[X-Men Fic][ErikCharles] Where Our Hearts Belong (6)

              

Where Our Hearts Belong

X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii *

 

 

 

Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier

Type: AU Fanfiction
Remark : domestic love & daddy-duo story, no mutation involved

Warning: YAOI ALERT; ENTER AT YOUR OWN RISK


 
 
 

 

 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
 
 
Chapter 6
 
 
 
 
 
 
 
 

เพราะนอนหลับไม่สนิทจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…ชาร์ลส์จึงตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดใสเท่าไหร่นัก

              

 

 

 

 

มือเรียวเอื้อมไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือ ครางอย่างไม่เต็มใจกับความคิดที่ว่าตนต้องลุกจากเตียงนอนแสนสบายนี้…แต่ก็รู้ดีว่าต้องทำอาหารเช้าให้เด็กๆ ทานก่อนไปโรงเรียน ร่างเพรียวจึงฝืนให้ตัวเองลุกขึ้น เกลี่ยผมยุ่งๆ ของตนให้เรียบลงมาขณะเปิดประตูเดินโผเผไปทางห้องน้ำ

              

 

 

 

 

เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องน้ำ…ชาร์ลส์ก็ยืนพิงมันสักครู่ นึกสงสัยในใจว่าเขาขอซบมันเพื่องีบต่ออีกสักนาทีสองนาทีจะได้ไหม ก่อนที่จะฝืนตัดใจแล้วเปิดประตู…เขาต้องได้น้ำเย็นๆ มาล้างหน้าให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นคงได้หลวมตัวยอมแพ้ความคิดงี่เง่านี้แน่นอน

              

 

 

 

 

…หากสิ่งที่รอเขาอยู่ในห้องน้ำนั้นมีอานุภาพยิ่งกว่าน้ำเย็นจากโยธันไฮม์สักร้อยลิตรเสียอีก

              

 

 

 

 

อีริคยืนอยู่ตรงอ่างล้างหน้า…กางเกงสีเข้มที่ร่างสูงสวมอยู่เกาะเอวได้ต่ำในระดับที่พอเหมาะพอดีในการจะทำให้คนมองสำลักหน้าแดงได้ในวินาทีเดียว แต่นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่าท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเจ้าตัว…ชาร์ลส์เผลอมองแผงอกและหน้าท้องสีแทนนิดๆ นั้นแล้วห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในการร้องว้ากๆ ในใจ

           

 

 

 

 

ให้ตายสิ…เมื่อวานเขาได้มีโอกาสซบลงไปบนหุ่นแสนเพอร์เฟคตรงหน้านี่เชียวนะ!

           

 

 

 

 

“อ้าวชาร์ลส์?” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ เสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปพลางบอกต่อ “รอแป็บนึงนะ…ฉันจะเสร็จแล้ว”

              

 

 

 

 

นัยน์ตาสีน้ำเงินมองภาพตรงหน้าแบบเบลอๆ…ต้องใช้เวลาสักห้าวินาทีได้กว่าคำพูดจะซึมเข้าการรับรู้ ชายหนุ่มผมดำรีบสะบัดหัวนิดๆ เพื่อเรียกสติ…เพิ่งตระหนักได้ว่าตนเอาแต่จ้องอีกฝ่ายจนไม่ได้ตอบรับอะไร

              

 

 

 

 

“เอ่อ…ดะ ได้สิ…!” เสียงของเขาตะกุกตะกักเหมือนระบบความคิด ร่างเพรียวเริ่มต้นล่าถอยไปที่ประตูเพราะรู้ตัวว่าสมองตนจะต้องรวนชนิดกู่ไม่กลับแน่ถ้ายังยืนต่อ “ฉะ ฉัน…เอ่อ…จะรอข้างนอกละกัน…”

              

 

 

 

 

แต่เหมือนฟ้าจะไม่ยอมรามือจากการขัดขวางความสงบในชีวิตเขา…เพราะแทนที่อีริคจะพยักหน้ารับ เจ้าตัวกลับพูดหน้าตานิ่งเฉยออกมา สายตายังไม่ละจากกระจก

           

 

 

 

 

“นายแปรงฟันรอก็ได้…จะได้ไม่เสียเวลา ฉันแค่จะหวีผมเอง”

              

 

 

 

 

มันไม่ใช่การพูดตามมารยาทเพราะร่างสูงขยับให้มีที่ยืนตรงหน้าอ่างล้างหน้าด้วยตามคำชวน ชาร์ลส์ห้ามตัวเองสุดชีวิตในการจะไม่ทำปากพะงาบๆ และรวมสติให้มั่นคง(แม้ว่าจะยากมาก)…แล้วจึงก้าวไปที่อ่างล้างหน้า พยายามให้ตัวเองจดจ่อแค่กับแปรงสีฟัน หลุดตาต่ำเพื่อมองแค่อ่างกระเบื้องสีขาวตรงหน้าเท่านั้น

           

 

 

 

 

อย่าตื่นเต้น…ชาร์ลส์ เซเวียร์…อย่า-ตื่น-เต้น…มันไม่มีอะไรทั้งนั้น…ไม่มีความจำเป็นจะต้องตื่นเต้นอะไรเลย…

           

 

 

 

 

เสียงในหัวพยายามสะกดจิตตัวเอง แต่แน่นอนว่าก็จะต้องมีอีกเสียงโผล่มาขัดเสมอ

           

 

 

 

 

แน่ล่ะ…ไม่มีอะไรเลยนอกจากอีริค เลนเชอร์ยืนเปลือยท่อนบนอยู่ห่างไปไม่ถึงนิ้วนึงเท่านั้นเอง…!

              

 

 

 

 

“ให้ตายสิ…”

              

 

 

 

 

เสียงสบถอย่างหมดความอดทนทำให้เขาลืมความคิดน่าอายของตนแล้วเผลอมอง…อีริคที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ปอยผมด้านหน้าที่ไม่ยอมเรียบลงไปเป็นภาพที่ตลกพอๆ กับที่ทำให้ชาร์ลส์นึกอยากถามสวรรค์อีกสักรอบว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้มนุษย์หน้าตาดีขนาดนี้ลงมาเดินบนโลก

           

 

 

 

 

โอย…ช่วยหยุดทำลายชีวิตเขาสักทีจะได้ไหม…?

