[The Hobbit Fic] Your Heart is the Place I Call Home

    
Your Heart is the Place I Call Home

The Hobbit fanfiction by Tippuri~ii *

 

 
 

 

Pairing: Thorin Oakenshield x Bilbo Baggins


 
 

 * แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

 

 

 

REMARK: ครั้งนี้ไม่เสื่อมแล้ว สาบาน =W=

 

 

****************************************

    

 

 

สายลมยามกลางดึกนั้นหนาวเย็นบาดผิวนัก

              

 

 

 

 

บิลโบ แบ็กกินส์จำได้ว่าตนรู้สึกเย็นจนนิ้วมือชาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว…ผ้าห่มที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาและเสื้อนอกตัวเก่งดูจะไม่สามารถต่อกรกับลมหนาวบนยอดผาได้เลย แต่เขาก็ชินแล้วกับข้อเท็จจริงที่ว่าความสะดวกสบายไม่ใช่สิ่งที่หาได้ในการเดินทางครั้งนี้…บิลโบจึงพยายามไม่สนใจความหนาวเย็นและข่มตาหลับลงเสีย

              

 

 

 

 

หากตอนนี้…สัมผัสของอะไรนุ่มๆ ทำให้ความง่วงของฮอบบิทตัวจ้อยที่เผอิญตื่นขึ้นมากลางดึกเจือจางลงไป ตอนแรกบิลโบคิดว่าตนคงฝันถึงเตียงที่ไชร์จนคิดเพ้อเจ้อไปเองว่าตัวเองกำลังรู้สึกอุ่นจริงๆ…แต่ก็เริ่มแยกแยะออกว่านี่ไม่ใช่ความฝัน มีผืนผ้าขนสัตว์หนาหนักคลุมทับอยู่บนตัว…ปกป้องเขาให้พ้นจากลมหนาวที่บาดผิว

              

 

 

 

 

บิลโบค่อยๆ ลุกขึ้น…ขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนที่ความงัวเงียจะหายไปจนหมดเมื่อพบว่าสิ่งที่ห่มคลุมร่างตนอยู่คือเสื้อขนสัตว์ตัวนอกของหัวหน้าคณะเดินทาง…บุคคลที่ดูจะไม่ชอบหน้าเขามาตลอดจนกระทั่งหลังจากไม่กี่วันมานี้ที่ทุกคนหนีรอดมาจากพวกออร์คได้หวุดหวิด

              

 

 

 

 

บิลโบตวัดเสื้อขึ้นมาถือ สัมผัสและกลิ่นของมันเตือนให้คิดถึงวินาทีบนยอดผายามพระอาทิตย์ขึ้นในตอนนั้น…วินาทีที่ท่อนแขนขององค์ราชารั้งเขาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ความอบอุ่นที่ได้สัมผัสนั้นมากมายเกินกว่าคำพูดใดๆ จะสามารถบรรยาย…ในเมื่อมันคือความอบอุ่นที่ซ่านขึ้นเต็มหัวใจ

           

 

 

 

 

ให้ตายสิ…เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย…?

              

 

 

 

 

ฮอบบิทส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดนี้ ก่อนจะกวาดตาไปรอบๆ เพื่อมองหาเจ้าของเสื้อ…หากรอบตัวก็มีเพียงร่างของคนแคระที่หลับสนิท ดวงตาสีดำไล่นับไปตามจำนวนคน…ก่อนจะพบว่าบุคคลเดียวที่หายไปคือคนที่เขากำลังมองหา สรุปได้ว่าเจ้าตัวคงรับหน้าที่อยู่ยามในกะนี้เป็นแน่แท้

              

 

 

 

 

กองไฟสีส้มสดทำให้เห็นเงาดำที่ทาบผ่าน บิลโบมองไปทางริมผาที่ห่างออกไป…มีเงาร่างยืนอยู่ในความมืด สีดำของยามราตรีถูกย้อมด้วยแสงดาวที่พร่างพรายทำให้เขาเห็นได้ชัดเจน…และภาพของวงหน้าคร้ามที่แหงนมองท้องฟ้าเวิ้งว้างอยู่เพียงลำพังก็ทำให้บิลโบยิ่งตระหนักได้ว่าธอริน โอเคนชีลด์ดูสง่างามและน่ายำเกรงเพียงใด

           

 

 

 

 

…แต่ก็ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน

              

 

 

 

