[X-Men Fic][ErikCharles] Where Our Hearts Belong (4)

 
Where Our Hearts Belong

X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii *

 

 

 

Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier

Type: AU Fanfiction
Remark : domestic love & daddy-duo story, no mutation involved

Warning: YAOI ALERT; ENTER AT YOUR OWN RISK

 
 
 

 

 

 


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

 
 
Chapter 4
 
 
 
 
 
 
 
 
หลังจากกริยาตอบรับกับเด็กๆ ที่ชวนให้มีหวังในตอนนั้น ชาร์ลส์ก็คิดว่าอีริคคงจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการหายหน้าหายตาไปทั้งอาทิตย์เสียบ้าง แต่ก็ได้พบว่าตัวเองคิดผิดไปอย่างจังเมื่อลืมตาตื่นตอนเช้าวันจันทร์…ชายหนุ่มผมน้ำตาลไม่ได้อยู่ในบ้านแล้ว มีเพียงกระเป๋าสตางค์รูปปลาฉลามใบเดิมวางทิ้งไว้ให้บนโต๊ะอาหาร สภาพที่กลับมากลมปุ๊กเหมือนเดิมของมันบอกให้รู้ว่าคุณเจ้าบ้านคงใส่เงินรอบใหม่ไว้ให้แล้ว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์ได้แต่มองกระเป๋าสตางค์นิ่งๆ…อยากจะร้องโวยวายระบายความอัดอั้นตันใจออกมา อีริคดูจะไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเงินไม่สามารถดูแลเด็กๆ ได้ทุกด้าน เขาจำหน้าตาตื่นเต้นดีใจของทุกคนตอนที่เห็นว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลอยู่ในบ้านและสนทนากับพวกตนได้ดี…เด็กพวกนี้ต้องการใครสักคน ไม่ใช่แค่อาหารหรือเงิน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เทียบกับเขาแล้ว…เด็กๆ ดูจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่าเยอะ ไม่มีใครมีท่าทางแปลกใจหรือโอดครวญใดๆ…แต่แววตาหมองๆ ก็เป็นสิ่งที่ปิดซ่อนไม่มิด ชาร์ลส์เข้าใจดีว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร…มันคงไม่ต่างอะไรกับการที่ได้เห็นว่าต้นไม้ที่เฝ้าถนอมมาตลอดจู่ๆ ก็กำลังจะผลิดอก แต่หลังจากที่ดีอกดีใจและคาดหวัง…ดอกตูมกลับเหี่ยวเฉาไปในเวลาข้ามคืน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เหล่าเด็กชายไม่ได้พูดอะไรออกมาและไปโรงเรียนกันตามปกติ แต่ไม่ใช่สาวน้อยคนเดียวของบ้าน…เธอถามขึ้นมาระหว่างที่ชาร์ลส์จัดเสื้อโค้ทที่เธอสวมอยู่ให้เรียบร้อย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ทำไมแด็ดหายอีกคะ?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์นิ่งไปกับประโยคง่ายๆ ที่ได้ฟัง…ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอย่างไร หนูน้อยไม่ละความพยายาม มือเล็กๆ ดึงแขนเสื้อชายหนุ่มพลางถามต่อ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“แด็ดหายเพราะแด็ดไม่ชอบพวกเรเวนเหรอคะ?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ถึงเด็กหญิงจะไม่ได้ร้องไห้หรือถามเพื่อตัดพ้อใดๆ…แต่คำถามซื่อๆ นี้กลับกระแทกใจคนฟังได้มากกว่าน้ำตาเสียอีก ชาร์ลส์ฝืนยิ้มก่อนจะหยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เปลี่ยนประเด็นบทสนทนาไปเสียด้วยการถามว่าสาวน้อยอยากจะเดินเองหรือให้เขาอุ้มตอนไปส่ง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แน่นอนว่าเหยื่อล่อของเขาได้ผล แต่ชาร์ลส์ก็ไม่สามารถสลัดความหนักอึ้งในใจไปได้…แม้จะรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องของเขาและหน้าที่ที่เขาต้องทำในบ้านนี้ก็แค่ดูแลเด็กๆ เท่านั้น แต่เขาก็อยากจะทำให้ทุกคนมีความสุขอย่างที่เด็กทั่วจะพึงมี
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แต่ปัญหาคือจะเริ่มต้นได้ยังไงนี่สิ…
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ไม่ว่าจะเป็นความเฉยเมยหรือการหายตัวไปดื้อๆ…ท่าทางของอีริคบอกชัดว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเด็กทุกคนมากไปกว่าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องขอบคุณพระเจ้าเสียด้วยซ้ำที่อย่างน้อยชายหนุ่มก็ยังทิ้งเงินไว้ให้เด็กๆ บ้าง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แล้วถ้าไม่ได้อยากจะดูแล…อีริคยอมรับเด็กๆ มาเลี้ยงตั้งแต่แรกทำไม?
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดผุดขึ้นมาอีกครั้ง…แต่ชาร์ลส์ก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาถามไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา…ตระหนักเป็นครั้งที่ล้านเห็นจะได้ว่าตนยังไม่หลุดพ้นจากปริศนาของครอบครัวพิลึกนี่เลยสักนิด
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
*****
 
