* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *
*************************************
the song that inspired this fanfiction: Mojito by Red Velvet >> listen
*************************************
Part 1 — Emerald Green
I met you during a tiring day, you are my holiday
If you are Friday, I don’t need Saturday
สีสันรอบตัวนั้นจัดจ้าและแปลกใหม่นักเมื่อเทียบกับเมืองสีเทาที่เขาอยู่มาตลอดชีวิต
นั่นเป็นสิ่งที่โลกิคิดตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนกระทั่งถึงตอนนี้…ขัดกันนักกับนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนียดูเป็นรัฐที่มีแต่ความสดชื่นและแสงแดด ผสมเพิ่มเติมด้วยสีน้ำเงินของเกลียวคลื่นเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาในบ้านใหม่อันว่างเปล่าของตัวเองแล้วมองผ่านหน้าต่างสู่ด้านหลังบ้านออกไป
ที่ดินติดชายหาดแบบนี้ราคามหาศาล และก็ไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของบ้านหลังใหญ่ที่เพียงพอให้ครอบครัวขนาดย่อมอยู่ด้วยกันได้แบบนี้ในแคลิฟอร์เนียเลย…โลกิรู้ตัวดีว่าตนทำงานทั้งชีวิตก็ไม่มีทางแม้แต่จะซื้อสนามรอบบ้านได้ การที่เขาได้มายืนอยู่ตรงนี้พร้อมกล่องข้าวของทั้งหมดที่มีนั้นเป็นอะไรที่ยังให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงอยู่เลย…โลกิเติบโตมากับระบบการรับเลี้ยง และก็ชินกับสถานะตัวคนเดียวเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย คำว่าครอบครัวไม่เคยมีบทบาทอะไรในชีวิตเลยเสียจนโลกิแทบลืมไปแล้ว…นั่นจึงทำให้เมื่อได้รับโทรศัพท์ชี้แจงว่านามสกุลที่ใช้มาตลอดชีวิตนั้นไม่เคยเป็นนามสกุลของเขาเลย ชายหนุ่มผู้จิกกัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ว่องไวอย่างเขาก็มีนาทีของการพูดอะไรไม่ออกเลยเหมือนกัน
ความจริงที่ได้รับรู้จากโทรศัพท์สายนั้นทำให้โลกของโลกิเหมือนถูกผลักคว่ำจนตัวเขาเองก็จำมันไม่ได้…ปรากฏว่าเขาคือลูกชายคนเดียวของลาฟีย์ นักธุรกิจที่ชื่อขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจอยู่เสมอ เหตุผลที่โลกิไม่เคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อนเป็นเพราะว่าแม่ของเขาเป็นแค่คู่นอนคนหนึ่งของลาฟีย์เท่านั้น แต่ในเวลาช่วงสุดท้ายของชีวิต…ลาฟีย์ก็คิดได้แล้วสั่งให้ตามหาตัวเขา
ไม่มีคำพูดใดให้กันได้…เพราะโลกิถูกตามหาพบในวันที่ลาฟีย์หมดลมหายใจแล้ว เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผู้เป็นพ่อเปลี่ยนใจ…แต่มรดกที่ได้รับนั้นทำให้ปัญหาเรื่องเงินกู้ในการเรียนมหาวิทยาลัยกับค่าเช่าอพาร์ตเมนต์กลายเป็นเพียงฝุ่นผง และเมื่อได้รู้ว่าลาฟีย์ได้มอบบ้านหลังใหญ่นี้ให้เขาไว้ด้วย…โลกิก็ตัดสินใจหางานใหม่ แล้วย้ายจากเมืองสีเทามายังดินแดนติดทะเล ณ อีกฝั่งประเทศแทน