 

บิลโบรู้ดีว่าอย่างไรเสียธอรินก็คงยังรำคาญความอ่อนหัดในทุกๆ ด้านของตน…และการเข้าไปคุยด้วยก็คงรังแต่จะเพิ่มความรู้สึกนั้น แต่ความคิดไร้สาระนี้ก็ทำให้เขานิ่งเฉยไม่ได้…ร่างเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเบาเสียงเพราะไม่อยากกวนเหล่าคนแคระที่กำลังหลับสบาย ก่อนจะจรดปลายเท้าไปตรงริมผา

              

 

 

 

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธอรินจะรู้ดีว่าเป็นเขา…ดวงตาสีเทาปรายมามอง ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปมองทิวทัศน์ด้านหน้าดังเดิม บิลโบเม้มริมฝีปาก…ทำใจแล้วว่าจะต้องมีความเงียบกระอักกระอ่วนระหว่างกันและกัน ตัดสินใจเริ่มบทสนทนาด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำ

              

 

 

 

 

“เอ่อ…ข้า…ข้าเอานี่มาคืน…” บิลโบก้มหน้า พูดติดๆ ขัดๆ ตามนิสัยเวลาที่ตื่นเต้น…ก่อนจะส่งม้วนเสื้อหนาหนักสีเข้มให้ “เอ่อ…อืมมมมม…ขอบคุณมากนะ”

              

 

 

 

 

ธอรินส่งเสียงตอบรับสั้นๆ ในลำคอแล้วเอื้อมมารับมันไป…หัวใจของบิลโบเต้นผิดจังหวะไปชั่ววินาทีเมื่อปลายนิ้วของพวกเขาสัมผัสกัน และก็รีบทำให้ตัวเองลืมมันไปเสียด้วยการชวนคุย

              

 

 

 

 

“อืมมมม…ท่านกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” เขาหันไปมองในทิศทางเดียวกันบ้าง ตอบคำถามตัวเองเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไร “อ๋อ…ท่านกำลังดูดาวสินะ คืนนี้ดาวเยอะจริงๆ เสียด้วย…ยิ่งมาอยู่บนที่สูงแบบนี้ยิ่ง…”

              

 

 

 

 

“ไม่…มาสเตอร์แบ็กกินส์” เสียงทุ้มต่ำตอบเรียบๆ “ข้าแค่กำลังมอง…เอเรบอร์”

              

 

 

 

 

ต่อให้อีกฝ่ายพูดแทรกกลางประโยคของเขา หากบิลโบไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทแต่อย่างใด…เพราะน้ำเสียงของธอรินเนิบนุ่ม ความโหยหาเจือชัดอยู่ให้ได้ยิน…น้ำเสียงแบบที่เขารู้ดีว่าเจ้าตัวไม่เคยได้ใช้บ่อยนัก นั่นจึงทำให้เขามองตามไปบ้าง…ยอดเขาสูงหลบเร้นอยู่หลังเมฆหมอก ทะมึนทาบทับท้องฟ้ายามราตรี

              

 

 

 

 

“ท่านคงคิดถึงมันมากสินะ” บิลโบพูดเบาๆ “…เอเรบอร์น่ะ?”

              

 

 

 

 

ธอรินมองหน้าเขา…และในความประหลาดใจอันล้นพ้น ราชาใต้ขุนเขาก็ขยับยิ้มออกมา…มันเป็นรอยยิ้มที่นุ่มนวล แม้จะเพียงบางเบา…หากก็ทำให้วงหน้าคร้ามดูอ่อนโยนลงยิ่งนัก

              

 

 

 

 

“มันเป็นสถานที่ที่งดงามที่สุด…” นัยน์ตาสีเทาระริก…ราวกับกำลังคิดถึงภาพอดีต “มันคือที่ที่รวมเรื่องราวมากมายเอาไว้…มันคือบ้านของข้าและทุกๆ คน”

              

 

 

 

 

