* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *
*************************************
note:
-ฟิคนี้ปลอดภัยไร้สปอยใดใด
-จะมีปรับๆบางจุดของธอร์ภาคแรกไปบ้างนะคะ
-ฟิคของเซ็ต season นี้ แต่ไม่อ่านก็ไม่เป็นไรค่ะเพราะไม่ได้ต่อกันเลย: [#ThorKi Fic] In the Embrace of the Eternal Summer >> click to read
***************************************
somewhere i have never travelled, gladly beyond
any experience, your eyes have their silence:
in your most frail gesture are things which enclose me,
or which i cannot touch because they are too near
your slightest look easily will unclose me
though i have closed myself as fingers,
you open always petal by petal myself as Spring opens
(touching skillfully, mysteriously)her first rose
or if your wish be to close me, i and
my life will shut very beautifully, suddenly,
as when the heart of this flower imagines
the snow carefully everywhere descending;
nothing which we are to perceive in this world equals
the power of your intense fragility: whose texture
compels me with the colour of its countries,
rendering death and forever with each breathing
(i do not know what it is about you that closes
and opens; only something in me understands
the voice of your eyes is deeper than all roses)
nobody, not even the rain, has such small hands
— E. E. Cummings
*****
ในวันวานอันแสนไกล…ธอร์จำได้ถึงกลิ่นหอมหวานของดอกไม้สีขาว
องค์ชายคนโตแห่งแอสการ์ดเป็นนักรบมาตลอดชีวิต…จึงน่าแปลกนักที่จะได้พบเจอกับสิ่งบอบบางอย่างนี้ แต่ดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมละมุนก็เป็นสิ่งอันคุ้นตาเสมอเพราะลิลี่คือดอกไม้ที่ฟริกก้า ผู้เป็นมารดาของเขาโปรดปรานที่สุด และนั่นจึงทำให้มันกลายเป็นดอกไม้ที่โลกิ น้องชายของเขาโปรดปรานที่สุดตามไปด้วย…เพราะเจ้าชายองค์เล็กนั้นรักองค์ราชินีแห่งแอสการ์ดสุดหัวใจ ส่งผลให้คนเป็นพี่ชายอย่างเขาต้องคอยรอให้น้องค้นหาลิลี่สักดอกให้เจอเสียก่อนเพื่อเป็นของฝากกลับไปให้มารดาหลังจากที่ออกมาเล่นสนุกนอกวังกันแล้วทั้งวัน…การกระทำที่กลายเป็นเรื่องประจำตั้งแต่ยามเยาว์วัยจนกระทั่งถึงตอนนี้ที่แม้ว่าธอร์จะกลายเป็นชายหนุ่มและโลกิเติบโตเป็นหนุ่มน้อยแล้วก็ตาม
ช่วงแรกๆ นั้น การตามหาคือการตามหาจริงๆ…เด็กชายทั้งสองจะได้แต่เดินไปตามแนวป่าหรือชายทุ่งเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอดอกไม้สีขาวแสนสวยนั่นสักดอก แต่สุดท้าย…ธอร์ก็ได้พบพื้นที่เล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่หลังแนวต้นไม้น้อยใหญ่ มันร่มรื่นด้วยหลังคาที่เกิดจากกิ่งไม้และแสงแดดที่ส่องลอดลงมา…ทิ้งประกายเหมือนเกล็ดสีทองไว้บนกลีบขาวเนียนของดอกลิลี่มากมายที่เบ่งบานปกคลุมผืนดินอยู่
ไม่มีสหายร่วมการฝึกคนใดแสดงท่าทีตื่นเต้นอะไรกับการค้นพบนี้ แต่ต่อให้จะมีคำชื่นชมเขามากแค่ไหน มันก็ไม่อาจทำให้ธอร์รู้สึกยินดีและภูมิใจได้เท่ากับรอยยิ้มจากน้องชาย…ร่างผอมบางของเด็กน้อยกระโดดเข้ามากอดเขาแน่นตอนที่รู้เรื่อง ถามแจ้วๆ อย่างตื่นเต้นว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะว่างพาตนไปดู การกระทำที่ทำให้เด็กชายผมทองยอมโดดการฝึกอาวุธเพียงเพื่อพาอีกฝ่ายไปที่ทุ่งลิลี่นั่น…รู้ทั้งรู้ว่าจะตนจะต้องโดนดุ แต่รอยยิ้มของโลกิมีค่ามากมายกว่านักจนบทลงโทษไม่สำคัญไปเลย
กาลเวลาผันผ่าน…เด็กน้อยทั้งสองเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มผมทองผู้สง่างามราวพระอาทิตย์และเด็กหนุ่มผมดำผู้เงียบขรึมดั่งดวงจันทร์ หากทุ่งดอกไม้สีขาวแห่งนั้นก็ยังคงเป็นความลับของแค่สองพี่น้อง…เป็นสถานที่ที่มีเพียงทั้งคู่ที่รู้ถึงและแวะเวียนไป ธอร์ชอบที่จะได้ใช้เวลาหลังการฝึกในบรรยากาศอันสงบหอมหวาน และโลกิก็ชอบที่จะมีความเงียบของธรรมชาติอยู่เคียงข้างยามอ่านหนังสือเล่น…ทั้งคู่สามารถอยู่ตรงนี้ได้ทั้งวัน พร้อมกับมีดอกลิลี่ติดมือไปฝากมารดาเสมอด้วยยามกลับถึงพระราชวัง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสุขสงบ…สุขสงบเสียจนความผิดแปลกที่เกิดขึ้นให้ความรู้สึกเหมือนเสียงอันแปร่งเพี้ยนครั้งแรกในท่วงทำนองอันยาวนาน
“ท่านพี่…”
ดวงตาสีฟ้าเปิดลืมขึ้น…จากทั้งเพราะเสียงเรียกและสัมผัสแผ่วเบาของบางสิ่งที่โปรยปรายลงมาแตะผิวแก้มกับปลายจมูก ภาพที่มองเห็นคือแสงสว่างเรื่อเรืองของแดดที่ลอดแนวกิ่งไม้ลงมาและวงหน้าขาวใสของน้องชายที่กำลังยิ้มละไม…รอยยิ้มที่ธอร์รู้ว่าไม่มีคนนอกครอบครัวเคยได้เห็น
แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็รู้อยู่ลึกๆ ในหัวใจอยู่ดีว่าโลกิไม่เคยยิ้มแบบนี้กับโอดินหรือฟริกก้าเลย รอยยิ้มบางเบาที่เจือความเขินอายและแววตาพริบพราวอย่างนี้มีให้สำหรับเขาเพียงคนเดียว
และแวบหนึ่งในวินาทีเลือนรางระหว่างความฝันและความจริง…ชายหนุ่มผมทองก็สงสัยขึ้นมาว่ารอยจูบจากริมฝีปากนั้นจะให้ความรู้สึกอย่างไร
“ท่านพี่?”