           

 

 

 

 

เมื่อได้สติ…ชาร์ลส์ก็รีบสะบัดหน้าไปมองทางอื่นแทน เพิ่มความตั้งใจในการแปรงฟันราวกับว่านี่จะเป็นการแปรงฟันครั้งสุดท้ายในชีวิต…จึงไม่รู้ตัวว่าอีริคที่ตอนนี้จัดการกับผมของตนสำเร็จแล้วกำลังแอบมองตนบ้างแล้ว ชายหนุ่มผมน้ำตาลแอบอมยิ้มกับท่าทางตลกๆ ของคนข้างตัวที่เอาแต่มองเพดานเหมือนกับมันน่าสนใจนักหนา ก่อนที่เขาจะเผลอตัวปล่อยให้การแอบมองกลายเป็นมองสำรวจอีกฝ่ายเต็มตา…ร่างเพรียวข้างตัวอยู่ในชุดนอนที่เป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอล์มขายาวสีเทา ผมสีดำยุ่งๆ ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูเหมือนเด็กยิ่งกว่าเดิม

              

 

 

 

 

เมื่อนัยน์ตาสีเทาตวัดปราดไปที่ตรงต้นคอสีน้ำนม…อีริคก็เพิ่งตระหนักได้เมื่อสายไปเสียแล้วว่าตนไม่น่าเผลอตัวมองอีกฝ่ายเลย ผ้าเนื้อนิ่มทิ้งตัวร่นนิดๆ เผยให้เห็นผิวตรงบ่ารำไร…ผิวของชาร์ลส์ขาวยิ่งกว่าเสื้อที่เจ้าตัวสวมอยู่เสียอีก มันขาวละมุนเสียจนจุดประกายความคิดบ้าๆ ในหัวของเขา…ความคิดที่อีริคต้องรีบย้ำบอกตัวเองให้ลืมมันไปเสียเพราะกลัวใจตัวเอง

                

 

 

 

 

ไม่…อีริค เลนเชอร์…นายไม่ได้เพิ่งคิดไปว่าอยากจะทิ้งรอยอะไรไว้บนผิวหมอนี่…หยุดคิดอะไรบ้าๆ แบบนั้นเดี๋ยวนี้…

           

 

 

 

 

เสียงน้ำดังซ่าทำให้เขาได้สติ…ชาร์ลส์แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังยืนเอียงๆ คอมองตัวเองในกระจกอยู่จนอีริคนึกสงสัย

              

 

 

 

 

“นายทำอะไรน่ะ?”

              

 

 

 

 

“ฉันปวดคอนิดๆ แฮะ” ชายหนุ่มผมดำพูดกึ่งบอกกึ่งรำพึง “เมื่อคืนฉันตกหมอนรึไงเนี่ย…?”

              

 

 

 

 

“แต่มันไม่ได้ช้ำอะไรนะ…”

              

 

 

 

 

อีริคถือวิสาสะก้าวเข้าไปใกล้เพื่อดูให้…แต่ก็ได้พบว่ามันเป็นสิ่งผิดมหันต์ วินาทีที่เขาก้มลงไปเป็นวินาทีเดียวกับที่ชาร์ลส์หันหน้ามาพอดี…ทั้งคู่จึงได้แต่ยืนนิ่งขึงอยู่ในตำแหน่งที่ใบหน้าของพวกเขาอยู่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่นิ้ว

              

 

 

 

 

ลมหายใจถูกลืมในวินาทีนี้…ชาร์ลส์เผลอตัวเม้มริมฝีปากนิดๆ เมื่ออีริคเรียกเขาด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา

              

 

 

 

 

“ชาร์ลส์…”

              

 

 

 

 

ต่างฝ่ายต่างรู้ได้ในวินาทีที่ตนทำมันลงไปแล้วว่ากริยาตอบรับนี้มันไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นสักนิด…อีริคละสายตาจากเรียวปากสีเรื่อของอีกฝ่ายไม่ได้พอๆ กับที่ชาร์ลส์รู้สึกว่าหัวใจเขาสามารถหยุดเต้นลงแค่เพียงเพราะได้ยินเสียงทุ้มนั้นกระซิบชื่อของตน

           

 

 

 

 

ให้ตายเถอะ…ให้ตายเถอะ…หยุดซะ…ต้องหยุดตัวเอง…

           

 

 

 

 

ทุกอย่างไหวระริกเหมือนภาพเบลอ…หากชัดเจนในความเงียบงัน มีเพียงเสียงในหัวที่ร้องเตือนตัวเอง…คำเตือนที่ทั้งคู่พบว่าไม่อยากทำตามสักนิด

           

 

 

 

 

นี่มันบ้าชัดๆ…แล้วก็ไม่ถูกต้องด้วย…หากตอนนี้สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือ…

           

 

 

 

 

แต่แล้ววินาทีระทึกสุดขีดนี้ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงโหวกเหวกจากด้านนอก…เด็กๆ คงตื่นและเริ่มเตรียมตัวไปโรงเรียนกันแล้ว ชาร์ลส์รวมสติพอให้ตัวเองสามารถพูดออกไปได้รู้เรื่องแม้จะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบก็ตาม

              

 

 

 

 

“เอ่อ…เดี๋ยวฉันต้องลงไปทำข้าวเช้าแล้วล่ะ”

              

 

 

 

 

อีริคเองก็เหมือนจะเพิ่งได้สติเหมือนกัน เสียงทุ้มตอบรับสั้นๆ ในลำคอก่อนจะคว้าเสื้อที่แขวนอยู่ตรงราวบนผนังแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกไป ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านหน้าห้องเด็ก เสียงพูดคุยในห้องทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆ…กำปั้นจึงทุบโครมลงบนบานประตูพร้อมเสียงว้ากอำมหิต

           

 

 

 

 

“เสียงดังอะไรกันแต่เช้าหา??!!”