บิลโบพยักหน้า…ว่าตามจริงแล้ว เอเรบอร์ในจินตนาการของเขาห่างไกลจากนิยามคำว่า ‘บ้าน’ นัก…เพราะบ้านที่บิลโบคุ้นเคยคือเนินหญ้าที่อบอุ่นด้วยแสงแดดและกลิ่นหอมหวานของบรรดาพืชพันธุ์ ไม่ใช่นครยิ่งใหญ่ใต้ภูเขาที่มั่งคั่งด้วยทองคำกับอัญมณีเกินคณา…หากเขาก็มั่นใจว่าในแง่ของความรู้สึกแล้ว ทุกคนย่อมต้องการจะมีที่ให้กลับไปไม่ต่างกัน และนั่นเองที่ทำให้เขายินดีจะร่วมการเดินทางนี้แม้รู้ว่าทางที่รอให้ก้าวผ่านนั้นอันตรายเพียงใด

              

 

 

 

 

“ข้ารู้ว่าท่านอาจจะหัวเราะกับคำพูดของข้า…” บิลโบพูดเสียงค่อย จ้องลึกในดวงตาสีเทา “แต่ข้าอยากจะบอกท่านว่า…ข้าจะทำทุกทางให้ท่านได้เอเรบอร์คืนมา”

              

 

 

 

 

คราวนี้…รอยยิ้มนุ่มนวลแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขำขัน “ขอบคุณมาก…มาสเตอร์แบ็กกินส์ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องเป็นกำลังที่สำคัญที่สุดของพวกเราแน่นอน”

              

 

 

 

 

บิลโบมุ่นคิ้วเล็กๆ ใส่องค์ราชาโทษฐานที่ล้อเลียนตน แต่ก็พูดต่อ “เชื่อข้าสิธอริน…ข้ามั่นใจว่าพวกท่านทุกคนจะช่วยกันกอบกู้เอเรบอร์ได้แน่”

              

 

 

 

 

แววสนุกสนานหายไปจากดวงตาสีเทา…เสียงทุ้มพูดเนิบนาบ

              

 

 

 

 

“ข้าอยากรู้นักว่าฮอบบิทตัวจ้อยร่อยอย่างเจ้าเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหนกัน” ธอรินมองอีกฝ่าย…ยอมเปิดเผยความจริงที่เก็บไว้ในใจมาตลอดเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนเสียกำลังใจ “บางครั้งข้าเองก็สงสัยด้วยซ้ำว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องเสียเปล่าไหม…ว่าข้าดิ้นรนไล่ตามความฝันไร้สาระหรือไม่”

              

 

 

 

 

วงหน้าคร้ามหันมองไปทางกองไฟ…พูดเบาๆ ราวรำพึง

              

 

 

 

 

“ข้าล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง…และนั่นนำมาซึ่งความตายมากมายนัก” ความหนักหน่วงฉายชัดในน้ำเสียงและแววตา “แล้วในตอนนี้…พวกเราก็มีเพียงคนแคระและพ่อมด ไม่ใช่กองทหารนับพันเช่นตอนนั้น…”

              

 

 

 

 

“ท่านลืมนับข้าไปหรือเปล่า?” บิลโบพูดแทรก…พยายามทำเสียงให้ร่าเริง “แกนดัลฟ์บอกว่าข้าจะช่วยให้แผนการสำเร็จได้…และข้าก็บอกว่าข้าจะทำทุกอย่างเพื่อท่าน เพราะอย่างนั้น…ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดีแน่”

              

 

 

 

 

ธอรินมองคนพูดนิ่งๆ…หากเจ้าตัวดูจะไม่ได้รับรู้ถึงความอ่อนโยนในแววตาที่มองมาเลย

             

 

 

 

 

“และที่ข้ามั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เพราะมีท่าน” บิลโบพูดหนักแน่น ยิ้มละไมตามนิสัย “ท่านกล้าหาญและมีเมตตา แล้วก็คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง…ธอริน ต่อให้ข้าไม่ได้รู้อะไรมากมายเรื่องการรบ…แต่ข้าก็รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่มี”

              

 

 

 

 

คนฟังไม่ตอบคำ…ละสายตาไม่ได้จากวงหน้าของอีกฝ่าย เขาเคยคิดมาตลอดว่าบิลโบ แบ็กกินส์เป็นเพียงตัวถ่วงที่รักสบายและดีแต่บ่น หากตั้งแต่วินาทีที่ฮอบบิทตัวจ้อยนี้กระโดดมาขวางหน้าออร์คเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้จนถึงตอนนี้…ธอรินก็พบว่าความเข้าใจผิดของตนอาจจะมากมายเกินกว่าที่ได้ยอมรับต่อหน้าอีกฝ่ายไปแล้วนัก

              

 

 

 

 

ความเงียบทิ้งตัว ก่อนที่เขาจะทวนคำเบาๆ “เจ้าบอกว่าเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อข้างั้นหรือมาสเตอร์แบ็กกินส์?”