ถ้อยคำเรียกหาในคราวนี้มีกระแสเสียงสงสัยเจือปนอยู่ ทำให้ธอร์เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขากำลังจ้องอีกฝ่ายนิ่งนานและยังคงไม่ได้ตอบอะไร…จึงรีบส่งเสียงฮึมฮัมออกไปราวกับจะถามว่าปลุกตนทำไม หนุ่มน้อยที่มองอยู่เลยหัวเราะออกมา…ทั้งเพราะสีหน้างงๆ ของพี่ชายและเผลงานการแกล้งอีกฝ่ายของตนที่สำเร็จเกินคาด
“หัวเราะอะไรของเจ้า—” ชายหนุ่มผมทองขมวดคิ้วไม่จริงจัง หากดวงตาก็เริ่มเป็นประกายขันๆ เพราะเดาได้แล้ว…หยิบกลีบดอกไม้เล็กๆ ออกมาจากเรือนผมของตน สะบัดๆ หน้าให้กลีบอื่นๆ หลุดออกไปจากหน้าผากและปลายจมูก “นี่เจ้าโปรยอะไร—ให้ตายเถอะ ลอบทำร้ายองค์รัชทายาทมีโทษถึงตายนะ เดี๋ยวพี่จะจับเจ้าไปลานประหารตอนนี้เลย…”
“อย่ามาใส่ความน้องนะท่านพี่” โลกิหัวเราะดังกว่าเก่า “ถ้าองค์รัชทายาทจะเป็นอะไรเพราะดอกไม้แค่นี้ ชาวแอสการ์ดก็คงไม่อยากให้ท่านได้ครองราชย์หรอกรู้ไหม”
“ก็ได้…ก็ได้…” ธอร์สางนิ้วไปตามเส้นผมที่มีกลีบดอกไม้เล็กๆ หลากสีติดพันอยู่ ยังคงแกล้งทำเป็นตีหน้ายุ่งต่อ “แต่เมื่อครู่นั่นเจ้าก็ดูหมิ่นพี่…ต้องโดนจองจำสักร้อยปีท่าจะดี เดี๋ยวหลังอาหารเย็นนี้พี่จะจับเจ้าไปที่คุกเลย”
“ไปก่อนอาหารเย็นได้ไหมท่านพี่ มื้อเย็นนี้มีปลาพอดีน่ะ…น้องไม่อยากทนกิน” เด็กหนุ่มผมดำหัวเราะซนๆ…ร่างโปร่งที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ตัวเขาที่นอนอยู่นั้นกระเถิบเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วเรียวค่อยๆ ดึงกลีบดอกไม้ออกจากปอยผมให้เมื่อเห็นว่าพี่ชายคงไม่ใจเย็นพอ “มานี่…น้องช่วย”
ธอร์สูดลมหายใจลึกๆ…ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนถึงใจเต้นแรงขึ้นมา เถ้าถ่านของความสงสัยในวินาทีก่อนลืมตาตื่นหวนคืนมา…แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดอันหน่วงลึก
เขาจึงหลบตา เสพูดติดตลกรับต่อไม่ให้น้องชายสังเกตได้ถึงความคิดอันสั่นระรัวในตอนนี้ของตน “รอก่อนเถอะ…ไว้ตอนอยู่ในคุกนะพี่จะไม่ให้เขาส่งอาหารไปให้เจ้าเลย ถึงตอนนั้นนะ…จะปลาหรืออะไรเจ้าก็จะร้องไห้ขอกินหมดแหละ ไม่มีมาเรื่องมากแบบนี้หรอก…”
โลกิหัวเราะ แต่ไม่ต่อปากต่อคำอย่างทุกทีเพราะกำลังสนใจงานในมือ ก่อนจะตบๆ บ่าพี่ชายเบาๆ “ท่านพี่…ลุกขึ้นมานั่งซิ น้องมองไม่ถนัดเลย”
ธอร์หยัดตัวขึ้นตามคำขอ ก่อนที่ลมหายใจจะขาดห้วงเมื่อเด็กหนุ่มเลื่อนตัวมานั่งบนตักตน…หันหน้าเข้าหา ปลายนิ้วเคลื่อนไหวแผ่วเบา…หยิบจับกลีบดอกไม้ที่เจ้าตัวเองนั่นแหละที่โปรยใส่ลงมาให้ออกไปให้หมด มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองที่เติมเต็มในบรรยากาศแล้วตอนนี้
ธอร์ได้แต่มองในความเงียบงัน…จดจำเค้าโครงของสีหน้าอันตั้งอกตั้งใจ ผิวแก้มขาวใส และปลายนิ้วที่เคลื่อนไหว…ทิ้งสัมผัสเย็นๆ ไว้บนผิวแก้มของเขาตอนที่แตะโดน
กลีบดอกไม้กลีบสุดท้ายถูกหยิบออกไป…โลกิยังคงนั่งอยู่แบบนั้นต่อแค่เพียงนานพอที่จะมองสำรวจว่าตนทำงานได้เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะลุกขึ้นยืน…พยักเพยิดนิดๆ เป็นเชิงเรียก
“กลับกันเถอะท่านพี่”
ธอร์กระพริบตา…ยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ลืมตาตื่นจากภาพฝันอันหอมหวาน แต่ก็รวบรวมสติได้ทันในการพยักหน้าตอบ เตือนน้องชายด้วยว่าอย่าลืมเก็บลิลี่ไปฝากมารดา
พวกเขากลับถึงวังช้ากว่าเวลาอาหารเย็น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทั้งสองตัดสินใจแวะไปวางดอกลิลี่ที่หัวเตียงของฟริกก้าก่อน…ของขวัญปนคำอ้อนให้อย่าดุพวกตนที่เถลไถลจนเย็นย่ำ และก็เหมือนทุกที…โลกิประทับริมฝีปากแผ่วเบากับกลีบดอกไม้ขาวสะอาดนั้นก่อนจะวางมันลง
เพียงแต่ในวันนี้…ธอร์พบว่าดวงตาของตนมองตาม อ้อยอิ่งกับทุกการเคลื่อนไหวใต้แสงสีสลัว…เรียวนิ้วที่ประคองก้านบอบบางเอาไว้ ดวงตาที่หลับพริ้ม รอยจูบที่ให้ความรู้สึกสำรวมเงียบงัน และผิวขาวสะอาดของลำคอใต้ปลายผมสีดำยามที่เด็กหนุ่มก้มหน้าลง
เปลือกตาขยับไหวก่อนการเปิดลืม และนั่นก็เหมือนกับประกายไฟฟ้าที่แล่นพล่านให้เขารู้สึกตัว