 
 
 
 
 
หลังจากที่ส่งเรเวนที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว…ชาร์ลส์ก็ตัดสินใจเดินไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เกต
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ร่างเพรียวทอดน่องไปตามฟุตพาธอย่างไม่เร่งรีบเพราะในหัวกำลังอัดแน่นด้วยความคิด…ปัญหาเรื่องเด็กๆ ยังไม่จบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาเรื่องตัวเขาเองจะไม่มี…ถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้จะได้ชื่อว่าเป็นงาน แต่ชาร์ลส์ก็รู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ได้ สิ่งที่เขาร่ำเรียนมาเป็นอะไรที่ต้องหมั่นใช้และฝึกฝนบ่อยๆ…ถึงเขาจะได้ซ้อมเล่นเปียโนอัพไรท์ในบ้านทุกวัน แต่นั่นก็เทียบได้กับไม่ได้ทำอะไรเลยในวงการที่มีแต่การแข่งขันฝีมือและต้องใช้เวลาสร้างชื่อเสียงอย่างวงการดนตรี แต่ครั้นจะให้ทิ้งเด็กๆ ไปทั้งที่ทุกอย่างในครอบครัวยังเป็นแบบนี้…ชาร์ลส์ก็รู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ ถึงเวลาจะเพิ่งผ่านไปได้แค่ไม่กี่สัปดาห์และเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กพวกนี้เลย…แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกผูกพันกับทุกคนไปเสียแล้ว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ให้ตายเถอะชาร์ลส์ เซเวียร์…นายนี่มันงี่เง่าจริงๆ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชายหนุ่มผมดำนึกอยากเขกหัวตัวเองที่เป็นแบบนี้…แต่ก็รู้ว่าอันที่จริงนั้น ปัญหาแก้ไม่ตกเป็นงูกินหางที่สุมอยู่นี้จะหายไปสักครึ่งหนึ่งได้เลยทีเดียวถ้าเพียงอีริคจะยอมทำตัวให้สมกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อสักหน่อย หากรูปการณ์ก็บอกอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีทาง…และชาร์ลส์ก็วนกลับมาที่ข้อสงสัยเดิมว่าเพราะอะไรอีริคจึงรับเด็กๆ มาเลี้ยง และก็ตามมาด้วยเสียงเตือนตัวเองว่านี่เป็นคำถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวเกินไป
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าพลางเตะก้อนกรวดริมทาง เขามีคำถามมากมายที่ถามออกไปไม่ได้ และตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงจะให้อีริคตอบคำถามเลย…แค่จะให้เจ้าตัวอยู่กับบ้านก็ดูจะเป็นเรื่องเกินกำลังเสียแล้ว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
จริงสิ…
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์หยุดชะงัก คว้ามือถือขึ้นมากด ตลอดสัปดาห์ที่ไม่มีเบอร์ติดต่ออีกฝ่ายทำให้เขาลืมวิธีนี้ไปเสียสนิท…แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว นิ้วเรียวกดไล่รายชื่อในหน้าจออิเลคทรอนิกส์ก่อนจะกดโทรออก เงี่ยหูฟังเสียงต่อสาย…แต่ก็มีเสียงเรียกเข้าแผดแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียอย่างนั้น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชายหนุ่มผมดำหันตามอย่างแปลกใจ…พบว่าตัวเองหยุดเพื่อโทรศัพท์หน้าคาเฟ่เล็กๆ ริมทาง ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับความบังเอิญที่แสนจะไม่น่าเชื่อนี้ดีเมื่อเห็นว่าคนที่ตนโทรหานั่งอยู่ตรงโต๊ะในส่วนสนามด้านนอกของร้านนั่นเอง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อีริคขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาต้องวางมือจากแก้วกาแฟมาเพื่อจะรับโทรศัพท์แต่สายกลับตัดไปในเสี้ยววินาทีก่อนที่นิ้วเขาจะแตะตัวเครื่อง ชายหนุ่มผมน้ำตาลขยับจะหยิบแก้วเซรามิกอีกครั้ง…แต่ก็โดนหยุดไว้อีกครั้งด้วยเสียงคุ้นหู
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“อีริค…นาย…นายมาทำอะไรตรงนี้?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
นัยน์ตาสีน้ำเงินสวยที่เจือแววสับสนปนโมโหจางๆ บอกให้คนมองรู้ชัดว่าท่าทางตนจะไม่ได้มีเวลาให้กับอเมริกาโน่แก้วนี้ตามลำพังแล้วเป็นแน่แท้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