ชายหาดแห่งนี้เงียบสงบไร้ผู้คน โลกิเดินออกไปยังระเบียงเล็กๆ หลังบ้านแล้วนั่งแปะลงบนพื้นไม้…ดวงตาทอดมองเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาไม่เคยรู้สึกผูกพันอะไรกับนิวยอร์ก แต่ภาพธรรมชาติอันสวยงามของแคลิฟอร์เนียก็ไม่ได้ทำให้โลกิรู้สึกอะไรเท่าไหร่นักเช่นกัน และนั่นเองที่ทำให้ในใจของชายหนุ่มว่างโหวงอย่างประหลาด…ความรู้สึกเหมือนลูกโป่งอันไร้ที่ยึดเหนี่ยว ข้อสงสัยจางๆ ว่าจะต้องเป็นอีกนานแค่ไหนกันที่ตนถึงจะรู้สึกเหมือนได้พบบ้านเสียที
ความรู้สึกแบบนี้ให้รสชาติอ่อนแออย่างที่โลกิเกลียดที่สุด นั่นจึงทำให้เขารีบผุดลุกขึ้น แล้วก็ทำให้ตัวเองลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียด้วยการเริ่มต้นรื้อกล่องข้าวของออกมาจัดแทน งานใหม่ของเขาที่แคลิฟอร์เนียจะเริ่มต้นในอีกเดือนกว่า แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจย้ายมาเลยเพราะตั้งใจจะใช้เวลานี้ในการปรับตัว
บ้านหลังนี้ใหญ่และมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ในตัวเสร็จสรรพ ทำให้รายการของที่ชายหนุ่มผมดำต้องซื้อเพิ่มเหลือแค่เพียงสิ่งที่ไม่จำเป็นตอนที่อยู่นิวยอร์กเท่านั้น…โลกิไม่เคยเป็นคนที่ชอบออกไปใช้ชีวิตในลมทะเลหรือแสงแดด แต่ในเมื่อต่อไปนี้รอบตัวของเขาจะรายล้อมไปด้วยทิวทัศน์แบบนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงคิดว่าก็เป็นเวลาอันดีเสียทีที่ตนจะเริ่มมีชุดว่ายน้ำหรือกางเกงเซิร์ฟไว้ติดบ้านบ้างเสียที
“นี่มันบ้าไปแล้ว”
ประโยคสบถนี้เป็นคำติดปากของเขาตั้งแต่เข้ามาในบ้าน…โลกิพูดมันใส่รถราคาแพงที่จอดให้รอพร้อมใช้ในโรงรถ ใส่สระว่ายน้ำตรงข้างนอกบ้าน ใส่ตู้เสื้อผ้าที่เป็นห้องบิวด์อินเข้าไป ใส่ห้องน้ำและห้องนอนที่ใหญ่โตหรูหราเหมือนหลุดออกมาจากโรงแรมห้าดาว
และที่สำคัญที่สุด…ใส่สิ่งแปลกปลอมที่ตัวเองค้นพบตอนอีกสามวันถัดมา
**
สิ่งแรกที่โลกิทำหลังสบถออกมาก็คือยืนมองมันด้วยดวงตาที่กะพริบปริบๆ
พื้นที่รอบบ้านของเขานั้นแบ่งเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือสนามแคบๆ ที่เป็นเหมือนพื้นที่ปลูกหญ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ ระหว่างตัวบ้านกับรั้วมากกว่า ส่วนอีกด้านคือสระว่ายน้ำ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าสิ่งแปลกปลอมนี่บุกเข้าเขตบ้านมาได้ยังไง แต่ก็เดาเอาจากรอยทรายเป็นทางว่ามันคงมุดผ่านรั้วประตูหลังที่เปิดสู่ชายหาดแล้วเดินลั้นลามาจนนั่งสบายใจอยู่บนเปลญวนข้างสระว่ายน้ำนี้เอง
หลังจากมองมันเอกเขนกอยู่บนเปลที่ไกวเบาๆ ไปมาสักครู่ โลกิก็พูดใหม่