           

 

 

 

 

ถึงจะยังอยู่ในห้องน้ำ แต่ชาร์ลส์ก็ได้ยินเสียงตวาดนั้นชัดเจน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองเต้นแรงกว่าเก่าตอนที่คิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายเองก็กำลังหงุดหงิดจางๆ เหมือนกันกับเขา…หงุดหงิดเหมือนกับถูกขัดจังหวะอะไรบางอย่าง และไม่รู้ทำไมถึงได้มั่นใจนักว่าไอ้เจ้าอะไรบางอย่างนี่จะต้องเป็นสิ่งสำคัญแน่ๆ

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์หน้าร้อนวาบเมื่อคิดถึงตรงนี้…เพิ่งตระหนักได้ว่าเขากำลังหวั่นไหวกับคนที่ไม่ควรหวั่นไหวด้วยที่สุดในตอนนี้

           

 

 

 

 

ใจเต้นขนาดนี้กับคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงเดือนแถมยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก…ชาร์ลส์ เซเวียร์…นายบ้าไปแล้วหรือไง?

           

 

 

 

 

ระหว่างที่ชายหนุ่มผมดำกำลังสครีมแบบไม่มีเสียงอยู่ในห้องน้ำ เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เลยว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคนก็กำลังถามคำถามเดียวกันนี้กับตัวเอง…นิยามเรื่องทั้งหมดได้ในประโยคเดียว

           

 

 

 

 

นี่มันบ้า…บ้ามากๆ ด้วย

              

 

 

 

 

แต่แน่นอนว่าอย่างไร…คำแย้งของใจจริงก็ตามแทรกมาอยู่ดี

           

 

 

 

 

แต่ถึงจะบ้าแค่ไหน…พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ามันทำให้รู้สึกดีชะมัด

 

 

 

 

 

 

*****

 

              

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายออกจากบ้านและเขาไปส่งเรเวนที่โรงเรียนแล้ว…ชาร์ลส์ก็กลับบ้านมาจัดการกับงานที่มีตามปกติ

              

 

 

 

 

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มผมดำก็เอาแลปทอปของตนมาเปิดหาที่ที่ตนอาจจะได้ใช้ความสามารถที่ร่ำเรียนมาเพื่อทำงาน…แต่ไม่ต้องพูดถึงการเล่นเปียโนประกอบวงอะไรเลย แค่โรงเรียนดนตรีในละแวกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีเสียด้วยซ้ำ

              

 

 

 

 

หลังจากที่ไปรับเรเวนกลับจากโรงเรียนตอนบ่ายกว่าๆ…ชาร์ลส์ยังคงไม่ยอมแพ้ในการหาที่ทำงานต่อ แต่ความพยายามของเขาดูจะไม่มีประโยชน์และรังแต่จะทำให้ปวดตาจากการจ้องหน้าจอแลปทอปนานๆ…เขารู้ตัวอีกทีก็เมื่อเสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังมา นัยน์ตาสีน้ำเงินตวัดมองนาฬิกา…สามโมงกว่าแล้ว

              

 

 

 

 

เสียงเคาะประตูดังซ้ำ ชาร์ลส์จึงเร่งฝีเท้าไปเปิดให้…เด็กชายคนเล็กของบ้านยืนยิ้มอายๆ มาให้

              

 

 

 

 

“กลับมาแล้วครับ”

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มยิ้มตอบ ถอยหลังเพื่อให้หนุ่มน้อยเดินเข้ามาในบ้านได้ “แล้วอเล็กซ์กับฌอนล่ะ?”

              

 

 

 

 

“ขอบคุณฮะ” แฮงค์พูดเมื่ออีกฝ่ายปิดประตูตามหลังให้ ร่างเล็กถอยรองเท้าแล้ววางเข้าชั้นอย่างเรียบร้อยตามนิสัย “อเล็กซ์กับฌอนมีซ้อมบอลฮะ…คงกลับซักห้าโมงได้”

              

 

 

 

 

“โอเค” ชาร์ลส์พยักหน้ารับรู้ “เธอหิวหรือเปล่า? จะทานอะไรไหม?”

              

 

 

 

 

“ไม่เป็นไรฮะ…เดี๋ยวผมจะทำการบ้านเลย” แฮงค์พูด ก่อนจะหันไปอ้าแขนรับร่างน้องสาวที่วิ่งพุ่งเข้ามาหา “ว่าไงเรเวน”

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์ยิ้มตามเมื่อเห็นเด็กชายพูดคุยหยอกล้อกับน้องสาวแล้วอุ้มร่างเล็กๆ เดินขึ้นชั้นสองไป…ก่อนจะหันกลับมาจดจ่อกับหน้าจอแลปทอปอีกครั้ง กะในใจว่าคงมีเวลาอีกสักพักก่อนที่จะต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็น

              

 

 

 

 

หลังจากที่มาถึงห้องที่เขาอยู่รวมกับพี่น้อง…แฮงค์ก็เริ่มต้นกางสมุดการบ้านแล้วลงมือทำ แบบฝึกหัดชวนปวดหัวของเด็กประถมวัยเดียวกันไม่ได้ทำให้หนุ่มน้อยสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด…ทุกอย่างเสร็จในเวลาไม่นาน แล้วเด็กชายก็หยิบเอาหนังสือฟิสิกส์ระดับมัธยมที่ยืมมาจากห้องสมุดออกมาอ่านเล่น

              

 

 

 

 

“พี่แฮงค์…อะไร…?” สาวน้อยเบียดเข้ามาดูบ้าง แฮงค์จึงขยับให้น้องสาวดูได้ถนัดๆ…หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวมการทดลองที่มีรูปประกอบ เรเวนเอานิ้วจิ้มบรรดาสายไฟหลากสีในหน้าหนังสือแล้วทำเสียงตื่นเต้นฮึมฮัม “พี่แฮงค์เรียนเรื่องสายรุ้งเหรอ?”