ธอร์เบือนหน้าไปอีกทาง หัวใจหนักหน่วงไปด้วยความรู้สึกผิดที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
**
มันเป็นความฝันที่พร่ามัว
ทุกภาพไม่ปะติดปะต่อเหมือนภาพมายาบนผิวน้ำอันสั่นไหว…เตียงสีขาวสะอาด ปลายนิ้วที่เลื่อนไล้ อุณหภูมิของผิวเนื้อยามที่เรียวปากของเขาประทับเข้าหา เสียงหัวเราะ เสียงลมหายใจ ถ้อยคำหอบพร่าของน้ำเสียงที่คุ้นเคย
“ธอร์…ธอร์…”
เขาลืมตาตื่นอย่างปุบปับเหมือนถูกกระชากจากห้วงฝัน…เติมเต็มยามฟ้าสางด้วยลมหายใจหนักหน่วงจนไหล่ขยับไหวและจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวจนรู้สึกได้ยามที่เอามือทาบ
ภาพฝันนั้นพร่ามัวไม่ปะติดปะต่อ และชายหนุ่มผมทองก็ไม่กล้าพอที่จะไขว่คว้าความทรงจำให้ชัดเจนว่าบุคคลในอ้อมแขนตนคือใคร
**
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าถ้าถูกจับได้ เจ้าจะได้รับโทษแบบไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับการก่อกบฏเลย??”
ธอร์ตะโกนเย้าๆ มาจากใต้ร่มไม้…เรียกให้โลกิหันมาตวัดสายตาดุๆ ใส่เพราะเขาทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิจนวงแหวนเวทย์ที่อุตส่าห์เสกขึ้นมาได้ละลายหายไปในอากาศ หนุ่มน้อยในวันวานได้เติบโตเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง…เรือนผมสีดำตอนนี้เปียกลู่ไปกับกรอบหน้าเพราะเจ้าตัวกำลังยืนอยู่กลางลำธารเพื่อทดลองเวทมนต์ขนานใหม่ โลกิค้นพบหนังสือคร่ำคร่าของมนตราโบราณนี้ในคลังสมบัติของโอดิน และเนื่องจากรู้ดีว่าการลักของในท้องพระคลังพร้อมทดลองเวทมนต์ต้องห้ามมีโทษหนักเพียงใด โลกิก็ทำสิ่งที่ทำมาตลอดชีวิต…ชวนปนบังคับให้ธอร์ร่วมทางมาด้วยกับตน
“ก็รู้น่ะสิ!” ชายหนุ่มผมดำตะโกนตอบมา ยิ้มเหมือนแมวเจ้าเล่ห์ในประโยคหลัง “ท่านพี่คิดว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะอะไรล่ะ??”
องค์รัชทายาทที่ถูกลากมาเป็นเบาะกันโทษทางการเมืองหัวเราะลั่น “เพื่อที่ข้าจะได้เป็นพยานได้ชัดๆ ไงล่ะว่าเจ้าลงมือทำทุกอย่างเองหมดเลยพร้อมจับข้ามาเป็นตัวประกัน”
โลกิกลอกตา “บอกว่าท่านพี่เป็นหมีป่ายังน่าจะมีคนเชื่อน้องมากกว่าบอกว่าท่านพี่เป็นตัวประกันอีก”
“สามหาว กลับวังแล้วข้าจะสั่งให้จับเจ้าไปประหาร” ธอร์หัวเราะเสียงดัง โยนแกนแอปเปิ้ลให้เฉียดปลายเท้าน้องชาย ซึ่งก็ไม่ค่อยส่งผลอะไรเท่าไหร่ เพราะโลกิเปียกโชกจนแทบจะถึงเอวอยู่แล้ว “แล้วนี่ตกลงเมื่อไหร่เจ้าจะเปิดมิติได้น่ะหา??”
ชื่อเวทมนต์นี้คือเหตุผลที่เจ้าชายองค์เล็กแห่งแอสการ์ดยืนอยู่กลางลำธารตอนนี้…มนตร์เปิดมิติเป็นความรู้อันโบราณเกินจะหยั่ง แม้แต่ชาวแอสการ์ดเองก็ไม่รอบรู้มากพอที่จะมีตำราอันชัดเจน…โลกิรู้แค่ว่าน้ำคือธาตุแห่งการเดินทาง นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มผมดำตั้งสมมติฐานเอาเองว่าการร่ายมนตร์นี้ในสภาวะแวดล้อมของสายน้ำคงเป็นอะไรที่ไม่ผิดนัก
แต่ถ้าจะให้ธอร์ออกความเห็น…เขาคิดว่าตอนนี้น้องชายคงเริ่มรู้สึกแล้วว่านี่เป็นการตัดสินใจที่พลาดเป็นอย่างยิ่ง
“ก็คงเป็นเมื่อนาทีที่แล้วน่ะ” โลกิพึมพำ “ถ้าท่านพี่ไม่มาส่งเสียงหนวกหูขัดน่ะนะ…”
ธอร์ชะเง้อมองเมื่อเห็นน้องชายยกมือขึ้นใหม่…คราวนี้ วงแหวนเวทย์สีเหลืองทองค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในพื้นที่ว่างระหว่างสองมือ โลกิมองมันด้วยสายตาอันสงบนิ่งราวอยู่ใต้ภวังค์…ก่อนที่ดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้นจะหลับลง สายลมพัดอื้ออึงและอากาศก็ดูจะเย็นขึ้นพร้อมๆ กับที่ขนาดของวงแหวนเวทย์ใหญ่ขึ้นจนมากพอที่จะเดินผ่านได้เหมือนประตู
ธอร์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมเดินมาใกล้ สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้เขารู้สึกว่าความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องดี
ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงพริบตา…สีขาวของประตูมิติถูกแทนที่ด้วยดินแดนหนาวเย็นสีขาวกับดำ ก่อนที่อสุรกายสีน้ำเงินจะโผนตัวออกมา ดวงตาสีแดงสดมีประกายของความประหลาดใจกับอากาศอบอุ่น…หากมีดน้ำแข็งก็ถูกเงื้อสูง พร้อมปลิดชีพบุคคลผู้อยู่ใกล้มือที่สุด
“โลกิ!!!”