“เอาล่ะเจ้าก้อนขน” ชายหนุ่มผมดำกอดอก “แกต้องออกไป เดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์จิ๋วไม่ทำอะไรมากไปกว่าอ้าปากหายใจแฮ่กๆ เหมือนยิ้มตอบมา จึงเห็นได้ชัดว่าถ้อยคำของโลกิไม่ได้สื่อสารไปถึงมันได้เลย
เพราะเขาอยู่คนเดียว โลกิจึงอนุญาตให้ตัวเองยกมือขึ้นมาเสยผมพร้อมคำรามฮึ่มเบาๆ…ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะก้มตัวลง จ้องลึกลงไปในดวงตาโตสีดำของลูกหมา
“แก-ต้อง-ออก-ไป” เขาพูดเสียงดุ “เดี๋ยว-นี้”
เจ้าหมายิ้มกว้างกว่าเดิม แล้วก็แลบลิ้นมาเลียหน้าเขาแผล่บๆ
โลกิผงะหนี และนั่นก็ทำให้เกือบหงายหลังหล่นลงไปในสระว่ายน้ำ…ดีที่เขารั้งตัวให้แค่ลงไปนั่งได้ทัน หากก็มีอันได้ลงไปนอนแผ่จริงๆ อยู่ดีเมื่อเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์จิ๋วพุ่งตามมา นั่งทับตัวเขาพร้อมไซ้หน้าของโลกิรัวๆ
ชายหนุ่มเงยหน้าหลบเท่าที่ทำได้ ก่อนจะพึมพำออกมา
“หมาเวรเอ๊ย…”
**
โลกิไม่เคยคิดอยากเลี้ยงสัตว์ และถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่อยากเลี้ยงก้อนขนบ้าพลังอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ด้วย นั่นจึงดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่โชคชะตาจะส่งหมาเวรตัวจิ๋วนี่เข้ามาวุ่นวายและไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องตัวเองไปเสียที
เจ้าตัวแสบไม่มีปลอกคอ แถมจากการขับรถวนๆ สำรวจอาณาบริเวณใหม่แถบนั้น โลกิก็ไม่เห็นป้ายประกาศหมาหายเลย และเขาก็ไม่มีความคิดในการจะไปไล่เคาะประตูบ้านทุกหลังเพื่อถามด้วย นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มจึงได้กลับบ้านมานั่งปวดหัวที่โซฟาทุกวัน เคียงข้างด้วยก้อนขนบ้าพลังที่นั่งตาใสน้วยๆ เขา
(โลกิไม่ไว้ใจไอ้ตัวแสบนี่เลยสักนิดเดียว เขามั่นใจว่าเจ้าหมานี่รู้ตัวว่าสายตาหงิงๆ ของมันสามารถละลายแม้แต่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบของขั้วโลกเหนือได้)
ชายหนุ่มเลยได้แต่สบถยาวเหยียดในใจตอนที่ยืนจ่ายเงินค่าอาหารเม็ดที่ร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง และก็ครางอย่างงุ่นง่านเมื่อรู้สึกได้หลังปิดไฟไปแล้วว่าไอ้ลูกหมานี่ปีนขึ้นมาซุกๆ ตัวนอนด้วยบนเตียง เขาพยายามดุมัน แต่สุดท้ายก็คำรามออกมายาวๆ แล้วเดินไปอุ้มมันกลับมาเมื่อเจ้าหมาน้อยร้องหงิงๆ เบาๆ มาจากบนพื้นหลังถูกไล่
“หมาเวรเอ๊ย…”
โลกิพึมพำ แม้จะกอดเจ้าตัวเล็กตอบเมื่อมันซุกตัวเข้ามาหาอย่างร่าเริง
**
การย้ายบ้านมายังเมืองใหม่ที่สภาพแวดล้อมคนละเรื่องและไม่มีใครที่ตัวเองรู้จักเลยนั้นเป็นอะไรที่ให้รสชาติเหงาอย่างบัดซบที่สุด
แต่โลกิไม่มีวันจะยอมรับความรู้สึกนี้ออกมาตรงๆ หรอก
ลูกหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เป็นก้อนขนบ้าพลังที่น่ารำคาญที่สุดในโลกแถมยุ่มย่ามกับเขาไม่หยุด และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มลืมความจริงที่ว่าตนโดดเดี่ยวแค่ไหนในเมืองสีสันสดใสแห่งนี้ไปได้บ้าง