              

 

 

 

 

“เปล่า…มันคือสายไฟ” หนุ่มแว่นอธิบายพร้อมชี้ประกอบ “นี่ไง…เขาอธิบายว่าถ้าเรารู้วิธี เราถอดเอาสายไฟออกมาโดยที่เครื่องพวกนี้ไม่เสียได้ด้วย”

              

 

 

 

 

เมื่อได้ยินศัพท์ยากๆ…สาวน้อยก็เริ่มทำหน้ามุ่ยเพราะไม่เข้าใจแล้วกลับไประบายสีสมุดเจ้าหญิงราพันเซลตามเดิม แฮงค์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะอ่านหนังสือในมือตนต่อ…เขากำลังสนใจเรื่องวงจรไฟฟ้าอยู่เพราะคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว การทดลองเดิมที่เขาอ่านให้น้องฟังอธิบายต่อถึงวิธีแก้วงจรและสายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ใช้ได้เป็นปกติโดยยกฮีตเตอร์มาเป็นตัวอย่าง

           

 

 

 

 

งั้น…ถ้าเขาทำทุกอย่างตรงกันข้าม ผลที่ออกมาก็ย่อมเป็นผลตรงกันข้าม…ถูกไหม?

              

 

 

 

 

หนุ่มเนิร์ดเริ่มสงสัย…แต่ในบ้านนี้ไม่มีฮีตเตอร์ที่ทดลองด้วยได้เพราะแต่ละเครื่องล้วนอยู่ในห้องนอน ถ้าผิดพลาดขึ้นมา…นั่นหมายความว่าตัวเขาเองกับทุกคนและชาร์ลส์จะต้องนอนหนาว (แฮงค์ไม่เสียสติพอจะทดลองกับฮีตเตอร์ของอีริคแน่นอน)

           

 

 

 

 

เฮ้ๆ…เดี๋ยวก่อนสิ…

              

 

 

 

 

แฮงค์เริ่มร่างภาพเหตุการณ์ในหัว…ถ้าฮีตเตอร์ในห้องชาร์ลส์ใช้งานไม่ได้ ชายหนุ่มก็จะนอนในห้องตัวเองไม่ได้ และห้องของพวกเขาก็ไม่มีที่เหลือแล้ว เพราะงั้นที่ๆ เดียวที่ชาร์ลส์จะนอนได้ก็คือ…

           

 

 

 

 

“พวกเราจะเชียร์ให้แด็ดกับชาร์ลส์ชอบกันให้ได้…อารมณ์แบบคอยสร้างโอกาสหรือบรรยากาศอย่างงั้นน่ะ”

           

 

 

 

 

หนุ่มน้อยสูดลมหายใจลึกๆ เมื่อตระหนักได้ว่าความรู้ของตนสามารถใช้ประโยชน์อื่นได้นอกเหนือจากเป็นแค่การทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมดา…แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ขาดเพราะเสียงเล็กๆ ที่ย้ำเตือนพร้อมมีภาพชายหนุ่มผมดำยิ้มนุ่มนวลประกอบ

           

 

 

 

 

ขืนจับชาร์ลส์ผู้แสนอ่อนโยนบอบบางนอนห้องเดียวกับแด็ด…รับรองชาร์ลส์ไม่รอดแน่…

              

 

 

 

 

แฮงค์หน้าแดงแปร๊ดกับความคิดของตัวเอง(เพราะคำว่า ‘ไม่รอด’ แปลได้หลายนัยยะเกินไป) แต่ผลที่เขาคาดเดาว่าจะได้ตามมามันก็ยั่วใจจนไม่อาจปล่อยความคิดนี้ผ่านไปได้

                

 

 

 

 

“เรามีของอร่อยๆ กิน…แด็ดก็อยู่ติดบ้านแถมยอมคุยกับพวกเรา…พวกนายไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดรึไง?”

           

 

 

 

 

เสียงของพี่ชายอีกคนดังขึ้นมายุอีก…แฮงค์สะบัดหัวพึ่บพับ สำนึกสองด้านยื้อกันอยู่ในหัว ถ้าทำ…เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแกล้งชาร์ลส์ แต่ถ้าไม่ทำ…เขาก็รู้ดีว่าบรรดาพี่น้องของเขาไม่มีทางจะทำเรื่องนี้ได้เพราะไม่มีใครสนใจจะอ่านหนังสือทำนองนี้อยู่แล้ว

              

 

 

 

 

ถ้าไม่ใช่เขา…ก็จะไม่มีใครเลย

              

 

 

 

 

“พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่…” ในที่สุด หนุ่มแว่นก็กำหมัดอย่างตัดสินใจได้…พึมพำคำคมจากหนังโปรดของตน “…มากับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เสมอ”

           

 

 

 

 

เขาไม่ได้ทำอะไรผิด…มันเป็นการกระทำเพื่อความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และประโยชน์สุขส่วนรวมต่างหาก!

           

 

 

 


*****

 

              

 

“เอ๋…เป็นอะไรล่ะเนี่ย?”

              

 

 

 

 

ชาร์ลส์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ร่างเพรียวสั่นนิดๆ เมื่ออากาศเย็นๆ ในห้องประทะผิว…การยืนในห้องที่ไม่มีฮีตเตอร์หลังเพิ่งอาบน้ำมาไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย นิ้วเรียวจิ้มปุ่มเดินเครื่องของฮีตเตอร์ตั้งพื้นในห้องนอนซ้ำไปซ้ำมา แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม…ไม่มีสัญญาณการทำงานใดๆ เกิดขึ้น

              

 

 

 

 

เมื่อลองจนมั่นใจแล้วว่าคงไม่มีประโยชน์…เขาจึงเดินไปที่ห้องเด็ก หวังว่าจะมีใครพอรู้สาเหตุบ้าง ชาร์ลส์ไม่อยากรบกวนอีริคเพราะเห็นว่าเจ้าตัวติดหนึบอยู่กับการพิมพ์อะไรสักอย่างมาตั้งแต่ที่กลับถึงบ้านแล้ว

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มเคาะประตูแล้วเปิดแง้มเข้าไป เด็กๆ ที่อยู่ในห้องหันมาตามเสียงเรียกของเขา

              

 

 

 

 

“คือว่า…ฮีตเตอร์ในห้องฉันมันอยู่ดีๆ ก็ใช้ไม่ได้น่ะ” ชาร์ลส์อธิบาย “มีใครพอจะรู้มั้ยว่าทำไม?”