ธอร์โผนตัวเข้าไป กระแทกร่างน้องชายให้ล้มลงเพื่อหลบการโจมตี ประตูมิติพังสะบั้นลงพร้อมๆ กับที่ดวงตาสีเขียวตวัดเปิดฉับจากภวังค์…ก่อนจะระริกอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มผมทองลากกึ่งกระชากให้น้องชายลุกขึ้นยืน ตวัดแขนออกไปเพื่อเรียกอาวุธประจำกาย
เสียงลมหวีดหวิวเรียกให้ยักษ์น้ำแข็งหันไป โลกิพยายามขว้างมีดสั้นออกไปเพื่อถ่วงความสนใจแต่ไม่ได้ผล…ยักษ์น้ำแข็งก้มตัวลงเพื่อแตะมือลงบนผืนน้ำ และในพริบตา…ลำธารก็แห้งเหือดเพราะน้ำทุกหยดกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งหนาหนัก
กำแพงนี้ไม่อาจป้องกันโยเนียร์ก็จริง แต่ก็ถ่วงเวลาได้มากพอที่จะทำให้ยักษ์น้ำแข็งหันมา เตรียมตวัดมีดใส่ธอร์…ภาพที่ทำให้โลกิลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปในวินาทีนั้น
หัวใจของธอร์เย็นเฉียบเมื่อเห็นแผ่นหลังของน้องชายที่ขยับมาแทรกกลางระหว่างตนกับคมมีด ก่อนที่ทั้งสามจะได้แต่นิ่งงันไปอย่างตกตะลึง…เพราะมีดน้ำแข็งแตกกระจายลงเมื่อกระทบผิวของเจ้าชายองค์เล็กแห่งแอสการ์ด ผิวที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทันทีหลังการสัมผัส…สีสันของผู้คนในดินแดนเดียวจากอาณาจักรทั้งเก้า
โยธันไฮม์
เสี้ยววินาทีของความตกตะลึงคือสิ่งที่เขาต้องการ ธอร์โถมตัวเข้าใส่ยักษ์น้ำแข็งที่บัดนี้ไร้อาวุธแล้ว…การต่อสู้ระยะประชิดนี้ไม่ใช่อะไรที่เดาผลยากเลย ในไม่กี่วินาที…คู่อริก็ถูกท่อนแขนของเทพสายฟ้ารัดคอเอาไว้ เพียงแต่ดวงตาสีสดคู่นั้นมองไปแค่ที่องค์ชายผมดำ แววตาสนุกสนานเยาะหยันทำให้สีแดงฉานนั้นยิ่งดูบ้าคลั่ง
“ชาวแอสการ์ดจะรู้สึกอย่างไรนะ…ถ้าพวกมันได้รู้ว่าเจ้าเป็น—”
สายตาของโลกิทำให้หัวใจของธอร์เย็นวาบ…สีหน้าสับสนเหมือนเด็กน้อยหลงทางทำให้เขารู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วง ชายหนุ่มผมทองไม่ต้องการอะไรในวินาทีนั้นมากไปกว่าปกป้องอีกฝ่ายจากความเจ็บปวดทั้งมวลที่เจ้าตัวกำลังรู้สึกอยู่
และนั่นเองที่ทำให้เขาไม่รอให้ยักษ์น้ำแข็งพูดจนจบ…ธอร์เอื้อมออกไป หยิบมีดที่ค้างอยู่ในมือน้องชายมา แล้วกรีดรอยยาวลึกผ่านลำคอสีน้ำเงิน…กิริยาเนิบช้าราวกับต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกหยาดหยด นัยน์ตาสีฟ้าใสมองตามอย่างเยียบเย็นจนกระทั่งแสงสว่างหายไปจากดวงตาของยักษ์น้ำแข็ง ร่างสีน้ำเงินกลายเป็นซากหนักๆ ที่ลงไปกองกับพื้นลำธารเมื่อเทพสายฟ้าปล่อยมือ
“ข้าคิดว่าเผาเสียน่าจะดีกว่า” เสียงของเขาเรียบนิ่ง…ความเย็นเยียบที่ธอร์ไม่รู้เลยว่าน่ากลัวกว่ากิริยามุทะลุใดๆ ตามนิสัยปกติเสียอีก “วิธีนี้เร็วที่สุดแล้ว—”
“ท่านก็เห็นเหมือนที่ข้าเห็น…ธอร์”
เขาถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนที่จะสบสายตากับชายหนุ่มผมดำ…ตั้งแต่เล็ก โลกิจะเป็นฝ่ายไม่รีรอในการชี้ถึงปัญหาเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ในนาทีนี้…นาทีที่ธอร์อยากจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเสียด้วยซ้ำ
“ธอร์”
ชายหนุ่มผมทองหลับตาลงกับคำย้ำนี้ ก่อนจะพูดเบาๆ “ใช่โลกิ…พี่เห็นเหมือนที่น้องเห็น”
อีกฝ่ายรับรู้คำเรียกหาที่ถูกเปลี่ยนให้เหมือนตอนยังเด็กนี้แน่นอน เพราะเจ้าตัวนิ่งไป…ก่อนที่จะพูดตอบ เสียงค่อยไม่ต่างกัน “ข้าไม่ใช่น้องชายของท่าน…ธอร์”
ประโยคนี้คือรอยร้าวสุดท้ายที่ทำให้เขื่อนพังทลาย…ธอร์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนกำลังตะโกน เขาต้องการแค่เพียงจะทำให้เสียงอื้ออึงในหัวเงียบลง….ความบางเบาเมื่อน้ำหนักของความรู้สึกผิดหายไป ความยินดีว่ารสชาติอ่อนหวานที่ซ่านขึ้นในใจยามคิดถึงโลกิจะไม่ใช่ความรู้สึกอันผิดเพี้ยนอีกแล้ว