ซึ่งโลกิก็ไม่มีวันจะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ออกมาตรงๆ ด้วยเหมือนกัน
**
บ้านหลังใหญ่นี้เลิกให้ความรู้สึกเหมือนโรงแรมด้วยข้าวของแบบมนุษย์ปกติที่โลกิซื้อหาเข้ามาตอนอีกสัปดาห์ถัดมา นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มเดินหน้าสู่แผนถัดไป…การสำรวจชายหาดอย่างละเอียด
ชายหาดหลังบ้านนี้ไม่ใช่หาดส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ติดโรงแรม จึงมีแค่กลุ่มคนที่โลกิพอเดาได้ว่าคือเพื่อนบ้านในแถบนั้นของตนกับคนที่เดินทางมานั่งกินลมชมวิวเล่นเท่านั้นบนชายหาด แดดปกติของที่นี่ยังคงแรงเกินไปสำหรับเขา…ชายหนุ่มจึงปล่อยให้เจ้าหมาน้อยลงไปเล่นทะเลตามใจ แต่ตัวเองนอนเหยียดยาวอยู่บนผ้าที่ปูบนพื้นทราย หลบใต้ร่มคันใหญ่ที่ปักไว้ถือว่าข้อเท้าที่โดนแดดอยู่บ้างนั้นเป็นการดื่มด่ำกับชายหาดที่เพียงพอแล้ว
เขาพลิกนิตยสารไปได้ครึ่งเล่มตอนที่เงาทะมึนของหมาเปียกน้ำทาบทับลงมา
โลกิสบสายตาแป๋วแหววของมันชั่วครู่ ก่อนจะพูดหนักแน่น “ไม่”
ดวงตาโตสีดำกะพริบหงิงๆ…ชายหนุ่มเลยยกนิตยสารขึ้นมาบังสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเจ้าหมางับปึกกระดาษแล้ววิ่งพรวดลงทะเลไปเลย
“เฮ้!!”
ร่างสูงโปร่งผุดลุกตามไปอย่างลืมตัว แล้วเมื่อรู้ตัวอีกที…เขาก็ลงมายืนในทะเลแล้วเรียบร้อย
เจ้าหมาเห่าบ็อกๆ อย่างสุขใจ ว่ายน้ำพั่บๆ เข้ามาหาโลกิพร้อมกับคายนิตยสารที่ชุ่มทั้งน้ำลายและน้ำทะเลให้…ปึกกระดาษลอยเท้งเต้งบนเกลียวคลื่น
โลกิถลึงตาใส่เจ้าตัวแสบ ม้วนนิตยสารเป็นวงเพื่อเคาะหัวมันเบาๆ ก่อนจะเหวี่ยงไปวางแปะบนพื้นทราย การกระทำที่ทำให้หมาน้อยสะบัดหางพั่บๆ ไปมาจนน้ำทะเลกระจายอย่างดีอกดีใจ
**
เขาเล่นน้ำทะเลกับเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์จนเหนื่อย ผิวอาจแสบเพราะแสงแดดและเม็ดทราย…แต่ก็เป็นความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยหาได้ในนิวยอร์กมาก่อนเลย โลกิเดินช้าๆ กลับมาที่ผ้าปูกับร่มของตัวเอง นอนแผ่ลงไปพร้อมถอนหายใจยาวๆ…เหนื่อยจนเหมือนแขนขาปวกเปียกไปหมด เหนื่อยเสียจนไม่ส่งเสียงไล่เมื่อเจ้าหมาเดินมานอนพาดทับบนหน้าท้องของเขา
ชายหนุ่มพูดโดยไม่ลืมตา “ถ้าฉันผิวลอกนะ…ฉันจะจับแกไปทำเป็นพรมแน่”
แน่นอนว่าเจ้าตัวแสบไม่สนใจ มันหลับฟี้ไปแล้ว
สายลมพัดโชย…โลกิเองก็ใกล้ๆ จะเคลิ้มไปแล้วเหมือนกันตอนที่ได้ยินเสียงดังลั่นเหมือนฟ้าผ่าดังขึ้นเหนือหัว
“คริส!!!”
เขาสะดุ้งขึ้นมานั่ง เจ้าหมาบนหน้าท้องของเขาครางประท้วงเมื่อมันไหลลงมาแผละบนตัก ก่อนจะหูตั้ง หางสะบัดอย่างร่าเริงพร้อมเห่าตอบเมื่อเจ้าของเสียงเรียกคำเดิม
“คริส!”