              

 

 

 

 

“หา?” อเล็กซ์อุทานเสียงงงๆ “ตั้งแต่อยู่มามันไม่เคยเสียเลยนะครับ”

              

 

 

 

 

“เมื่อคืนมันยังโอเคนะ แต่ตอนนี้เปิดไม่ติดแล้ว” ชายหนุ่มอธิบาย

              

 

 

 

 

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ตามคนมาซ่อมดีมั้ยฮะ?” ฌอนช่วยคิด “คืนนี้คุณนอนกับพวกเราก็ได้ฮะ…”

              

 

 

 

 

“เอาๆๆๆ…เรเวนอยากให้นอนด้วย!” สาวน้อยพูดแทรกเสียงสูง ยิ้มร่าพร้อมขย่มตัวอย่างถูกอกถูกใจ

              

 

 

 

 

“นายจะบ้าเหรอฌอน? ห้องเรามีที่เหลือที่ไหน…นายจะให้ชาร์ลส์นอนบนพื้นรึไง?” เด็กชายคนเล็กพูดสวนขึ้นอย่างผิดนิสัย ทุกคนหันขวับมามองทันทีอย่างประหลาดใจ…เพราะแฮงค์ แมคคอยไม่เคยพูดจาตัดบทไร้เยื่อใยแบบนี้มาก่อน

              

 

 

 

 

“แฮงค์…นายพูดอะไรของนาย…?” อเล็กซ์เริ่มต้นจะดุน้องกับคำพูดไม่มีน้ำใจนี้ แต่อีกฝ่ายก็เดินหน้าต่อโดยไม่ฟัง

              

 

 

 

 

“ผมว่าคุณให้แด็ดดูให้ดีกว่านะฮะ ไม่แน่แด็ดอาจจะซ่อมเป็น” แฮงค์พูดรัวเร็ว “ถ้ามันแก้ไม่ได้จริงๆ…ก็ให้แด็ดช่วยคิดช่วยจัดการละกันฮะ พวกผมทำไม่เป็นหรอก”

              

 

 

 

 

“อะ…อื้อ” ชาร์ลส์กระพริบตาแบบตั้งตัวไม่ทัน แอบสงสัยกับท่าทีดื้อดึงของเด็กชาย แต่ก็คิดได้ว่าอะไรแบบนี้มันก็สมควรจะถามเจ้าของบ้านมากกว่าเด็กๆ จริงๆ อย่างที่แฮงค์กล่าว…เขาจึงกล่าวขอบคุณ บอกให้ทุกคนหลับฝันดี แล้วจึงเดินออกไป

              

 

 

 

 

บรรดาคนในห้องรอจนประตูปิดสนิทและเสียงฝีเท้าเดินลงบันไดไปแล้วจึงพร้อมใจหันหน้ามาหาหนุ่มแว่น…สายตาสามคู่แทบลุกเป็นไฟแล้ว

                

 

 

 

 

“แฮงค์ แมคคอย!! พูดแบบนั้นกับชาร์ลส์ได้ยังไง?!! นายละอายใจบ้างมั้ยที่ทำตัวแบบนี้??!!”

           

 

 

 

 

“นายมันไม่มีน้ำใจแฮงค์!! พี่ชายไม่อยากเชื่อว่านายจะเป็นเด็กไม่มีน้ำใจแบบนี้!!”

           

 

 

 

 

“พี่แฮงค์แย่!! เรเวนไม่อยากให้มี๊ชาร์ลส์หนาวนะ!!”

              

 

 

 

 

หนุ่มแว่นยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมจำนน หน้าตาของเจ้าตัวบอกชัดว่ารู้สึกผิดจนจะร้องไห้อยู่แล้ว “ฉะ ฉันขอโทษ…แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ สิ่งที่ฉันทำไปมันก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ”

              

 

 

 

 

คำอธิบายทำให้พี่น้องของเด็กชายลืมโมโหช่วยครู่ อเล็กซ์ถามเสียงงงๆ “นายทำอะไร?”

              

 

 

 

 

“ฮีตเตอร์ไม่ได้เสียเองหรอก…และแด็ดก็จะซ่อมไม่ได้ด้วย” แฮงค์พูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด “…เพราะฉันเป็นคนถอดสายไฟแล้วก็แก้ให้วงจรมันพังเอง”

              

 

 

 

 

“หา???” ฌอนอุทานเสียงหลง เอามือชี้หน้าน้องอย่างไม่อยากเชื่อ “นาย…ทำเองเหรอ?”

              

 

 

 

 

แฮงค์พยักหน้า

              

 

 

 

 

ระดับความประหลาดใจของอเล็กซ์เองก็เทียบเท่าได้กับฌอน เพียงแต่เจ้าตัวอึ้งจนพูดไม่ออก…ได้แต่ถามย้ำเบาๆ

              

 

 

 

 

“นาย…ทำฮีตเตอร์ให้เจ๊งเอง?”

              

 

 

 

 

แฮงค์พยักหน้าอีกครั้งเพื่อยืนยันคำเดิม

              

 

 

 

 

“นายทำ…นายเนี่ยนะ?” ฌอนพูดซ้ำอย่างยังเชื่อไม่ลง “โอยยยยยย…ฉันไม่อยากจะเชื่อ!!! น้องชายขี้แหยของฉันเองเนี่ยนะ??!! พระเจ้า…!!”