*****
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์รู้สึกว่าตัวเองจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เขาจ้องคนที่หายตัวไปจากบ้านตั้งแต่เช้าแบบตาไม่กระพริบ…ข้อสงสัยมากมายรัวเป็นชุดอยู่ในหัว อีริค เลนเชอร์ช่างมีพรสวรรค์ในการทำเขาหัวหมุนได้เสมอแม้กระทั่งตอนเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“กินอะไรไหม?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คำถามง่ายๆ อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนนี้ยิ่งทำให้ชาร์ลส์อยากจะบ้าตายมากกว่าเก่า…นึกอยากรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรือพูดออกมาได้มากกว่าคำถามนี้จริงๆ หรือ แต่ก็ส่ายศีรษะตอบไป
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ไม่ล่ะ…ไม่เป็นไร”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อีริคดูจะไม่ฟัง เสียงทุ้มสั่งไปทางเคาท์เตอร์ “ช็อคโกแล็ตพายสองชิ้นนะ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์ไม่ได้เถียงอะไรยืดเยื้อว่าเขาไม่หิวจริงๆ เพราะมีอย่างอื่นที่เขาอยากพูดมากกว่า “เมื่อเช้าทำไมอยู่ๆ นายก็หายไปอีกแล้ว? แล้วนี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอ? นายมาทำอะไรตรงนี้?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“เฮ้…ใจเย็นน่า” อีริคจิบกาแฟหน้าตาเฉย “ทีละคำถามนะ…ฉันออกจากบ้านตั้งแต่เช้าแบบนี้อยู่แล้ว แต่วันนี้ฉันไม่ต้องไปทำงาน…นั่นตอบสองข้อหลังรวดเดียว โอเครึยัง?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ไม่…มันไม่โอเคเลย” ชาร์ลส์รู้สึกว่าเขากำลังอยากจะล้มโต๊ะให้เจ้าคนไม่มีความรับผิดชอบตรงหน้าสำนึกอะไรขึ้นมาได้บ้างมากขึ้นทุกวินาที “นายต้องเลิก…ให้ตายเถอะ…นายช่วยเลิกหายตัวไปจากบ้านทั้งสัปดาห์อย่างนี้สักทีจะได้มั้ย? อย่างวันนี้น่ะ…ถ้านายไม่มีงาน ทำไมจะอยู่บ้านไม่ได้?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
นัยน์ตาสีเทาเสหลบเขา เสียงทุ้มกล่าวอย่างไม่เดือดไม่ร้อน “ก็ฉันไม่อยากอยู่นี่”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์นิ่งมองคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ…เริ่มคิดขึ้นมารำไรว่าท่าทางอเล็กซ์คงไม่ใช่เด็กคนโตของบ้านเป็นแน่แท้ เขาพยายามรีดความอดทนของตนออกมาก่อนจะพูดเสียงนุ่มแบบที่ได้ผลเวลาเกลี้ยกล่อมเด็กดื้อ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“โอเค…ฉันคิดมาตลอดว่ามันเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรถาม แต่ถ้านายจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ…ฉันก็คิดว่าฉันมีสิทธิ์จะรู้” นัยน์ตาสีแซฟไฟร์จ้องตรง “นายอยากรับเด็กพวกนี้มาเลี้ยงจริงๆ หรือเปล่าน่ะ…อีริค?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อีริคถอนหายใจออกมา เสียงทุ้มพูดค่อยๆ แต่หนักหน่วง “เรื่องมัน…พูดยากน่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์เอนตัวเข้าไปใกล้ รู้ชัดว่าตนพังกำแพงที่กั้นระหว่างพวกเขาสองคนไปได้แล้ว เสียงนุ่มพูดอ่อนโยน “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…ช่วยบอกฉันได้ไหม?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
นัยน์ตาสีเทายอมหันกลับมาสบกันตรงๆ…และคราวนี้ กลับเป็นชาร์ลส์เสียเองที่รู้สึกอยากจะเบือนสายตาหนีดวงตาคมกริบชวนใจละลายตรงหน้า