โลกิมองไป รับภาพของคนที่ปลุกตนอย่างไร้มารยาทที่สุดเข้าสู่สายตา…ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ เรือนผมยาวสีทองถูกมัดไว้เป็นหางม้ายุ่งเหยิง ดวงตาสีฟ้าอ่อนจางเหมือนยามเช้าของฤดูร้อน ร่างกายกำยำนั้นเป็นสีแทนแบบคนที่ออกแดดสม่ำเสมอ
หน้าของเขาร้อนวาบขึ้นมาเมื่อคิดถึงตรงนี้ โลกิโทษทันทีว่าเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่แรงเกินไป
แต่ผิดกันกับเขา…อีกฝ่ายดูจะมองแค่เจ้าหมาน้อยเท่านั้น ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกางออกนิดๆ พร้อมเรียกซ้ำ
“คริส! มานี่เร็ว!”
โลกิได้สติด้วยเสียงนี้ เขาเอื้อมแขนออกไปกอดเจ้าหมาน้อยไว้แนบอกทันที แล้วก็กระชากเสียงโต้ตอบ “นายคิดว่าตัวเองทำบ้าอะไรอยู่น่ะหา??!!”
ชายหนุ่มผมทองขมวดคิ้ว เสียงทุ้มต่ำพูดสวน “นี่มันหมาของฉัน”
“ไม่จริง” โลกิโต้ฉับ แต่ก็พูดไม่เต็มปากนักทีหลัง “นี่มัน…เอ่อ…หมาของฉันต่างหาก”
การที่อีกฝ่ายยืนค้ำหัวเขาอยู่แบบนี้ทำให้ชายหนุ่มผมดำรู้สึกเสียเปรียบชอบกล โลกิเลยผลักร่มออกแล้วยืนขึ้นบ้างทั้งๆ ที่ยังกอดเจ้าลูกหมาไว้อยู่…สบถในใจเมื่อพบว่าความสูงที่เกินมาตรฐานแล้วของตนก็ยังแพ้ส่วนสูงของคนตรงหน้าอยู่ดี
ดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นดูงงๆ ไปนิดหน่อยเมื่อเห็นเขาชัดๆ…ก่อนจะพูดเสียงอ่อนลงเมื่อสัมผัสได้ว่าโลกิเตรียมมีเรื่องเต็มที่แล้ว
“ฟังนะ” ชายหนุ่มผมทองอธิบาย “เจ้าตัวเล็กนั่นชื่อคริส ฉันเพิ่งรับมันมาเลี้ยงเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มันเลยยังชอบสำรวจไปทั่วอยู่…แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนมันก็หายไปจากบ้าน”
โลกิเงียบไป เขาพบกับเจ้าหมานี่เมื่อเวลาราวๆ นั้นเหมือนกัน
“ถ้าฉันเข้าใจผิด ก็ต้องขอโทษด้วย แต่…” ชายหนุ่มผมทองขยับเข้ามาใกล้พร้อมเรียกชื่อเดิมอีกครั้ง ซึ่งเจ้าหมาน้อยก็เห่าตอบอย่างสุขใจ แถมตะกายๆ แขนโลกิให้ปล่อยด้วยเพื่อจะไปหาอีกฝ่าย “ดูสิ…”
เจ้าหมาน้อยตะกายไม่หยุดจนเขาต้องทรุดตัวลงเพื่อปล่อยมันลงพื้น…ซึ่งเจ้าตัวแสบก็พุ่งปราดไปหาชายหนุ่มผมทองทันที หางสะบัดไปมาพร้อมกระโดดหยองแหยงไม่หยุด…เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เองก็ตื่นเต้นเวลาเจอโลกิ แต่ไม่ใช่อาการอันมากมายแบบนี้เลย นั่นจึงทำให้เขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่ฝ่ายมีสิทธิ์มีเสียงอะไรแล้วในเรื่องนี้
แล้วจู่ๆ ในนาทีนั้น…ความรู้สึกเหงาๆ อันว่างโหวงก็ซ่านขึ้นในใจ รุนแรงกว่าที่ควรเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้
โลกิสูดลมหายใจ บอกตัวเองให้เลิกคิดไร้สาระแบบนี้เสีย
“โอเค” เขาพูดสั้นๆ…เสทำเป็นหันไปเก็บของอันมีไม่กี่ชิ้นของตัวเองขึ้นมาถือ พูดโดยแทบไม่มองอีกฝ่าย “ดีใจด้วยที่นายเจอหมาแล้ว ลาก่อนนะ”
เรื่องควรจบแค่นั้น เจ้ามนุษย์ผมทองหน้าโง่นี่ปล่อยให้โลกิเดินฉับๆ กลับบ้านไป แต่แน่นอนว่าสวรรค์เกลียดเขา…เพราะอีกฝ่ายก็ยังส่งเสียงตามมา
“ฮะ-เฮ้! รอก่อนสิ!!”