              

 

 

 

 

หนุ่มแว่นอธิบายเหตุการณ์ที่เขาตั้งใจจะให้เกิดขึ้นระหว่างอีริคกับชาร์ลส์ให้ทุกคนฟัง…และหลังจากที่เล่าจบ พี่ชายคนรองกับน้องสาวก็พุ่งเข้ากอดเขาจนหงายหลังลงบนเตียง แม้แต่อเล็กซ์ที่ไม่ค่อยจะยอมชมใครเท่าไหร่ยังเอ่ยปากพร้อมเอามือตีศีรษะเขาแปะๆ

              

 

 

 

 

“…แจ่มมากไอ้น้อง”

              

 

 

 

 

แฮงค์ยิ้มออกเมื่อได้ฟังว่าทุกคนชื่นชมการกระทำของเขา…แต่ก็ยังแอบรู้สึกผิดกับชาร์ลส์ไม่ได้ เด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจลึกๆ พลางปลอบตัวเองว่าถ้าดูท่าไม่ดี…เขาก็แค่ซ่อมวงจรให้มันเหมือนเดิม ย้ำกับตัวเองด้วยประโยคจากหุ่นยนต์ที่เป็นหนึ่งในฮีโร่ในดวงใจของตน

           

 

 

 

 

ออพติมัสยังบอกเลยนี่ว่าถ้าไม่มีการเสียสละย่อมไม่มีชัยชนะ…เขาต้องเสียสละที่จะรู้สึกแบบนี้เพื่อความสุขของทุกคน!

 

 

 

*****

 

              

ชาร์ลส์ค่อยๆ เดินอย่างเบาเสียงที่สุดลงมาที่ชั้นล่าง…ไม่ผิดจากเดิมที่เห็นครั้งสุดท้าย อีริคยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์แลปทอป มีบ้างที่หยุดเพื่ออ่านสิ่งที่ตนพิมพ์ลงไปออกมาเป็นเสียงพึมพำแล้วจึงแก้หรือพิมพ์ต่อ ชาร์ลส์ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจขัดจังหวะด้วยการเรียกเบาๆ

              

 

 

 

 

“เอ่อ…อีริค ฉันคุยด้วยแป็บนึงได้มั้ย?”

              

 

 

 

 

เจ้าของชื่อครางรับในลำคอ ก่อนจะหันมาสบตากับเขา เสียงทุ้มถามเข้าประเด็น “ว่าไง?”

              

 

 

 

 

“ฮีตเตอร์ในห้องฉันน่ะ…อยู่ดีๆ มันก็ใช้ไม่ได้” ชาร์ลส์เพิ่งสังเกตว่าอีริคสวมแว่นตาอยู่ แว่นกรอบสี่เหลี่ยมขอบดำธรรมดาทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มดูเคร่งขรึมขึ้นมาเหมือนคนในวงการธุรกิจ…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวจะดูหล่อน้อยลงแต่อย่างใด “นายช่วยมาดูหน่อยได้มั้ย?”

              

 

 

 

 

“อืม” ชายหนุ่มผมน้ำตาลตอบสั้นๆ พลางลุกขึ้น ก่อนจะก้าวไปที่บันไดโดยมีคนตัวเล็กกว่าจ้ำตามมาด้วย หลังจากที่มองอีริคสำรวจฮีตเตอร์ในห้อง…ชาร์ลส์ก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ได้จดจ่อกับมันสักเท่าไหร่ เดาได้ว่าคงเป็นเพราะจิตใจยังไม่ละจากงานในแลปทอป เขาจึงรีบพูดบอกอย่างเกรงใจ

              

 

 

 

 

“เอ่อ…ถ้ามันซ่อมวันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก นายยุ่งอยู่นี่นา…ไปทำงานต่อดีกว่า”

              

 

 

 

 

“เอางั้นเหรอ? ขอบใจนะ” อีริคตอบรับราวกับว่านี่เป็นประโยคที่รอฟัง…ชาร์ลส์ไม่ถือสากริยาตรงๆ นี้เพราะชินแล้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นมา

 

 

 

 

“งั้นคืนนี้นายจะนอนได้ไงล่ะ?”

              

 

 

 

 

“เอ่อ…” ชายหนุ่มผมดำเพิ่งตระหนักได้ว่าตนไม่มีที่นอนทั้งในห้องตัวเองและห้องเด็ก เขาจึงยักไหล่อย่างจำยอม “โซฟาในห้องทีวีก็น่าจะโอเคแหละ…คืนเดียวเองนี่”

              

 

 

 

 

“ให้ตาย…นายคิดว่าฉันเป็นคนที่แย่ขนาดนั้นเลยรึไง?” ผิดความคาดหมายของเขา…เพราะอีริคขมวดคิ้วอย่างฉุนๆ “ให้นายนอนบนโซฟาเนี่ยนะ…ฉันบอกสักคำรึยังว่านายนอนห้องฉันไม่ได้?”

              

 

 

 

 

“กะ ก็…” ชาร์ลส์อึกอักเพราะรู้ว่านั่นเป็นทางเลือกที่น่ากลัวที่สุด…จึงทำให้เขาแย้งไม่ทัน

              

 

 

 

 

“นายคิดจริงๆ เหรอเนี่ยว่าฉันจะปล่อยให้นายนอนโซฟา?” อีริคทวนคำอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะก้มหน้าลงมาสบตากับเขาชัดๆ “ฟังนะชาร์ลส์…เลิกทำตัวเกรงใจแบบนี้ซะที  ชอบอะไรไม่ชอบอะไรหรือคิดเห็นยังไง…มีอะไรก็พูดตรงๆ เลย อย่าฝืนแล้วไม่ยอมบอกฉัน…เข้าใจมั้ย?”