“เจ้าคือน้องชายของข้า โลกิ” ชายหนุ่มผมทองพูดออกไปแบบนั้น…เพราะไม่ว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นอย่างไร ธอร์ก็ไม่ต้องการจะบอกมันออกไป เพราะเขาไม่คิดเลยสักนิดว่าโลกิจะรู้สึกแบบเดียวกัน ดวงตาสีฟ้าแค่ทอดมองอย่างอ่อนโยนตอนเอ่ยคำ “ไม่สำคัญสักนิดว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะมาจากอาณาจักรใด….ข้าไม่สนใจเลย เจ้าคือน้องชายของข้าเสมอ”
ความว้าวุ่นในแววตาของคนฟังดูจะสงบลง แต่ธอร์ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายยังคงมีอะไรจะแย้ง…ชายหนุ่มจึงชิงพูดต่อเสียก่อน
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านพ่อพาเจ้ามาที่แอสการ์ดเพราะอะไร แต่เชื่อข้าเถอะนะ…ข้าไม่สนใจ เจ้าคือน้องชายของข้าเสมอ” ธอร์พูดประโยคเดิม ก้าวเข้าไปจนยืนเบื้องหน้าอีกฝ่าย…เอื้อมมือออกไปแตะข้างแก้มขาวสะอาด “และท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าเอง…ทุกคนก็รักเจ้า”
โลกิช้อนตาขึ้นมองเขา…และในความใกล้ชิดและเงาที่ทาบทับ ธอร์ก็ไม่รู้เลยว่าแววตาหวานไหวสั่นระริกที่ตนเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองหรือเปล่า
“ท่านรักข้า” อีกฝ่ายทวนคำเบาๆ…ก่อนจะสูดลมหายใจ พูดต่อด้วยเสียงที่ค่อยลง “…เหมือนน้องชาย”
ธอร์รู้ดีว่าตนไม่มีวันเอ่ยคำโกหกคำนี้ออกไปได้ เขาจึงแค่พยักหน้าตอบไป…หัวใจหนักอึ้งอีกครั้งด้วยความรู้สึกของคนที่ต้องทำลายสิ่งที่ตนต้องการมาตลอดลงด้วยมือของตัวเอง
**
คืนนั้น เขาฝันอีกครั้ง
ทุกอย่างแทบไม่ต่างจากเดิม…จะมีก็แค่ประโยคเดียวที่เพิ่มขึ้นมา เพียงแต่ในความฝันของเขา…มันถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าปนหัวเราะ พึงใจและยั่วเย้าอยู่ในที
“ข้าไม่ใช่น้องชายของท่าน…ธอร์”
**
การเติบโตเป็นเรื่องที่ผ่านไปอย่างยาวนานหากก็รวดเร็วนัก…ทำให้ธอร์ตระหนักขึ้นมาได้เมื่อก้าวเท้าเข้ามาสู่เวิ้งทุ่งดอกลิลี่หลังทิวต้นไม้ว่าเป็นวันวานที่นานเกินจะจำเสียแล้วที่ตนมาเยือนที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนหงายเหยียดยาวบนพื้นหญ้า ท้องฟ้าจากมุมนี้เป็นแค่เพียงแสงสีขาวด้านหลังกิ่งไม้มากมายที่เติบโตจนแทรกสานกัน สายลมอ่อนๆ พัดโชย…หอบกลิ่นหอมหวานจางๆ ของลิลี่มาให้แตะจมูก เสียงใบไม้กระทบกันดังกรูเกรียวแผ่วเบา
เมฆเคลื่อนคล้อย…เงาของมันทำให้ธอร์หวนนึกไปถึงเงาจากร่างของน้องชายในวันวานที่ก้มตัวลงมามองเขา รอยยิ้มสมใจแบบเด็กที่เอาชนะตนได้ระบายบนเรียวปาก…ภาพที่ธอร์ยิ้มตามเมื่อคิดถึง นึกอยากยีผมเจ้าตัวแสบให้ยุ่งเหยิงนักเป็นการเอาคืน
การกระทำที่ชายหนุ่มจำได้ดีว่าทำไมถึงไม่เกิดขึ้น…หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาเป็นครั้งแรกในวันนั้น และความสับสนก็ทำให้ลืมสิ่งอื่นไปจนหมด
องค์รัชทายาทถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ก่อนจะหลับตาลง…เขาหลอกตัวเองมาตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่าโลกิไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของตนว่าจะทำอะไรสักอย่างกับความรู้สึกอันยุ่งเหยิงนี้ แต่ก็ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดเลยว่าจะเริ่มต้นอย่างไร จึงไม่มีอะไรถูกแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว
ความมืดหลังเปลือกตานั้นดำสนิท ธอร์รับรู้เพียงเสียงกรูเกรียวของกลีบลิลี่…ไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอหลับไปเมื่อใด เขาลืมตาอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณ…รับรู้ได้ว่ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นใกล้ตัว
“อ้าว ตื่นซะแล้วเหรอ” โลกิพูดด้วยเสียงเสียดาย ไม่แม้แต่จะทักทายใดๆ…ถ้าเป็นสมัยก่อน ธอร์จะไม่แปลกใจสักนิดถ้าในมืออีกฝ่ายจะกอบกำกลีบดอกไม้หรือใบไม้เพื่อเตรียมโปรยมันใส่เรือนผมของเขา
แต่ในตอนนี้ ในมือของโลกิมีแค่เพียงลิลี่ดอกเดียวเท่านั้น
“ทำไมล่ะ…” ธอร์ขยี้ตา “เจ้ากะจะโยนอะไรใส่ข้าล่ะคราวนี้…?”
