้โอตาเบครู้สึกชอบใจอย่างประหลาด…สีสันของหนังสือมากมายบนชั้นตัดกันดีนักกับผนังและชั้นวางที่เป็นโทนสีขาวกับเทาอ่อน

 

 

 

“ดูเหมือนห้องสมุดของพวกโรงเรียนไฮสคูลเลย” ยูริออกความเห็นระหว่างที่รอบรรณารักษ์ช่วยหาข้อมูลของหนังสือที่ต้องการในคอมพิวเตอร์ ดวงตาสีเขียวกวาดมอง “แต่ใหญ่ดีนะ มีกี่ชั้นเนี่ย?”

 

 

 

“สามชั้น” โอตาเบคตอบให้ แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อบรรณารักษ์กลับมาพร้อมบอกว่าหนังสืออ้างอิงที่ยูริต้องการนั้นอยู่ที่ชั้นสามพอดี และห้องสมุดนี้ไม่มีลิฟต์ “มาเถอะ”

 

 

 

ยูริเดินตามมา และถึงชั้นสามเป็นที่เก็บหนังสืออ้างอิงมากกว่าจะมีเก้าอี้ให้ผู้มาใช้ห้องสมุดนั่ง หนุ่มน้อยก็ยังคุยกับเขาด้วยเสียงกระซิบอยู่ดีระหว่างการเดินเข้ามาในดงชั้นหนังสือ เป้าหมายของทั้งสองอยู่เกือบสุดปลายห้อง

 

 

 

“นายมาที่นี่บ่อยไหมน่ะ?” ยูริถาม “ฉันว่ามันโอเคเลยนะ…น่านั่งดี”

 

 

 

“ฉันมาเวลาที่อยากนั่งเงียบๆ น่ะ เพราะสตาร์บัคส์หรือห้องสมุดมหาลัยบางทีก็คนเยอะไปหน่อย” โอตาเบคบอก “แต่ก็ไม่บ่อยหรอก มันแอบมายากเหมือนกันนะ…ต่อให้ฉันมีรถก็เถอะ”

 

 

 

ยูริพยักหน้าหงึกหงัก “ขอบคุณนะ…ฉันคงหาเล่มนี้หัวฟูแหงเลยถ้านายไม่บอกให้ลองมาดูที่นี่”

 

 

 

โอตาเบคหัวเราะ บอกออกไปว่าตนเข้าใจความเจ็บปวดของการต้องตามหาหนังสือเก่าแสนเก่าเพื่อมาอ่านประกอบการเรียนเป็นอย่างดี

 

 

 

“แล้วอย่างน้อย ในนี้ก็ไม่มีปลวกน่ะนะ”

 

 

 

ยูริเอากำปั้นต่อยบ่าของเขาดังปุ้กตอบแทนคำล้อนั้น “เงียบนะอัลติน”

 

 

 

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองมาถึงชั้นวางอันเป็นที่หมายแล้วพบว่าหนังสือเล่มที่ว่าไม่อยู่ตรงนั้น…ยูริครางฮึ่มออกมา แต่ก็ยอมพยักหน้าตกลงเมื่อโอตาเบคบอกว่าให้ลองๆ ดูตามชั้นข้างเคียงรอบด้านดูก่อน

 

 

 

“เพราะส่วนใหญ่เขาจะวางมันไว้ใกล้ๆ กันนี่แหละ” เขาบอก “แล้วถ้าไม่เจอจริงๆ เราค่อยลงไปหาบรรณารักษ์อีกทีก็ได้”

 

 

 

ทั้งสองตัดสินใจแบ่งการค้นหาออกไปคนละทาง ไม่ใช่เรื่องลำบากนักในการมองเพราะหนังสืออ้างอิงเหล่านี้มีสันอันหนาพร้อมชื่อเรื่องชัดเจน ความเงียบทิ้งตัวช้าๆ ตามระยะห่างของการก้าวเดินออกไปจากกัน

 

 

 

เวลาล่วงเลย…เขาใช้นาทีระหว่างการพักสายตาในการลอบมองไปทางยูริ ความรู้สึกหนักอึ้งคืบคลานขึ้นมาในใจอีกครั้ง…โอตาเบคมัวแต่ใช้ข้ออ้างในการไม่บอกความจริงกับอีกฝ่ายสักทีว่าเพราะตนยังหาจังหวะที่เหมาะสมไม่ได้ เพราะชายหนุ่มคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าตนคุยเรื่องนี้กับอีกฝ่ายในที่ที่สงบสักหน่อย มอบเวลาและความเงียบให้หนุ่มน้อยได้ทำความเข้าใจและไม่เป็นฟืนเป็นไฟ