              

 

 

 

 

“โอเค…” ชายหนุ่มผมดำพยักหน้า…พยายามสั่งให้ตัวเองทำสีหน้าเป็นปกติ อีริคยิ้มบางๆ กับคำตอบรับนั้น

           

 

 

 

 

“งั้นก็ตามนั้น…นายนอนไปก่อนเลยก็ได้ ฉันยังเหลืองานต้องปั่นอีกเยอะ”

              

 

 

 

 

เสียงทุ้มจัดการสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะเดินลงบันไดไปแบบไม่รอฟังเขา ชาร์ลส์จึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมครางฮือๆ ในใจ

           

 

 

 

 

เมื่อเช้าแค่ไม่กี่นาทีสั้นๆ ยังเผลอใจไปซะขนาดนั้น…แล้วนี่มันทั้งคืนแถมในห้องนอนด้วยนะ…

              

 

 

 

 

ทางเลือกที่ถูกเลือกให้แล้วเป็นทางเลือกที่น่ากลัวที่สุด…และสิ่งที่น่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่อะไรนอกจากใจของตัวเขาเองนี่แหละ

 

 

 

 

 

*****

 

              

กว่าอีริคจะปั่นงานเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มเดินหาวขึ้นบันได ในหัวคิดต้องการเพียงการนอนยาวๆ…ปกติเขาไม่ใช่คนที่นอนเร็วอะไรนักหนา เพียงแต่วันนี้สมองที่ระดมปั่นต้นฉบับมาราธอนมาตั้งแต่เย็นของเขามันหมดแรงแล้ว ร่างสูงเปิดประตูห้องนอนเข้าไป…และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาเพิ่งนึกออกว่าคืนนี้ตนจะไม่ได้ครองเตียงแสนสบายคนเดียว

              

 

 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาบอกให้เลิกเกรงใจหรือไม่…แต่ชาร์ลส์ที่ตอนนี้หลับสนิทแล้วก็ทำตามคำบอกของเขาแบบเต็มที่ ร่างสมส่วนนอนโดยเว้นที่ไว้ให้เขาก็จริง แต่ก็ดึงผ้าห่มทั้งผืนไปคลุมรอบตัวเองจนมองแทบไม่เห็นตัวคนนอน…อีริคมองภาพชายหนุ่มผมดำที่มีผ้าห่มม้วนรอบจนดูเหมือนรังไหมกลมๆ แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ชาร์ลส์ไม่เคยพลาดในการจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขแบบแปลกๆ เสมอ

              

 

 

 

 

ชายหนุ่มผมน้ำตาลเดินไปนั่งบนเตียงก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงนอน เอื้อมแขนข้ามร่างที่กำลังหลับอยู่เพื่อวางแว่นตาลงบนโต๊ะหัวเตียง…สัมผัสที่เผลอโดนเบาๆ โดยไม่ได้ตั้งใจทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา ก่อนที่ใบหน้าสีน้ำนมจะหันมาเผชิญกับเขา…เสียงครางอือเบาๆ ในลำคอยิ่งทำให้ชาร์ลส์ดูเหมือนเด็กยิ่งกว่าเดิม และอีริคก็พบว่ามันยากมากในการจะถอนสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วนอนให้หลับ

           

 

 

 

 

ให้ตาย…หมอนี่มันตัวอันตรายชัดๆ…

           

 

 

 

 

ชายหนุ่มสบถในใจ…ชาร์ลส์ดูจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาคุมตัวเองไม่ได้เสมอ รีบตัดใจปิดโคมไฟดวงเล็กที่หัวเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน…แม้จะรู้ดีว่าคงข่มตาให้หลับได้ยากแน่แท้

              

 

 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัมผัสของฟูกที่ยวบลงไปหรือความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นข้างตัว…แต่คนข้างตัวของเขาก็เริ่มดิ้นยุกยิกจนหลุดออกมาจากรังไหมผ้าห่มจนได้ ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเจ้าตัวไม่ได้พลิกตัวมาเบียดกระแซะแนบชิดกับเขา…กลิ่นสบู่อ่อนๆ และลมหายใจแผ่วเบาทำให้อีริครู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้าได้จริงๆ

              

 

 

 

 

“ให้ตาย…ชาร์ลส์…”

              

 

 

 

 

เสียงทุ้มสบถออกมาชัดๆ แล้ว…เพียงแต่เล็ดรอดออกมาให้ได้ยินแผ่วเบาเท่านั้น แต่แน่นอนว่าเหมือนสวรรค์ยังไม่สาแก่ใจในการทดสอบความอดทนของเขา…แขนเรียวบางของอีกฝ่ายเลื่อนมาแปะบนตัวเขาพร้อมกับศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มสีดำซบลงมาตรงไหล่ สภาพตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับชาร์ลส์พยายามจะกอดอีริคเลยสักนิด

              

 

 

 

 

อีริคถอนหายใจหนักๆ…ก่อนจะยอมให้ตัวเองทำสิ่งที่อยากทำบ้าง แขนแข็งแรงเอื้อมออกไปโอบร่างเพรียวเข้ามากอดไว้…จัดให้อีกฝ่ายนอนได้สบายๆ ในอ้อมแขนของตน ยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินเสียงฮึมฮัมแผ่วเบา…แล้วจึงค่อยๆ หลับตาลงบ้าง

           

 

 

 

 

ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ไปทุกคืน…เขาก็คงยังตัดสินใจไม่ได้ล่ะนะว่าควรจะนัดช่างมาซ่อมฮีตเตอร์ตอนอีกกี่ปีข้างหน้าดี

              

             

 

 

 

 

 

 

 

 

tbc.

 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

 

hola! เปลี่ยนบรรยากาศกันมั่งนะคะ…มองไปทางไหนช่วงนี้ก็มีแต่อเวนเจอร์สอ่ะ ขนาดในบล็อกนี้ยังสองเอนทรี่ติดๆเลย…ไม่ได้อ่ะค่ะ!! เราเมนอีริคชาร์ลส์นะ!! *กอดมิวแทนต์* ใครรู้จักอยู่แล้วก็อย่าลืม…ใครยังไม่รู้จักก็ไปหาแผ่น X-Men First Class มาดูซะนะคะ แล้วจะอ่านบล็อกนี้ได้เยอะขึ้นมาหลายสิบเอนทรี่เลย 555 เพราะมันไม่มีอะไรอย่างอื่น

 

 

 

เขียนไว้นานแล้วตอนนี้ โดนกระแสอเวนเจอร์สและธอร์กิฟาดหน้ารัวรัว พอกลับมาอ่านอีกทีก็เลย….ก็ยังแอร๊ยเหมือนเดิมค่ะ >////< /โดนตรบ เป็นงี้จริงๆค่ะ…อ่านอีกรอบก็จะไม่รู้สึกว่าเขียนเองแล้วอ่ะ ฮริ๊วววววว ขอเชียร์สุดใจค่ะ