ชายหนุ่มผมดำกลอกตา เหวี่ยงดอกไม้สีขาวในมือให้หล่นแปะลงบนตัวเขา “วันนี้ท่านพี่โชคดี น้องไม่อยู่ในอารมณ์จะฆ่าใครสักเท่าไหร่”
ธอร์หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหยัดๆ ตัวขึ้นมานั่งเอกเขนก รอให้โลกิทรุดตัวลงมานั่งข้างตนเรียบร้อยดีแล้วจึงค่อยพูดต่อ
“อ่านหนังสือจนหมดแล้วหรือไงถึงยอมออกมาจากห้องสมุด?”
โลกิยักไหล่ พูดหน้าตาย “น้องอยากลองศึกษาชีวิตของหมีป่าน่ะ แต่พอแกะรอยมาเรื่อยๆ กลับกลายเป็นจริงๆ คือรอยเท้าท่านพี่เสียอย่างนั้น”
ธอร์แกล้งยีๆ เรือนผมสีดำสนิทเป็นการเอาคืน เรียกเสียงบ่นอุบจากคนปากดี ก่อนที่องค์รัชทายาทจะหยิบดอกลิลี่บนตักขึ้นมาพิจารณา…ดวงตาสีฟ้าใสทอประกายอ่อนโยนยามหวนนึกถึงความทรงจำ
“เจ้ากะจะเก็บไปให้ท่านแม่หรือ?”
โลกิส่ายหน้า ยิ้มบางๆ “ดอกนี้ท่านพี่เอาไปเถอะ เดี๋ยวน้องค่อยเก็บดอกใหม่ไปให้ท่านแม่”
น้ำเสียงและสีหน้าอันนุ่มนวลทำให้ธอร์เผลอมอง หัวใจเต้นผิดจังหวะแผ่วเบาในอก และก่อนจะทันห้ามตัวเอง…เขาก็พูดเสียงค่อยออกไปแล้ว
“ทำไมทีตอนให้ข้า…เจ้าไม่เห็นทำเหมือนกับตอนให้ดอกไม้ท่านแม่เลย?”
โลกิไม่ได้มองหน้าเขา และประโยคนี้ก็ไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาไปกว่าเสี้ยวหน้าที่ปรายตามามองเพียงเล็กน้อย…หากธอร์ก็มองเห็น ในสีเขียวน้ำทะเลนั้นมีประกายของคำถามกับแววตาอันสั่นระริก…ความรู้สึกที่แสนเศร้าอย่างอธิบายไม่ได้
ถ้าเป็นปกติ อีกฝ่ายควรจะโต้ตอบ ควรจะเอ่ยถ้อยคำใจร้ายอย่างเช่นว่านั่นก็เพราะตนรักผู้เป็นมารดามากกว่า และนั่นก็จะทำให้เขาหัวเราะ แล้วพี่น้องแห่งบัลลังก์แอสการ์ดก็จะกลับพระราชวังไปด้วยกัน
หากสิ่งที่โลกิทำมีแค่เพียงหลับตาลง สูดลมหายใจ ก่อนที่ดวงตาสีเขียวจะช้อนมอง…เพียงเสี้ยววินาที แล้วก็ขยับตัวเข้ามาหา วงหน้าคมคายก้มลงเล็กน้อย เรียวปากดูกลายเป็นสีสดกว่าปกติยามที่แตะลงบนกลีบลิลี่ขาวสะอ้าน
มันเป็นภาพที่ทำให้ธอร์ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด ความฝันอันพร่ามัวทั้งปวงเทียบไม่ได้เลยกับภาพแท้จริงที่ได้เห็นในความใกล้ชิดนี้ ความรู้สึกที่ตอนนี้ไม่มีอะไรรั้งไว้อีกแล้วทำให้ดอกไม้ถูกปล่อยลงอย่างไร้เสียงเมื่อปลายนิ้วเอื้อมออกไป…เชื่องช้าหนักแน่น ประคองอย่างนุ่มนวลหากก็เชยเข้าหาอย่างแข็งขืน ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าจะหยุดความรู้สึกโหยหานี้ลงเสียที
จูบของพวกเขาเป็นสัมผัสอันหนักหน่วงและเร่งร้อน…ส่วนผสมของความสิ้นหวังอันโหยไห้ระคนกับรสชาติอ่อนหวานในหัวใจ ราวกับนี่คือการกระทำสุดท้ายก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะแตกสลาย
เป็นโลกิที่ค่อยๆ ดันเขาออก หากมือเรียวยาวก็ไม่ได้ผละจาก…ปลายนิ้วแตะไล้ที่ข้างแก้มของเขา อ้อยอิ่งแผ่วเบา มอบเวลาให้ธอร์มองลึกลงในดวงตาสีเขียวที่จับจ้องตรงมา ถ้อยกระซิบที่ตามมาไม่ได้มีน้ำหนักมากไปกว่าสัมผัสของปลายนิ้วเลย
“ถึงท่านจะไม่ใช่พี่ชายของข้า” น้ำเสียงอ่อนโยนหากก็แสนเศร้านัก “แต่ท่านก็ไม่มีวันเป็นของข้าได้อยู่ดี…ธอร์”
โลกิยังคงเป็นโลกิเสมอ…บุคคลผู้ไม่รีรอในการจะชี้ถึงปัญหาที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ธอร์ไม่มีทางแก้ใดจะเสนอให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้…สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มมีคือความจริงที่ตัวเขาเองรู้ดีที่สุดมานานแล้ว
“ไม่เลย โลกิ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบ ขยับเข้าไปเพื่อที่จะแตะหน้าผากของตนเข้ากับอีกฝ่าย “ข้าเป็นของเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว…และก็จะเป็นของเจ้าตลอดไปด้วย”
โลกิหัวเราะ อ่อนใจหากก็ขัดเขิน
พึมพำแผ่วเบา “ท่านรู้ไหมว่านั่นไม่ใช่อะไรที่จะช่วยแก้ปัญหาได้เลย…บุตรแห่งโอดิน”
แต่หลังจากประโยคนั้น ชายหนุ่มผมดำก็ขยับเข้ามา…และจูบที่สองของพวกเขาก็บอกให้ธอร์รู้โดยไร้ถ้อยคำว่าถึงประโยคของเขาจะไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจคนฟัง
**
โลกิลืมตาตื่นด้วยสัมผัสแปลกปลอมกับกลิ่นหอมหวานของดอกไม้
ภาพแรกที่ได้เห็นคือร่างสูงใหญ่ที่นอนเคียงข้างอยู่บนเตียงกับเขา เรือนผมยาวสีทองยุ่งเหยิงนิดๆ แต่เจ้าตัวดูจะไม่สนใจเลย…ธอร์กำลังยิ้มสนุกสนานกับการแกล้งโลกิให้ตื่นอยู่ด้วยการเอาดอกลิลี่ในมือเขี่ยปลายจมูกเขาไปมา
ดวงตาสีฟ้าแพรวพรายเมื่อเอ่ยทัก “อรุณสวัสดิ์”
โลกิมองคนที่หยัดตัวขึ้นมานิดๆ จากท่านอนคว่ำอยู่ด้วยสายตาคร้านๆ…ไล่มองไปตามทุกรอยแดงและรอยเล็บบนผิวสีแทน รอยที่ชายหนุ่มรู้ว่าก็คงประปรายทั่วตัวของเขาเหมือนกันจากเมื่อคืน
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แตะแต้ม พูดตอบเนิบช้าด้วยคำเดียวกัน “อรุณสวัสดิ์”
ชายหนุ่มผมทองหรี่ตามอง ถามอย่างคาดโทษปนขันๆ “เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะหา?”