โลกิจำต้องหันไป เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างของใบหน้าและร่างกายอันฮอตมากของอีกฝ่าย ถามเสียงเรียบ “อะไร???”
“เอ่อ…นาย…นายอุตส่าห์ดูแลคริสให้ฉันตั้งนาน” ชายหนุ่มผมทองพูด “ฉัน…ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายเลย”
“เจ็ดวัน ฉันดูหมานั่นให้นายแค่เจ็ดวัน” โลกิแก้ เตรียมตัวจะหันหลังให้ แต่ก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง
“เอ่อ…” เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผมทองกำลังหาทางอย่างเฉพาะหน้าที่สุด ก่อนจะตาวาวเมื่อคิดได้ “อย่างน้อย…อย่างน้อยก็มากินข้าวเย็นที่บ้านฉันเถอะนะ! ถือว่าเป็นการขอบคุณไง!”
“ไม่ต้องหรอก” โลกิตอบทันที พูดตามมารยาทเป็นการตัดบท “ขอบใจ”
“มาเถอะนะ” เจ้าผมทองหน้าโง่นี่ทำเหมือนเขาตอบอีกอย่าง “โอเคนะ เย็นนี้เจอกันนะ”
โลกิรู้สึกอยากเหวี่ยงร่มใส่อีกฝ่ายนัก “บอกว่าไม่ไง”
“ได้” ร่างสูงใหญ่นั่นเริ่มล่าถอยแล้ว “เย็นนี้นะ เดี๋ยวฉันมารับเอง บ้านนายหลังนี้สินะ”
“ไม่ใช่” โลกิโกหกทันที “ไม่ต้องมานะ”
แต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะพร้อมก้าวเร็วๆ จากไป เจ้าหมาจิ๋วเห่าบ็อกๆ ทิ้งท้ายมาจากในอ้อมแขนเจ้าตัว
โลกิคำรามออกมาฮื่อยาวๆ อย่างงุ่นง่านก่อนจะกระแทกเท้าเข้าบ้าน
tbc.
*************************************
ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤
แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ
*********************************
สวัสดีค่ะ ไฟติ่งขี้ชิปยังคงเผาแอสการ์ด เพราะงั้น…นั่นแหละค่ะ แซงทุกสิ่งอย่าง เอาชนะบรรยากาศคริสต์มาส กลายมาเป็นธอร์กิเที่ยวทะเลกันอยู่ตรงนี้
ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไม อยู่ๆก็อยากเขียนถึงอะไรสดชื่นๆทะเลๆ…รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกเลยที่ย้ายจากฝั่งนิวยอร์กมาเขียนเรื่องในแคลิฟอร์เนียบ้าง เป็นการเขียนแบบคิดปุ๊บเขียนเลย เพราะฉะนั้นข้อมูลคงไม่ถูกต้องไปซะหมดนะคะ อ่านไปแล้วเจออะไรแปลกๆก็มองข้ามนะคะ ฟิ้วววว
ตอนตรวจต้นฉบับเพิ่งรู้สึกว่า โลกินี่พจมานแห่งแคลิฟอร์เนียนี่นา ถถถถถ
ฟิคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงโปรดของเราค่ะ ชอบเพลงนี้ของเรดเวลเวทมากเลย พอคิดๆไปเดียฟิคเลยเปิดฟัง ได้มาเป็นชื่อเรื่อง+คำเปิดเลย ฮี่ๆ
บทต่อไปจะตามมานะคะ แล้วเจอกันค่ะ
ทิพย์เอง