 

 

 

เพราะฉะนั้น นาทีเงียบงันในห้องสมุดที่ไม่มีใครนอกจากทั้งสองจึงเป็นดั่งเสียงตะโกนซ้ำไปซ้ำมาในใจ ร้องบอกให้โอตาเบคหยุดคำอ้างทั้งปวงแล้วบอกความจริงสักที

 

 

 

ชายหนุ่มหลับตาลง ถอนหายใจหนักหน่วงกับความสับสนในหัวใจ

 

 

 

เสียงตุ้บตั้บเหมือนคนกระโดดขึ้นลงทำให้ดวงตาสีเข้มเปิดลืมพร้อมหันไป…ก่อนจะพบว่าเป็นร่างปราดเปรียวนั่นเองที่กำลังพยายามตะกายให้ถึงหนังสือบนชั้นบนสุด

 

 

 

โอตาเบครุดเข้าไปหาทันที “ยูร่า! หาม้านั่งมาปีนขึ้นไปหยิบสิ”

 

 

 

“หาแล้ว” ยูริยังคงไม่หยุดกระโดด “ไม่มี”

 

 

 

“โอเค โอเค หยุดๆ” โอตาเบครั้งไหล่ผอมบางนั้นให้อยู่กับที่ “เดี๋ยวฉันช่วยนะ”

 

 

 

หากก็เป็นจริงตามการคาดเดาจากสายตา…สุดปลายนิ้วของเขาทำได้แค่ไล่เรื่อยถึงชั้นเท่านั้น ไม่มากพอที่จะดึงหนังสือเล่มที่ว่าลงมาได้

 

 

 

โอตาเบคถอนหายใจ หันไปหาคนที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง “ลงไปหาม้านั่งที่ชั้นสองกันเถอะ—”

 

 

 

“ไม่ต้องๆ” ดวงตาสีเขียวเป็นประกาย จับจ้องภาพเขากับชั้นหนังสือด้วยสายตาวาววับ…แววตาบ้าบิ่นที่โอตาเบคแอบตงิดๆ ใจ “ฉันรู้แล้วว่าทำไงดี”

 

 

 

“ยูร่า…”

 

 

 

โอตาเบคพบว่าลางสังหรณ์ของตัวเองถูกเผง…เพราะนาทีต่อมา ยูริก็สั่งให้โอบแขนรอบเอวเจ้าตัวแล้วยกร่างปราดเปรียวนั่นขึ้นในอากาศ

 

 

 

“แป็บนะ—เฮ้—โอ๊ะๆๆๆ” หนุ่มน้อยเด้งตัวกลับลงมายืนบนพื้นใหม่ ก่อนจะหันหน้าเข้าหาเขา “แบบนี้ดีกว่า นายยกฉันอย่างนี้แทนนะ”

 

 

 

โอตาเบคยืนนิ่ง แผนนี้ไม่เข้าท่ามาตั้งแต่แรกแล้ว และการเปลี่ยนมันให้หน้าของเขาแนบเข้าหาตัวอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้มันไม่เข้าท่ายิ่งกว่าเดิม “ยูร่า…ฉันว่าลงไปหาม้านั่งเถอะ”

 

 

 

ยูรินิ่งไปกับเสียงเรียบๆ หากหนักแน่นของเขา จ้องเขม็งชั่วครู่ ก่อนจะยอมถอยให้นิดนึง

 

 

 

“ลองครั้งนี้ครั้งสุดท้าย แล้วถ้ายังไม่ได้ ฉันจะไปหาม้านั่งแล้ว…นะเบก้า?”

 

 

 

โอตาเบคถอนหายใจ แต่ยูริก็ไม่ยอมละสายตา จนเขาได้แต่พึมพำ

 

 

 

“ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะ”

 

 

 

หนุ่มน้อยพยักหน้า ก่อนจะขยับเข้ามาอยู่ในวงแขนของเขา

 

 

 

สมองของโอตาเบคไม่ได้จดจ่ออยู่กับสถานการณ์หยิบหนังสืออีกแล้ว…เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงการได้กอดยูริเอาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง หนุ่มน้อยตัวบางกว่าที่คิด…เขาจึงต้องขยับแขนให้แน่นขึ้น ความแนบชิดทำให้กลิ่นเย็นชื้นของหิมะกับกลิ่นสะอาดๆ จากเสื้อผ้าของอีกฝ่ายกรุ่นชัดตอนโอตาเบคสูดลมหายใจ

 

 

 

แว่วเสียงอีกฝ่ายพูดอย่างดีใจ ท่าทางเจ้าตัวจะคว้าหนังสือได้แล้ว “เบก้า! นี่ไง—หวา!!”