 

 

 

แฟนเกิร์ลคนไหนไม่ดูไม่จิ้นหนังเรื่องนี้ พลาดดดดดดดดนะคะ!! #XMFC&CherikForever

 

 

ถ้าสังเกตเรื่องนี้กับเรื่องไวท์เลิฟฯ…ทิพย์กะให้เรื่องนี้อารมณ์แบบ love at first sight ค่ะ เหมือนเจอกันปั๊บ ก็บอกได้เลยว่านี่แหละ the one…sparks fly เลยอะไรทำนองนี้ จะต่างกับไวท์เลิฟฯที่ hearts grow fonder as time goes by ค่ะ เพราะงั้น…ตอนนี้คือเหมือนคุณพ่อกับคุณพี่เลี้ยงจะอินเลิฟไปเกินครึ่งทางละ 555 /อย่าาาาา อย่าเพิ่งตกใจ มันยังไม่จบง่ายๆค่ะ รับรอง      

 

 

#แซมวินเชสเตอร์ยืนยันเลยทีเดียว

 

 

 

ขอโทษที่ตามตอบคอมเมนต์ไม่หมดนะคะ งานยุ่งมาก จะสอบแล้วววว แต่ขอบอกว่าอ่านทุกคอมเมนต์เลยนะคะ อ่านซ้ำๆด้วย #โรคจิต

  

มีความสุขมากๆค่ะ อ่านคอมเมนต์แล้วแรงปั่นมันมาจริงๆนะ ช่วยได้เยอะมากเลยค่ะ 🙂

 

 

 

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ถล่มทลายในเอนทรี่ฟิคธอร์กินะคะ และก็ขอบคุณคนที่ไปฟอล+ทักในทวิตด้วย ดีใจมากกกกก

 

พูดคำอื่นไม่ออกจริงๆนอกจากว่า…ขอบคุณมากๆและดีใจมากๆค่ะ ปกติเขียนบล็อกเงียบๆอยู่ในหลืบเว็บมาตั้งนาน ตอนนี้ได้เจอเพื่อนร่วมเพ้อร่วมเวิ่น อุ่นใจมากค่ะ ขอกอดเรียงตัวเลยนะคะ XDDDD

 

 

 

เจอกันเอนทรี่หน้าค่ะ 🙂

 

 

8 responses to “[X-Men Fic][ErikCharles] Where Our Hearts Belong (6)

  1. บอกเด็กๆนะว่าควรจะขนฮีตเตอร์ห่องชาล์สไปทิ้งเลย╮(╯_╰)╭
    น่ารักจริงๆคู่นี่….แอร๊ยยยยยย~~♥♥

    Like

  2. แงงงงงงง ฟินมากไปปปปหน้าจะระเบิดดดดดด
    ตอนบรรยายความหล่อ เซะซี่ซู่ซ่าของแด๊ดดี้อีริค
    แบบกำเดาจะไหลแทนชาร์ลส์ โฮกกกกกกก
    ตอนนี้ละมุนมาก ชอบบบบบบบบ
    ชอบความรักที่ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องรีบร้อนหวือหวา
    มันแบบนิดน้อยมหาศาลไรงี้ #ยังไม่หยุดฟาดหมอน #เขินแทนมี๊ XD

    ป.ล.แฮงค์นายมันเด็กแก่แดด!! แต่ป้าชอบ 555555555

    Like

  3. แฮงค์….

    แ ฮ ง ค์…..

    แ ฮ ง ค์….

    อยากขโมยเด็กเนิร์ด55555555//มาพังแอร์ที่บ้านพี่มั้ยน้อง

    Like

  4. นี้เราขำเเฮงค์นานมาก อ่านไปคิดถึงคำพูดอ๊อพติมัสไพร์มไป เเฮงค์ไหวนะ 555555
    โอ้ยยย เเด๊ดถ้าทำตัวอย่างนี้ก็ขอมิ๊เป็นเเฟนไปเลยไป ขัดใจจริ๊งงงงง
    ฮื้อ น่ารักจริงอะไรจริงอ่ะ เดี๊ยวไปอ่านตอนต่อไป รอชาร์ลตื่นขึ้นมา นางจะว่ายังไง ถถถ

    Like

  5. แฮงค์คะลูก .. Optimus Prime คือ ฮีโร่ในดวงใจของอิแม่คนนี้เหมือนกัน. มาค่ะ ขอแม่กอดแน่นๆ ที่แฮงค์ลงทุนเสียสละทำลายฮีตเตอร์ เพื่อความสุขความฟินของชาวโลกทั้งหลาย (รักนะคะลูก. จุ๊บๆ)

    ค่อนข้างนับถือชาร์ลนะ ถึงจะเบลอไปบ้าง แต่ถือว่ายังมีสติอยู่มาก. เพราะถ้าเป็นอิชั้น ได้เห็นแผงอกคุณอิริคระยะเผาขนขนาดนั้นคงวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ

    ฟิคสนุกมากค่ะคุณทิพย์. สนุกทุกเรื่อง. สนุกทุกแพร์ ขอบคุณนะคะสำหรับฟิคสนุกๆทุกๆเรื่องเลย 😘😘😘

    Like

  6. ฮาาาหนูแฮงค์ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มากับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เสมอ 55555 พาแก๊งค์เด็กนี้กลับบ้านได้ไหมมม

    Like

  7. แฮงค์คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆว่าตัวเองกำลังจะไปกู้โลก(โดยการพังฮีตเตอร์) (กองทัพคือเหล่าพี่น้องอีกสามหน่อ) อะเฮือกกกก ผู้ผดุงความยุติธรรม แห้ง มะคอยยยย /ผิดส์

    Like

  8. เขินนนนนน >////< น่ารักมากเด้อออออ อีริคไม่ต้องซ่อมฮีทเตอร์นะ!

    Like

Leave a comment