*************************************
ทำcomment boxเป็นกูเกิลดอคแล้วค่ะ ไม่ต้องlog inอะไรเลย สะดวกดี จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องไหนๆก็เม้นได้หมดเลยนะคะ ❤
แต่ถ้าสะดวกเม้นในเอนทรีเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ >< ขอบคุณมากนะคะ
*********************************
แงงง น่ารักจังเลย ชอบบรรยากาศละมุมละไมจากนิยายของพี่มากเลยค่ะ ฮือ ชอบมาตั้งแต่where our hearts belong แล้ว โอ๊ยย งานดีมากเว่อร์ อยากอ่านตอนต่อมากเลยค่ะ ปักธงรอเลยนะคะ ><
LikeLike
ทีแรกเราแอบคิดว่าน้องหมานั่นคือธอร์ซะอีกค่ะ 5555555555555 (เดี๋ยวๆ แฟนตาซีไปมั้ย)
ชอบบรรยากาศมากค่ะ อ่านแล้วชิลล์ๆคลายเครียดดี แถมมีน้องหมาดุ๊กดิ๊กด้วยเราเลยยิ่งฟินค่ะ ฮาาา
อีกอย่างคือประทับใจความดุรั้ยเล็กๆของโลกิ นึกภาพตอนน้องแง่งๆกับหมาบ๊องแล้วจะต้องน่ารักมากๆแน่ T///T
รออ่านต่อนะค้าาา
LikeLike
น่ารัก น่ารักมากๆเลยค่ะ >_<
LikeLike
น่ารักมากเลยยยย อยากให้เขียนต่อจังเลยค่ะ ชอบมากๆ 😍
LikeLike
กี๊สสสสสส พี่คะะะะะ *ถูกถาโถมไปด้วยฟีลลิ่ง*
นึกว่าน้องหมาจะเป็นธอร์เหมือนกันค่ะ 5555 ฟิคที่มีก้อนขนคือฟิคที่ดี อยากเห็นซะแล้วค่ะว่าเรื่องจะเดินไปทางไหน (*≧∀≦*)
LikeLike
อมกกก น่ารักก ธอร์กิริมทะเล เป็นบรรยากาศที่ดีจังเลยค่ะ TwT ธอร์กิท่ามกลางแสงแดดสดใสและเกลียวคลื่น ดีต่อใจเหลือเกิน ฮือออ
เจ้าก้อนขนบ้าพลังน่ารักมากก คุณเจ้าของก็ดื้อตาใสอย่างน้องหมาเป๊ะเลย555555 คนน้องคงไม่เหงาแล้วแหละ มีเรื่องให้กุมขมับแทน งื้อ
ติดตามผลงานพี่ทิพย์มานานแล้ว ยังประทับใจในสำนวนภาษาเหมือนเดิม รับรู้ได้ถึงความละมุนน ;////; ชอบมากๆเลยค่ะ♡♡♡
LikeLike
ฮวากกกกกก น่าร้ากกกกกกกโกลเด้นนิสัยพี่ท้อlolol ชื่อหรูมากเลยทีเดียว ละมุนมากๆเลย ชอบตอนนุ้งกิแง่งๆกับหมาแต่พอเจ้าของมาดันไม่อยากให้มันไป รออ่านตอนต่อไปนะคะ ~\(≧▽≦)/~
LikeLike
ฟิคน่ารักมากเลย แอบสงสารโลกิเบาๆน้องดูเหงาๆนะ แต่พอเจอพี่ธอร์ก็หายเหงาแล้วแหละ
ชอบบรรยากาศชายทะเลในเรื่องมาก ดูชิลๆผ่อนคลายดี
LikeLike
อยากหวีดอยากร้องมากๆเลยค่ะ อร่อยอะไรแบบนี้ ชอบความซึนเดเระปากไม่ตรงกับใจของโลกิสไตล์คุณทิพย์มากกกก แล้วเจ้าหมาน้อยนั่นโอ้ยย บรรยายซะเห็นภาพชัดเลย5555 รอตอนต่อนะคะจู้ๆ เปลี่ยนมาเขียนเรื่องของฝั่งแคลิฟอร์เนียแบบนี้ก็ดูสดชื่นดีค่ะ อ่านไปได้กลิ่นทะเลไป เอ๊ะ55
LikeLike
รู้เลยนะคะว่านิสัยขี้ตื้อของน้องคริสนี่ได้แต่ใดมา 😂😂😂😂😂
คิดถึงฟิค thorki ของคุณทิพย์มากๆ