 

 

 

เสียงอุทานทำให้เขาขยับไปตามสัญชาตญาณ…ชายหนุ่มหลบฉากไปอีกทาง เห็นจากปลายสายตาว่าหนังสือเล่มปานกลางนั้นปลิวตุ้บลงไปกองบนพื้นแล้ว หากสิ่งที่ชายหนุ่มสนใจนาทีนี้คือร่างปราดเปรียวในอ้อมแขนเท่านั้น มือเรียวเผลอจิกแน่นลงบนบ่าทั้งสองของเขา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโอบคล้องรอบคอตอนที่วงหน้าก้มลงมาแนบชิดอย่างอัตโนมัติเพื่อหลบหนังสือที่หล่นลงมา

 

 

 

ระยะห่างที่ไม่เหลือแล้วระหว่างกันทำให้โอตาเบครู้สึกได้ถึงลมหายใจรัวเร็วตื่นตระหนกของยูริอย่างชัดเจน

 

 

 

เขาเพิ่งตระหนักได้เหมือนกันว่าตนโอบรั้งยูริเข้ามาแนบตัวเองอย่างแน่นหนา หากหัวใจที่ตื่นตระหนกพอๆ กันก็ทำให้ปลายนิ้วยังไม่ขยับ จังหวะรัวเร็วดังก้องในอก…ไม่ต่างกันสักนิดกับลมหายใจของยูริ

 

 

 

ชั่วนาทีเลยผ่าน ยูริค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

 

 

 

“ว้าว…” เสียงเบาหวิว แต่ก็เริ่มมีกระแสสนุกสนานแล้ว และในระยะห่างอันน้อยนิดนี้ สีเขียวของนัยน์ตาคู่นั้นดูจะเจือสีฟ้านิดๆ จนเหมือนน้ำทะเล “นั่น…ผ่านไปได้ด้วยดีเนอะ”

 

 

 

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษเงียบๆ ชั่วครู่…แล้วค่อยยอมกระซิบตอบด้วยเสียงแหบพร่า “ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าเราควรไปหาม้านั่ง?”

 

 

 

“ใช่” ยูริยอมรับตรงๆ…ก่อนจะก้มหน้าลงนิดหน่อย ช้อนตามองเขาพร้อมพึมพำ “แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีใช่ไหมล่ะ?”

 

 

 

หนุ่มน้อยขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็แค่เพื่อขยับแขนให้คล้องหลวมๆ รอบคอเขาอยู่แบบนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีอื่นแต่อย่างใด

 

 

 

หัวใจของโอตาเบคเต้นรัวเร็ว…แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวอะไรกับอุบัติเหตุเมื่อครู่อีกแล้ว

 

 

 

วินาทีนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็คิดถึงการพบกันของตนกับคนในอ้อมแขนขึ้นมา

 

 

 

ถ้าเป็นโลกใบอื่น…โอตาเบคอาจจะไม่ต้องยืนอยู่ตรงนี้พร้อมหัวใจที่หนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกผิดจากการปิดบังความจริง เขาอาจจะเป็นคนที่มีสิทธิ์ทุกประการในการจะเอื้อมมือออกไป…เชยคางของยูริขึ้นแล้วประทับริมฝีปากของตัวเองเข้ากับเรียวปากของอีกฝ่าย  แทนที่จะต้องยืนเฉยด้วยความรู้สึกอันมากมายที่ไม่อาจเอ่ยออกไปได้สักคำแบบนี้

 

 

 

ชายหนุ่มสงสัยปนโกรธตัวเองขึ้นมานักในวินาทีนั้น…สงสัยว่าทำไมตนไม่ปฏิเสธพร้อมตักเตือนยูริไปเสียตั้งแต่แรก ทำไมถึงปล่อยให้การนัดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดขึ้น ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองได้รู้จักนิสัยใต้มาดเกรี้ยวกราดและเห็นรอยยิ้มสดใสของยูริจนนับครั้งไม่ถ้วนแบบนี้