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ฉันไม่ได้ชอบหรืออยากจะเลี้ยงเด็กอะไรหรอก” อีริคเริ่มต้น “คนที่เป็นผู้ปกครองของเด็กพวกนี้จริงๆ คือแม่ของฉันต่างหาก แล้วก็ไม่ได้รับมาเลี้ยงที่บ้านด้วย…นายคงเคยได้ยินมาบ้างสินะ พวกที่รับเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายเท่านั้นน่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์พยักหน้า รอให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“แต่มันก็มีเรื่องนิดหน่อย…ฉันเลยต้องรับเด็กพวกนี้มาเลี้ยงน่ะ” เสียงทุ้มพูดต่อแค่สั้นๆ แล้วเจ้าตัวก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ทำให้คนฟังอยู่หลุดถามออกไปอย่างลืมตัว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“แม่ฉันน่ะ…ท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นแหละที่ฉันรับเด็กพวกนี้เข้ามา” อีริคพูดเสียงเรียบ…แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกดีขึ้น เพิ่งตระหนักได้ว่าตนถามคำถามที่ไม่คิดถึงจิตใจอีกฝ่ายออกไป
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ฉัน…ฉันเสียใจด้วยนะ” ชายหนุ่มผมดำพูดเสียงขอโทษแผ่วเบา “โทษที…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ…”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ไม่เอาน่า…ฉันโอเคดี” อีริคยักไหล่ “แม่ฉันจากไปแบบสงบ ฉันดีใจที่ไม่ต้องเห็นท่านเจ็บป่วยอะไร…มันไม่เป็นไรจริงๆ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์ชั่งใจอยู่สักพัก…ก่อนจะเอ่ยถามเสียงระมัดระวัง “แต่ถึงอย่างนั้น…นายก็ไม่เห็นต้องรับเด็กๆ มาอยู่ที่บ้านเลยนี่ ก็ให้ระบบมันเป็นเหมือนเดิมต่อไปไม่ได้เหรอ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลยอมรับ “แต่ทางคนดูแลเขาบอกมาว่าถ้าทำอย่างนั้น…บางทีเขาอาจจะมีการส่งให้เด็กๆ แยกไปอยู่กันคนละที่ เพราะยังไงๆ เด็กพวกนี้ก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปจนโตไม่ได้อยู่แล้ว”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คนฟังนิ่งไปสักพัก ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะจุดที่มุมปาก “นายเลยไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นสินะ?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ร่างสูงยักไหล่หน้านิ่ง “ฉันแค่คิดว่า…ถ้าฉันมีพี่หรือน้อง ก็คงไม่อยากโดนจับแยกไปอยู่คนละที่เหมือนกัน…ก็แค่นั้นแหละ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ว่าจบ…คนตรงหน้าก็หันกลับไปสนใจกาแฟของตนเหมือนเดิม ชาร์ลส์เองก็ได้แต่นิ่งไป…พูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่ได้ฟัง เขาคิดเอามาตลอดว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนประเภทไม่ค่อยใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำนองนี้และเฉยเมยกับสิ่งอื่นที่ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตตน…แต่วินาทีนี้ชาร์ลส์ก็ได้ค้นพบว่าตนมองอีกฝ่ายผิดไป และสิ่งที่ได้รับรู้ก็ทำให้ความรู้สึกประทับใจแบบแปลกๆ วาบลงในใจ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“อืม…เข้าใจละ…” ชายหนุ่มผมดำพยักหน้าช้าๆ…พยายามทำเสียงให้ดูไม่ปลื้มมาก เพราะเขายังไม่หมดเรื่องจะซัก “แล้วทำไมนายไม่ยอมอยู่ติดบ้านล่ะ…นายต้องเป็นคนดูแลเด็กๆ นะ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อีริคทำหน้างุ่นง่านใจ ก่อนจะพูดเสียงแบบปกป้องตัวเอง “ฉันก็ไม่ได้ทิ้งขว้างอะไรพวกเขาซะหน่อย…แล้วฉันก็เจอนายแล้วด้วยนี่”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์รู้สึกว่าลมหายใจสะดุด หัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่งเพราะคำพูดที่ได้ฟัง ก่อนจะรีบต่อบทสนทนาเพื่อไม่ให้เวลากับอีกฝ่ายในการสังเกตสีหน้าของเขา
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ตะ แต่มันไม่เหมือนกันหรอกนะ…ถึงนายให้ของกับพวกเขามากเท่าไหร่หรือมีฉันคอยดูแลก็จริง แต่ยังไงๆ พวกเขาก็ให้นายอยู่ด้วยมากกว่า เด็กๆ น่ะอยากคุยกับนาย…อยากจะได้รู้ว่านายไม่ได้ไม่สนใจ…”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เสียงนุ่มหยุดลงกลางคันเพราะสิ่งที่อยากพูดมีมากจนเรียบเรียงไม่ทัน…แต่ก็ไม่ได้เอ่ยต่อเพราะเห็นจากสีหน้าของอีกฝ่ายว่าเจ้าตัวเข้าใจชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ให้ตายสิ…” อีริคส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนจะพูดเสียงค่อย “…ก็จะให้ฉันทำไงล่ะ ฉันไม่รู้จะต้องเริ่มยังไง…แล้วเด็กพวกนั้นก็ชอบเอาแต่จ้องด้วย จ้องแบบกลัวๆ น่ะ…เป็นใครจะไม่หงุดหงิดล่ะ จ้องยังกับว่าฉันเป็นตัวอะไรน่ากลัวๆ อย่างนั้นแหละ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์ถอนหายใจอย่างนึกอยากจะบ้าตายเป็นรอบที่ร้อยของวัน ก่อนจะอธิบาย “ก็พวกเขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกันนั่นแหละ! ทีนายยังไม่ยอมเริ่มพูดเลย…แล้วเด็กๆ เขาจะกล้าเริ่มทำอะไรมั้ยล่ะแบบนั้น? ยิ่งนายทำหน้าเครียดๆ ตลอดเวลา…ใครจะไปกล้าคุยด้วย”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อีริคมองคนที่พยายามอธิบายอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นแล้วก็หัวเราะหึออกมา สายตาคมๆ และรอยยิ้มบนวงหน้าหล่อเหลาทำให้จังหวะหัวใจของชาร์ลส์สะดุดอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะถามเสียงหาเรื่องเพื่อปกปิดมัน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“อะ อะไร? มีอะไรตลกหา?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“เปล่า…เปล่า” อีริคยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ “แค่คิดถึงคืนแรกที่เราเจอกัน…หน้าฉันก็เป็นแบบนี้ แต่นายยังมาคุยกับฉันได้เลย”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์กัดริมฝีปากอย่างเถียงไม่ออก ความร้อนพุ่งวาบบนผิวแก้ม รู้ดีว่าเหตุผลคืออะไร
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ก็เพราะคืนนั้น แอลกอฮอล์ในเลือดฉันกับความหล่อบนหน้านายมันเยอะเกินไปน่ะสิ…อีริค เลนเชอร์
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ชะ ช่างเถอะ!” คนถูกปั่นหัวรีบเปลี่ยนประเด็น “เอาเป็นว่านายต้องเลิกทำแบบนี้…ถ้านายไม่มีงานก็อยู่บ้านซะบ้าง ไม่ใช่ถึงเอาแต่หลบออกมาเพราะไม่อยากอยู่กับเด็กๆ…ตกลงมั้ย?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อีริคยักไหล่ “จะพยายามละกัน”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ถึงคำตอบจะไม่น่าพอใจนัก…แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคำปฏิเสธ ชาร์ลส์จึงยอมพยักหน้ารับโดยดี ก่อนจะเอื้อมมือรับจานช็อคโกแล็ตพายที่เพิ่งจะมาเสิร์ฟเอาเสียตอนนี้ เขาก้มมองมัน…พายชิ้นสามเหลี่ยมดูน่ารับประทานด้วยเนื้อช็อคโกแล็ตที่อัดแน่นและขอบแป้งสีเหลืองทอง เพิ่มความสวยงามด้วยวิปครีมที่มีสตรอเบอร์รีวางทับ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชาร์ลส์กำลังจะเริ่มจัดการกับขนมน่ากินตรงหน้าเมื่อจู่ๆ อีริคก็ถามขึ้นมา
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ตอนแรกน่ะ…นายโกรธใช่มั้ย?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คนถูกถามชะงักมือ คิดถึงวินาทีที่เขาเห็นอีริคอยู่ในร้านนี้ ก่อนจะยอมรับตรงๆ “ก็นิดหน่อยแหละ…อยู่ดีๆ นายก็หายไปซะแบบนั้น แล้วฉันก็โมโหด้วยที่นายทำเด็กๆ เสียใจ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คนตรงหน้าถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนที่ชาร์ลส์จะเห็นวิปครีมพร้อมสตรอเบอร์รีบนชิ้นพายของอีกฝ่ายโดนเจ้าของตักมาวางบนชิ้นพายในจานเขา เสียงทุ้มพูดฮึดฮัดแต่แผ่วค่อย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ก็บอกว่าจะพยายามไงเล่า…โอเครึยัง?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ว่าจบ อีริคก็ลงมือทานขนมโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ชาร์ลส์ใช้เวลาประมาณสี่วินาทีในการจะตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งได้รับสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำขอโทษมากที่สุดจากคนตรงหน้า
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
…และใช้เวลายาวนาน…ที่เขาเดาว่าคงจะเป็นตลอดทั้งชีวิต…ในการคิดว่านี่ต้องเป็นวิธีการง้อขอโทษที่น่ารักที่สุดในโลกเป็นแน่
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
tbc.
 