ขอให้เรื่องนี้เป็นฟิคยาว จนได้รวมเล่มนะคะ 😄😄😄
LikeLike
ฮว้ากกกกกกกกกกกกกกก ฮว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฮว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก //ชีช้ำกะหล่ำปลีจากเทรลเลอร์สงครามหัวมันม่วงแล้วได้ฟิคพี่ทิพย์ชโลมจิตใจ
เอ็นดูโลกิฟิคนี้มากเลยข่าา โถ เด็กมีปมแต๊ๆ เหงาใช่มั้ยลรูกกก อีกไม่นานหนูจะมีคนมาวุ่นวายใจให้ไม่เหงาแล้วน้าาาาาาา *ชูนิ้วโป้งให้เจ้าคริส ทำได้เยี่ยมมาก!*
อิพี่ท้อก็ตื๊อแล้วตื๊ออีก ตื๊อเสมอต้นเสมอปลายด้วยใบหน้าบื้อๆนั่นน แอบขำตรงที่พยายามหาทางรั้งน้องกิไว้ ขำความตาวาวตอนที่คิดแผนได้ปัจจุบันทันด่วน ว่าแต่ทำไมต้องรั้งน้องเขาไว้ขนาดนี้ล่ะคระถ้าคนมันไม่ได้คิดอะไรในกอไผ่/ครุ่นคิส
บรรยากาศชายทะเลชวนผ่อนคลายสบายใจมาก ฮึกก อิพี่ท้อจะมาเป็นแสงแดดสะท้อนหาดทรายให้น้องกิได้แน่ๆ นี่มันดีต่อใจเหลือเกินค่ะโฮรวววววววววววววววว รอติดตามตอนต่ออย่างใจจดใจจ่อเลยนะคะ!!!
LikeLike
กรี๊ดดดดดด คิดถึงพี่น้อง(?)คู่นี้จัง 555 เริ่มเรื่องมาก็จะวางมวยกันแล้ว เห็นแววมีคนโดนตื้อแน่ๆเลย ก๊ากกกก น้องคริสน่ารักมากจังงง อ่านแล้วนึกภาพออกเลย ตลกตอนเรียกก้อนขน ฮาาาา เรื่องนี้มีความเหงาและความฮ็อต ชอบความแตกต่างนี้ แอร๊ยย รอตอนต่อนะคะพี่ทิพย์ น่าร๊ากกกกกก
LikeLike
ฮืออออพี่ทิพพพพพย์ ไม่ได้อ่านฟิคธอร์กิมานานมากเลย จนกระทั่งมาภาคสามนี่และค้นไปเรื่อยก็เจอของพี่ทิพย์โฮฮฮฮดีใจมากเลยค่ะ เพราะจะได้อ่านสำนวนดีๆของพี่อีกแล้ววว
น้องกิซึนเสมอต้นเสมอปลายมากลูกกก ตอนแรกไม่ชอบตอนหลังกลับไม่ให้คืนเขาซะงั้น โธ่ แต่พี่ท้อเองก็ใช่เล่นนะเนี่ย กิปฏิเสธเต็มที่ก็ยังตื๊อสุดยอด พูดเองเออเองหมดเลยอะ55555 ต้องขอบคุณเจ้าคริสนะเนี่ย ที่พาคนสองคนซึ่งต่างราวคนละขั้วให้มาเจอกันแบบนี้
LikeLike
โลกิต้องรับน้องบ๊อบบี้มาเลี้ยงแล้ว
LikeLike
เหมือนพระเจ้าธอร์สมองกลับ ตอบอีกอย่างได้ยินอีกอย่าง 5555555+
LikeLike
พี่ทิพพพพพพพพพพพพพพพพ มันดียยยยยยยยยยยยยยย ฮือ น่ารักไปหมดทุกอย่างเลยแงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ไม่ได้อ่านนานมากแต่แต่งเก่งเหมือนเดิมเลยค่าาา ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆนะคะ ❤❤❤❤❤❤
LikeLike
ฮือออออออออออออออออออออ
เจ้าโกลเด้นน่ารักมากเลยค่ะ จากตอนนี้ชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวของโลกิน่าจะมีสีสันเพราะทั้งหมาทั้งเจ้านายนะคะ55555
LikeLike
งุ้ยย น่ารักกก
LikeLike