 

 

 

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำถามที่โอตาเบคเองก็รู้คำตอบอยู่เองลึกๆ…ว่าถึงจะเริ่มต้นไม่สวยงามตามที่คาดหวัง แต่การได้รู้จักกับยูริก็เป็นโอกาสที่เขาไม่อาจผละมือจากไปได้ และทุกวันของการได้คุ้นเคยกันก็รังแต่จะทำให้อยากจะโอบกอดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

และนั่นเองที่ทำให้โอตาเบคไม่เสียใจสักนิดที่ตนเองยืนอยู่ตรงนี้…ในความเงียบงันอันแสนอึดอัดและรสชาติขมเจือหวานของความรู้สึก

 

 

 

 

ท่อนแขนของเขายังคงโอบรัดรอบเอวยูริ ประคองร่างผอมบางนั้นไว้แนบตัว…ระยะห่างแค่เพียงลมหายใจกั้น แต่โอตาเบคก็รู้ว่าตนไม่ควรทำอะไรเกินเลยถ้าหากรู้สึกดีๆ กับยูริจริง

 

 

 

ชายหนุ่มเลยแค่ก้มหน้าลงเล็กน้อย…แตะแค่เพียงหน้าผากของตนเข้าหาหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วหลับตาลง สูดลมหายใจเชื่องช้าหนักหน่วง เพราะหวังอย่างไร้สาระว่ามันจะช่วยให้หัวใจสงบลงได้บ้าง

 

 

 

จึงไม่รู้เลยว่าดวงตาสีเขียวมองพินิจ…ยูริเองก็กำลังครุ่นคิด

 

 

 

สัมผัสของปลายนิ้วบนสองข้างแก้มทำให้โอตาเบคลืมตา ภาพที่ได้เห็นคือวงหน้าขาวใสที่เคลื่อนเข้ามาใกล้…ลังเลและแผ่วเบา หากก็ไม่ถอยหนีหรือมีท่าทีไม่มั่นใจ

 

 

 

แล้ววินาทีถัดมา…สัมผัสนุ่มนวลก็แตะบนริมฝีปากของเขา

 

 

 

เวลาดูจะหยุดเดินลงพร้อมๆ กับระบบความคิด…ความรู้สึกใดๆ ที่ปนเปกันอยู่ในใจโอตาเบคตอนนี้นั้นหายวับไปหมด เหลือไว้เพียงสีขาวโพลนของการตระหนักรู้…ยูริ พลีเซตสกี้กำลังจูบเขาอยู่

 

 

 

มันเป็นไม่กี่วินาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของโอตาเบค…เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขยับแขนเปลี่ยนจากโอบมาเป็นกึ่งๆ อุ้มอีกฝ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในการรับรู้มีแค่เพียงเสียงของยูริหลังจากที่เจ้าตัวผละจากไป

 

 

 

“มันแปลกๆ มั้ย?” ดวงตาสีเขียวช้อนมองมา ทั้งกังวลปนขัดเขินไม่ต่างกันกับในน้ำเสียง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…แต่ฉัน…ฉันคิดว่าฉันอยากทำแบบนี้มาสักพักนึงแล้วล่ะ”

 

 

 

“ตั้ง…” ทุกสิ่งในใจของโอตาเบคยังคงเป็นภาพเบลอ เขาเลยได้แต่กระซิบออกไป เชื่องช้าแหบโหย “…ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

 

 

วงหน้าสีน้ำนมเบือนหลบ สีแดงซ่านบนผิวแก้ม

 

 

 

“ตอนที่นายบอกราตรีสวัสดิ์ฉัน…” เปลี่ยนมาพูดกระชากนิดๆ พร้อมขยับนิดๆ ให้ปอยผมลงมาปรกหน้าปรกตา “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันโอเคมั้ย! มาถามแบบนี้จะไปตอบได้ได้ยังไง??”

 

 

 

โอตาเบคไม่ได้พูดอะไร เขาไม่สามารถชี้แจงออกไปได้ว่าแค่คำตอบอันไม่สมบูรณ์แบบที่ได้ฟังนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รสหวานๆ ซ่านขึ้นเต็มไปหมดในหัวใจ

 

 

 

ยูริยอมหันหน้ามาในที่สุด หน้าแดงจัดตอนพูดห้วนๆ

 

 

 

“ว่าแต่…ฉันทำแบบเดิมอีกทีได้ไหม?”