โลกิไม่ปิดบังเสียงหัวเราะของตัวเองแล้ว ส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวลถึงหรอก”
“ถ้าเจ้าจำไม่ได้…ข้าโตมากับเจ้า โลกิ” ธอร์พูดเสียดสี “และเมื่อกี้คือสีหน้าเวลาเจ้ามีความลับอะไรสักอย่างแล้วตั้งใจจะไม่บอกข้า”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มผมดำยังคงยืนยัน “แล้วข้าก็ไม่เคยมีสีหน้า—อื้อ! ธอร์!”
เสียงอุทานปนด้วยเสียงหัวเราะเมื่อเทพสายฟ้าทนความเหลืออดไม่ได้แล้วตัดสินใจแก้เกมด้วยการขยับตัวไปจูบอีกฝ่ายรัวๆ แทน การต่อสู้ที่จบลงด้วยเจ้าชายองค์เล็กถูกกักไว้ในอ้อมแขนขององค์รัชทายาท
“เอาล่ะ” ธอร์ยิ้มกริ่ม “สารภาพมาซะดีๆ”
“ข้าหวังว่านี่จะไม่ใช่วิธีที่ท่านตั้งใจจะใช้ในการเค้นความลับจากใครอื่นนะ บุตรแห่งโอดิน” โลกิพูดเสียดสี ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล…เอื้อมมือขึ้นไปเพื่อสางเรือนผมสีสว่างเบาๆ
“ทีแรกสุดนั่นน่ะ” ความขัดเขินเจือเพิ่มในรอยยิ้ม ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกตาออกให้ “ข้าคิดขึ้นมา…ว่านี่คงเป็นอะไรที่คล้ายๆ เช้าแรกหลังคืนวันแต่งงาน…ก็เท่านั้นเอง”
โลกิไม่ได้พูดอะไรต่อ และปกติแล้วธอร์ก็ควรจะล้ออีกฝ่ายเรื่องถ้อยคำอันหวานซึ้งผิดนิสัยนี้ แต่เขาทำได้เพียงสบสายตากับอีกฝ่าย…เข้าใจโดยไร้การอธิบายใดผ่านดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น
การผูกมัดอันชัดเจนเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ แต่ความลับนี้ก็เพียงพอแล้วตราบใดที่พวกเขาทั้งสองรับรู้ถึงมัน
ธอร์จึงแค่ขยับยิ้ม พึมพำเสียงค่อยหากหนักแน่น
“…ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
กลีบของดอกลิลี่บนผ้าปูเตียงเริ่มช้ำแล้ว แต่ก็ยังคงส่งกลิ่นหอมชื่นจางๆ มาแตะจมูกอยู่ดีตอนที่โลกิหยิบมันขึ้นมา นิ้วเรียวปลิดก้านดอกจนสั้น…แล้วก็แซมมันลงในเรือนผมสีทอง
และเมื่อโลกิขยับยิ้มแล้วโน้มตัวเข้ามาจูบเขาอีกครั้ง…ธอร์ก็ได้แต่ขยับเข้าหาสัมผัสนุ่มนวลนั่น ความรู้สึกในหัวใจให้รสอ่อนหวานเหมือนดอกไม้แรกผลิแห่งฤดูกาล
Fin.