 
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
 
 
 

แฮร่ สวัสดีค่ะ!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คิดว่าหลายๆคนคงได้ข่าวแล้ว…ภาคต่อของมิวแทนต์ชั้นหนึ่งจะเริ่มถ่ายทำตอนมกราปี 2013 ค่ะ! ><

 

[รีเอคชั่นจริงของทิพย์ที่แสดงได้โดยกิฟเหล่านี้ โปรดเล่นเป็นลูปซักสี่ล้านล้านรอบจะได้ความสมจริง]

 

 

 

 

 

 

 

โอยยยยยย ดีใจอ๊ะะะะะะะะะ นั่งลุ้นอยู่ทุกวี่วันว่าจะมีทำต่อมั้ย มีจริงๆด้วย >< …สรุปว่าปีหน้าก็เป็นอะไรที่รอหนังเช่นเดิมกับปีนี้สินะ ทั้งเชอร์ลอคซีซั่นสาม, Catching Fire, XMFC และอีกมากมายที่ยังไม่ได้เปิดตารางดูดีๆ #เยหหหหหห์

 

 

 

 

มาคิดๆดูแล้ว ทิพย์นั่งกรี๊ดกับคู่รักมิวแทนต์นี่มาจะปีนึงเต็มๆแล้วนะเนี่ยยยย ฟิคงอกเงยแบบไม่เคยมีกับแฟนดอมไหนมาก่อนด้วย

 

 

แต่ก็นะ….ดูโมเมนต์พวกนี้สิ!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 แล้วไหนจะบรรดาสภ.ที่จะต้องตามมาอีก!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 (#BRB HAVING A CARDIAC ARREST)

 

 

แล้วไหนจะนี่อีก!!