 

 

 

โอตาเบคต้องบอกให้ตัวเองค่อยๆ หายใจเพื่อไม่ให้หัวใจเต้นแรงเกินไปมากกว่านี้ ถ้อยคำที่ตอบออกไปนั้นสุภาพเสียจนเหมือนแกล้งพูด

 

 

 

“…เชิญเลยครับ”

 

 

 

“ให้ตายสิ คนปกติที่ไหนเขาใช้คำพูดแบบนี้กันหา?” ปลายนิ้วแตะลงบนข้างแก้ม…ไม่มีทางที่ยูริจะไม่เห็นว่าเขาหน้าแดง นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจได้แน่นอนว่าตอนนี้โอตาเบคเองก็กำลังรู้สึกขัดเขินไม่ต่างกันกับเจ้าตัว

 

 

 

ดวงตาสีเขียวสบประสาน พูดแผ่วเบาอย่างครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

 

 

 

“นายนี่มันพิลึกชะมัด…อัลติน”

 

 

 

ยูริจูบเขาอีกครั้ง สัมผัสแผ่วเบาที่ยาวนานกว่าทีแรก…หากก็ยังสั้นเกินกว่าที่โอตาเบคจะพอใจนัก

 

 

 

“มาเถอะ” หนุ่มน้อยผมทองกระซิบปนหัวเราะเมื่อพยายามจะกลับไปยืนบนพื้นแต่โอตาเบคไม่ยอมคลายแขน “เบก้า! ฉันยังต้องใช้หนังสือเล่มนั้นนะ!”

 

 

 

ชายหนุ่มคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ยูริจะใช้แค่เสียงสดใสแบบนี้เป็นไม้ตายในการสั่งเขาได้ง่ายๆ แบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าแขนของตนอาจจะขยับไม่ได้อีกต่อไปถ้ายังฝืนอยู่ในท่วงท่านี้

 

 

 

โอตาเบครอจนอีกฝ่ายหยิบหนังสือขึ้นมาถือเรียบร้อยแล้วจึงค่อยขยับไปจับมือเจ้าตัวเอาไว้…ยูริก้มมองอย่างประหลาดใจแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา

 

 

 

“อืม…” ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนี้ “นั่น…ผ่านไปได้ด้วยดีเนอะ”

 

 

 

หนุ่มน้อยผมทองหลุดหัวเราะออกมา เรียวปากที่แดงระเรื่อจากรอยจูบขยับยิ้มปิดท้าย แล้วก็จับมือเขาไว้แบบนั้นตลอดการเดินลงไปยังชั้นล่าง

 

 

 

 

 

**

 

 

 

เมื่อออกมาจากห้องสมุดแล้วกลับมาถึงย่านแถวมหาวิทยาลัยของพวกเขาแล้ว ยูริก็พาโอตาเบคไปยังร้านแซนด์วิชที่ทำกริลล์ชีสแซนด์วิชได้อร่อยที่สุดในโลก(ตามการตัดสินของตัวเขาเอง)แล้วจัดแจงเลี้ยงอาหารกลางวันให้อีกฝ่าย

 

 

 

“ไม่ต้องเลย นายเลี้ยงฉันตั้งหลายครั้งแล้ว วันนี้นายก็พาฉันไปห้องสมุดด้วย” เขาปัดมือโอตาเบคเมื่อเจ้าตัวทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ “หยุดเลยนะอัลติน อยู่นิ่งๆ ไป”

 

 

 

โอตาเบคเลยแค่ยิ้ม แล้วก็บอกว่ายูริพูดจริงทุกประการเมื่อกัดกริลล์ชีสแซนด์วิชของตัวเองเข้าไปคำแรก

 

 

 

หนุ่มน้อยยื่นหมวกกันน็อคสำรองคืนให้เมื่อโอตาเบคจอดมอเตอร์ไซค์ตรงริมฟุตบาธ และถึงไม่ต้องก็ได้…แต่ชายหนุ่มผมดำก็เดินตามมาส่งเขาจนถึงหน้าประตูอยู่ดีทั้งๆ ที่เป็นระยะทางไม่กี่ก้าวเท่านั้น

 

 

 