*************************************
ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤
แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ
***********************************
สวัสดีค่ะทุกคน //วิ่งกรี๊ดลงมาจากไบฟรอสต์
เข้าใกล้ช่วงคริสต์มาสแล้ว…ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ทวงฟิค YOI สตาร์บัคส์กันเข้ามา TvT แต่ขอเราแวะแอสการ์ดกันก่อนนะคะกี้ชชชชชช
ฟิคเรื่องนี้ เขียนตอนต้นๆ ไว้นานตั้งแต่ธอร์ภาคแรกแล้วค่ะ แต่ตันๆ ตื้อๆ เลยไม่ได้เขียนต่อ พอไฟลุกพรึ่บในภาคแรคนารอคเลยเอามาปัดฝุ่น เพิ่มอะไรขึ้นมาเยอะกว่าที่คิดมากค่ะ ไม่ได้เขียนวันชอตและไม่ได้เขียนสำนวนแอสการ์ดฟริ้งฟรั้งแบบนี้มานานแล้ว ถ้าแปลกไปตรงไหนก็มองข้ามๆไปทีนะคะ TvT
ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เขียนอะไรเท่าไหร่ จะพยายามอัพบล็อกให้บ่อยขึ้นนะคะ
ด้วยรักและหัวใจขี้ชิปที่ลุกโชนยิ่งกว่าไฟแร็คนาร็อค
ทิพย์เอง
*************************************
ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤
แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ
***********************************
โงยยยยยยยยยยยยยย ฟหดวกสหงฟงฟฟาาฟงฟ ใจน้องงงงงงง ฟูลฟิลลลมากค่ะะ ฮรอออล อ่านแล้วเหมิอนล่องลอยอยู่ในสวนลิลลี่ โฮรลๆๆๆๆ เช้าวันก่อนแต่งงาน ฮือ บรรยากาศละมุมละไมมากค่ะ ❤ ฟิคคู่นี้หาฟิลละมุนละไมได้ยากจริงๆ ;;-;; ฮือว ขอบคุณสำหรับการฟูลฟิลค่ะ
LikeLike
มันละมุนมากจนลืมประเด็นว่ามีความขมเล็กๆในเรื่องไปเลยค่ะ 😂
LikeLike
แงงงงงงงงงงง อ่านๆไปแรกๆก็มุ้งมิ้ง ต่อมาก็ระทึกแล้วตามด้วยอารมณ์เหมือนจะเศร้าแล้วจบแบบอะฮรั้ยยย(?)นี่มันอะไรกันคะ แงงงงงงงงงงงง
บรรยายกิริยาท่าทางน้องกิได้น่ารักมากง่ะ อ่านแล้วแบบ คิดว่าน้องต้องน่ารักมากๆแน่ช็อตนั้นช็อตนี้ แล้วก็ชอบฉากพี่ธอร์กับดอกไม้ด้วย หมีตัวใหญ่ๆมีดอกไม้แปะอยู่ก็ไม่เลว นั่ลลั๊คคคคค์
ขอบคุณสำหรับฟิคงุ้ยๆนะคะ รออ่านผลงานต่อไปเลยค่าา><
LikeLike
แว น้องเขินเหลือเกิน ฮือออออออออออออ ชอบคาร์น้องกิมากเลยค่ะ /////// พี่ชรัยนี่ก็ชอบขู่ไปทำโทษจังเลย 5555
เยียวยาจิตใจเหลือเกิน ขอบคุณค่า
LikeLike
น่ารักเหลือเกินนนน ถ้าพี่ชายเป็นแบบนี้รับร้องไม่มีแล้วavenger1-2 thor2-3 ฮาๆๆ มันจะจบตั้งแต่thor1 เลย แล้วก็จบแบบ happy ever after ด้วย ชอบสำนวนจังเลยค่ะ ละมุนละไมมากๆ
LikeLiked by 1 person
โอ๊ยยยยยยยฮืออออออแงงงงงงงงงงง ;//////; *อมยิ้มแก้มแตก*
ฟิคนี้ละมุนและที่สุดของความดีต่อใจเลยค่ะพี่ทิพย์ โฮๆๆๆๆๆๆๆ โลกิน่ารักเหลือเกินนนน ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายแล้วนอกจากคำวาาร่ารัก!น่ารัก!!น่ารัก!!! /ปาใจใส่รัวๆ❤️❤️
ชอบบรรยากาศในเรื่องมากค่ะ ไม่รู้จะบรรยายยังไงแต่ชอบ ชอบมากก สามารถคิดภาพตามคำบรรยายพี่ทิพย์ได้ฉากต่อฉากเลยค่ะฮืออ รู้สึกเหมือนกำลังทั้งอ่านฟิคทั้งดูหนังสักเรื่องที่โทนปลอบประโลมใจมากๆ โอ๊ยย รู้สึกอยากกินฟิคนี้เข้าไป(?) อยากกินน้องกิด้วย น่ารักเกินไปแล้วพ่อคุณเอ๊ยย *โดนสายฟ้าฟาด*
พี่ชรัยก็ ‘เอ็นดู’ น้องจริงจริ๊งง หมั่นไส้ค่ะ หมีป่าจำเป็นต้องโชคดีขนาดนี้เลยเหรออ นึกภาพธอา์ทำหน้าทะเล้นๆอวดคนทั้งโลกและ loki’s army เลยค่ะว่า ‘เป็นไงล่ะ บ้านเจ้าไม่มีโลกิของข้าล่ะสิ’ ฟฟฟฟฟ
โอยย ปลาว่าต่อให้ทวิตมี280ตัวอักษรก็สครีมฟิคพี่ไม่หมดค่ะ55555555 นี่มันยิ่งกว่าแฮปปี้เอนด์ดิ้งที่รอคอย เป็นฟิคที่เยียวยาจิตใจได้ดีเหลือเกินน รู้เลยว่าถ้าเรือแตกในav3จะเข้าแหล่งกบดานอ่านฟิคนี้แน่ๆ— แค่ก
ขอบคุณที่แต่งฟิคนี้นะคะพี่ทิพย์ ;;///////;;
LikeLike
ฮือออ ละมุนมากกกกก ขอแบบพี่ธอร์ซักคนสิคะ 😳😳😳😳😳😳😳😳
LikeLike
ฟิคของพี่ทิพย์ยังทำให้หัวใจคนอ่านระทวยได้เหมือนเดิมเลยค่ะ ฮือออ รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยามากก TvT ขอบคุณสำหรับฟิคละมุนๆแบบนี้นะคะ จะคอยอ่านเรื่องต่อๆไปค่า
LikeLike
อ้าวเมื่อกี้เครื่องค้าง
ไม่ได้อ่านฟิคThorkiนานมากกกกก มันละมุนมากค่ะน้องงงง มันดีต่อใจ รสชาติเหมือนค่อยๆละเลียดทีรามิสุ
ชอบการบรรยายฉากมากเลย ทุ่งลิลลี่มีประกายแดดสีทองนี่มันฟหกกหหดกหด นี่มันสถานที่เดทในอุดมคติชัดๆค่ะ ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ ไม่มีใครไม่เผลอใจหรอกเนอะะะะะ
มีช่วงหน่วงนิดนึง ตอนแรกกลัวจะดราม่ามาก แต่ดีนะที่ตัดดราม่าเร็ว แฮปปี้อิ่มมากค่ะ
*เปิดเพลงPerfectของEd Sheeranตอนอ่านฟิคให้เข้ากับบรรยากาศของเรื่อง*
LikeLike
มันดีมากอ่ะไรทททท์ งื้ออออ
LikeLike