 

 

#ไม่ใช่ละ /โดนป๋าวอนก์กระทืบ lol

 

 #ยิ่งไม่ใช่ละ /โดนป๋าวอนก์กระทืบพร้อมตรบ lol

 

 

 

แอร๊ยยยยยยยยยย !!! <3<3

 

   

 

 

ฟู่ว์ เพ้อนอกเรื่องตลอด กลับเข้าฝั่งๆๆๆ

 

 

 

ฟิคตอนนี้ไม่มีอะไรเป็น physical development มากค่ะ (เอาจริงๆ พอลองย้อนไปอ่านที่ตัวเองเขียนมา…รู้สึกว่ามันมีแต่ซีนพูดกันอย่างเดียวเลยอ่ะ หวังว่าจะไม่น่าเบื่อนะคะ ;__;) เรื่องนี้กะให้การเดินเรื่องตรงข้ามกับฟิคไฮสคูล…ฟิคไฮสคูลนี่จะออกแนวค่อยๆบิวด์ค่อยๆได้รู้ใจกัน แต่เรื่องนี้อยากให้เป็นเนื้อเรื่องค่อยๆคลี่คลายออก ชาร์ลส์ต้องไขปริศนาไปเรื่อยๆอะไรงี้อ่ะค่ะ

 

 

 

 

แต่บทนี้คุณพ่อกับคุณพี่เลี้ยงเคลียร์กันรู้เรื่องแล้ว…เพราะงั้นต่อไปก็รอลุ้นนะคะ AwA

 

 

 

สำหรับทุกคอมเมนต์และการเมาธ์ในทวิต

 

 

 

Until the next time!!

 

 

 

ปล. เกือบลืมไป วันนั้นขุดเจอรูปพี่ฟาส มาดนี้มันแด็ดอีริคที่คิดไว้มากเลยค่ะ แต่ต้องแปะผ้าพันคอแบบเชมด้วยจะเริ่ดดดดด #รักพี่ฟาสใส่หมวกกับผ้าพันคอเยี่ยงชีพ

 

 

 

 

ไป(จริงๆ)ล่ะค่ะ

 

 

#ไม่มีอะไร awkward หรอก อยากแปะเบเนดิคเฉยๆ 
 

3 responses to “[X-Men Fic][ErikCharles] Where Our Hearts Belong (4)

  1. ครึ่แรกของตอนนี้เคืองอีริคมาก
    ทำเป็นคนไม่มีหัวใจไปได้นะ
    แต่พออ่านไปอ่านมา นี่นายมันก็แค่ผู้ชายขี้อายไม่กล้าเริ่มต้นกับเด็กๆนี่!!!
    น่ารักไป๊ ฮื้ออออ แล้วเวลาผช.ตัวโตๆง้อแบบเนียนๆให้ไปคิดเองนี่มันน่าร๊ากกกกก
    #ระเบิดตัวเองตอนมี๊ชาร์ลส์เขิน

    Like

  2. ครั้งล่าสุดที่เข้ามานึกว่าพี่ทิพย์ลบเรื่องเตรียมรวมเล่มข่ะ
    พอเข้ามาอีกที อู้ยมีเต็มเลยถถถถถถ
    เพิ่งดูเอ็กซเมนเสร็จก็หาฟิคสังเวยตัวเองทันทีข่ะฟฟฟฟฟฟฟฟ
    เอ๊ะนี่คือแบบ แม่มาตามพ่อกลับบล้านชัดๆฟฟฟฟฟฟ
    แบบ ตาแก่กลับบ้าน ไปช่วยชั้นเลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้ยยยยย์ถถถถถถถถถถถถถ
    น่ารักอ่าาาาาาาา ขออิริคกลับบ้านที่นึงด่วนเลยค่ะถถถถถถ

    Like

  3. คุณแด๊ดขี้อายนี่เองงง แต่ง้ออย่างนี้มันน่ารักมากก //หยุดยิ้มไม่ด้ายย

    Like

Leave a comment