“อืมมม…” ยูริหันไปหาอีกฝ่าย ขยับสายเป้ไปมาเล็กน้อย “ขอบคุณนะ…ที่พาฉันไปหาหนังสือวันนี้”

 

 

 

โอตาเบคยิ้มบางๆ พร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรเลย แล้วยูริก็พิศวงขึ้นมาในใจอีกครั้ง…เขาเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้คาดเดาอะไรเลยสักนิด แต่กลับกลายเป็นว่ามิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นกลับง่ายดายและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด และในนาทีนี้…ความรู้สึกที่เขามีตอนมองโอตาเบคก็เป็นความสบายใจของเพื่อนสนิทปะปนกับจังหวะหัวใจอันเต้นระรัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องสมุด

 

 

 

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นรสชาติที่หวานซ่านและทำให้ใจยินดีอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

 

“นายว่างแล้วใช่มั้ยวันนี้?” ยูริถาม พยักเพยิดไปทางหน้าประตู “วันไนท์แสตนด์เลยมั้ย?”

 

 

 

โอตาเบคที่กำลังพยักหน้าให้คำถามแรกดูผงะจนต้องนิ่งไปทันที ก่อนจะพูดเสียงเบา

 

 

 

“อืม…แต่นี่…” ดวงตาสีเข้มมองลมฟ้าอากาศรอบตัว ก่อนจะพึมพำ “นี่มันยัง…อืมมมม…กลางวันอยู่เลยนะ?”

 

 

 

สีหน้าตื่นๆ ของอีกฝ่ายทำให้ยูริหลุดหัวเราะหึๆ อย่างเจ้าเล่ห์ออกมา

 

 

 

“ล้อเล่นน่าเบก้า” เขาหมายความตามนี้จริงๆ…เพราะถึงจะอยากทำตามแผนให้สำเร็จเพื่อข่มน้ำหน้าไอ้แคเนเดียนแฮมแค่ไหน แต่หนุ่มน้อยก็มีเรียงความให้รอเขียนอยู่ “วันนี้ฉันต้องปั่นเปเปอร์ก่อนล่ะ”

 

 

 

ยูริไม่ได้สังเกตว่าโอตาเบคแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเขามัวแต่ง่วนเปิดตารางปฏิทินในมือถืออยู่

 

 

 

“นี่ วันนี้นายจะว่างมั้ย?” เขายกวันที่ให้ชายหนุ่มดู “ตอนเย็นจะมีงานวันเกิดวิคเตอร์น่ะ”

 

 

 

“ว่างน่ะว่าง…” โอตาเบคตอบเมื่อดูแล้ว “แต่โปรเฟสเซอร์เขาจะไม่ได้อยากชวนแค่คนสนิทเหรอ?”

 

 

 

“ช่างตาแก่นั่นปะไร เขาชวนฉัน แล้วฉันก็จะชวนนาย” ยูริพูดฮึดฮัดอย่างรั้นๆ “มานะเบก้า…ฉันไม่อยากนั่งทนมองตาแก่นั่นกับแฟนคนเดียว”

 

 

 

โอตาเบคเลยแค่ยิ้มแล้วก็ตอบตกลง ยูริพยักหน้าอย่างพอใจก่อนกล่าวลา นิ่งไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาหา…ชายหนุ่มผมดำลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงบนผิวแก้มของยูริ

 

 

 

เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาเมื่อผละจากไป “แล้วเจอกันนะ ยูร่า”

 

 

 

หนุ่มน้อยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบอกลาอีกฝ่ายอย่างไร เขาเดินช้าๆ ขึ้นไปตามขั้นบันได…มือแตะนิ่งอยู่บนผิวแก้มของตัวเอง

 

 

 

ฝีเท้าหยุดลง มอบเวลาให้ยูริคิดถึงสัมผัสของริมฝีปากของเพื่อนสนิท สัมผัสที่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนอีกแล้ว

 

 

 

แต่นั่นก็หมายความว่า… หนุ่มน้อยพบว่าตัวเองคิดแค่เพียงเท่านี้ …ต่อไป พวกเราก็คงทำแบบนี้กันได้แล้วสินะ?

 

 

 

คำถามนี้ยังให้ความรู้สึกสีชมพูพาสเทลแบบน่ารังเกียจเหมือนเดิมไม่มีผิด

 

 

 

แต่คราวนี้ ยูริแค่ยิ้มตอบมันไปเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

***************************

ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤

>>Tippuri~ii* ♥ COMMENT BOX<<

(แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ)

***********************

 

สวัสสสสสดีย์ค่ะะะะะะะะ

 

หลังจากทุกบทและการดองที่ผ่านมา เราก็ -หัวเราะบ้าคลั่ง- ได้เขียนให้พวกเขาจูบกันแล้วค่ะะะะะ

 

อาจจะฟังแล้วไร้สาระมาก แต่เราลุ้นกับโมเม้นนี้มากจริงๆค่ะ…เรารักคู่นี้มาก พอเขียนๆมาจนถึงจุดที่จะถึงฉากนี้เลยลุ้นมากเลย เขาคืบหน้ากันแล้วววว คืบเกินชิปอื่นหมดเลยด้วย55555 

 

ขอบคุณสำหรับงานคอมิกอเวนิวที่ผ่านไปนะคะ ในงานอาจจะไมค่อยได้มีไอเทม ยรออ ไปลงบูธเรานัก แต่ดีใจมากๆที่ทุกคนเข้ามาถามถึงเรื่องนี้ค่ะ จะเป็นโปรเจคถัดไปละ แล้วจะคอยอัพเดทเรื่อยๆนะคะ

 

ครบหนึ่งปีของเราในหลุมยูริออนไอซ์นี้แล้ว ถือว่าบทนี้เป็นการฉลองนะคะ เราดีใจมากจริงๆที่ได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ เพราะนอกจากสนุกแล้ว มันยังทำให้เราได้รู้จักกับคนเยอะขึ้นมากๆ…ขอบคุณนะคะที่ร่วมหวีดร่วมพายเรือกัน

 

เราเขียนแล้วเขินเฮียเขินน้องมาก คนอ่านคิดเห็นเป็นอย่างไรบอกเราได้เลยนะคะ

 

 

ทิพย์เอง

 

 

ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤

>>Tippuri~ii* ♥ COMMENT BOX<<

(แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ)

***********************

 

รายละเอียดฟิครอบไปรจาก #comicavenue4 มาแล้วค่ะ
 
ใครอ่านแล้วอยากติชม จัดเต็มในนี้เลยนะคะ♡
 
 

4 responses to “[Yuri!!! On Ice Fic][OtabekYurio] crazy crazy, easy tiger (you’re a god send, do you want a boyfriend?) (7)

  1. ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
    ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
    พี่ทิพย์คะะะะะะะ นี่มันฟีลเหมือนตอนเราดูยูริตอนเจ็ดเลย แบบไม่นึกว่ามันจะเกิดแล้วมันก็เกิด กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เราอ่านแล้วกัดฟันกรี๊ดออกมาเลยค่ะ(กลัวข้างบ้านปากระถางต้นไม้ใส่) ฮืออออออออออออ ในที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดด ฟ้ดา้วาฟหฟกฟเากวา้
    พี่เบ็คหอมแก้มน้องด้วยยิ่ง ฟวหสา่เสฟ่หง่้งดก่งส แง้งงงงงงงงงงงง
    ฮึกกกกกกกกกกก พี่ทิพท์ทำอะไรลงไปปปปปป เราเขินจะตายแล้วค่ะ ยิ้มจนปวดแก้มแล้ว แงงงง ;////;
    ปกติคู่นี้แค่คุยๆกันก็น่ารักจะแย่แล้ว นี่ถึงขั้นจุ๊บกันได้แล้วต่อไปจะคิ้วทึขนาดไหนนน ฟฟฟฟฟฟฟฟ
    ยังไงก็รออ่านตอนต่อไปเช่นเคยนะคะะะะ ขอบคุณค่าาาT///T

    ปล.”ยูริตอบรับคำลานั้นด้วยนิ้วกลางและคำแช่งในใจให้การไอของเจเจคือสัญญาณของวัณโรคเฉียบพลัน” ประโยคนี้เราขำไม่ไหวแล้วค่ะ 555555555555555
    ปล2.หวีดรุนแรงมาก ขอโทษด้วยค่ะแต่เขินไม่ไหวแล้ว แงงง

    Like

  2. โอยยยย
    น่ารักมวากกกกกก
    ให้อารมณ์หวานละมุนล่องลอย
    ชอบโมเมนต์ให้ห้องสมุด

    >________<

    เชียร์ๆๆๆๆ
    รอตอนต่อนะคะ

    ถ้ารวมเล่มเเจ้งด้วยนะคะ

    Like

Leave a comment