              

 

 

 

 

“อะ เอ่อ…ก็ใช่…” บิลโบอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย เพิ่งตระหนักได้ว่าคำสัญญานั้นฟังดูแปลกๆ ชอบกล…แปลกๆ ชนิดที่ไม่ค่อยดีกับหัวใจเท่าไหร่ จึงรีบแก้ตัวทันที “ข้าหมายถึงว่า…เอ่อ…ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อแผนการของท่านน่ะ ใช่เลย…นั่นแหละ…”

              

 

 

 

 

มือกร้านแตะลงบนบ่าของคนตรงหน้า…รอยยิ้มขำขันบางเบาระบายบนเรียวปากอีกครั้ง หากเสียงพูดนั้นนุ่มนวลและหนักแน่น “ขอบคุณ…มาสเตอร์แบ็กกินส์ คำพูดของเจ้ามีความหมายกับข้ามากจริงๆ”

              

 

 

 

 

บิลโบก้มหน้างุด พูดอุบอิบอย่างเจ็บใจนิดๆ…แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบเขินชอบกล “ท่านช่วยหยุดล้อเลียนข้าสักทีจะได้…ไหม…”

              

 

 

 

 

คำสุดท้ายของประโยคตกหล่นเพราะมือแข็งแรงนั้นรั้งร่างของเขาเข้าไปหาอย่างนุ่มนวล…และบิลโบก็พบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของธอริน โอเคนชีลด์อีกครั้ง อ้อมกอดที่ยังคงอบอุ่นจนทำให้หัวใจรู้สึกสงบไปพร้อมๆ กับที่เต้นผิดจังหวะ…อาการแปลกๆ ที่บิลโบคิดว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเองเป็นแน่ และเจ้าอาการที่ว่านี้ก็เลวร้ายหนักเข้าไปอีกเมื่อท่อนแขนนั้นโอบแน่นขึ้นและวงหน้าคร้ามก้มลงมากระซิบข้างหู

              

 

 

 

 

“ไม่เลย…มาสเตอร์แบ็กกินส์” เขาไม่ได้เห็นหน้าขององค์ราชาในตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม…จากน้ำเสียงแล้ว บิลโบคิดว่าคนพูดกำลังยิ้มบางๆ อยู่ “…ข้าหมายความตามนั้นจริงๆ”

              

 

 

 

 

ฮอบบิทในอ้อมกอดของเขากระซิบอะไรพึมพำ…อาการที่ธอรินชักจับสังเกตได้แล้วว่าเป็นนิสัยของเจ้าตัว เขายิ้มขำออกมา…แต่ก็ลืมทุกอย่างไปเมื่อท่อนแขนสั้นๆ ของอีกฝ่ายยกขึ้นโอบตนกลับบ้าง เสียงงึมงำนั้นชัดเจนแล้วในตอนนี้

              

 

 

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้า..เอ่อ…อืมมมม…ข้าก็ดีใจมากท่านคิดเช่นนั้น”

              

 

 

 

 

การกระทำและคำพูดนั้นง่ายดาย…หากธอรินกลับพบว่าตนกำลังรู้สึกมีความสุขและสงบใจอย่างไม่เคยเป็นมาแสนนาน องค์ราชาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่รู้สึกเช่นนี้นั้นเป็นตอนที่เอเรบอร์ยังไม่ล่มสลาย…ตอนที่เขายังไม่เสียบ้านและครอบครัวอันเป็นที่รัก ความอบอุ่นที่ลืมไปเนิ่นนาน…หากบิลโบ แบ็กกินส์กลับสามารถนำมันกลับมาสู่หัวใจของเขาอีกครั้งอย่างง่ายดายราวกับไม่ต้องพยายามอะไรเลย

              

 

 

 

 

ชั่วครู่…ก่อนที่อ้อมแขนจะผละจาก ธอรินเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวและพูดเบาๆ “ข้าแนะนำว่าเจ้าไปนอนต่อดีกว่า…มาสเตอร์แบ็กกินส์”

              

 

 

 

 

“แล้วท่านล่ะ?” บิลโบถาม ก่อนจะขมวดคิ้ว “ท่านได้นอนไปบ้างหรือยังน่ะธอริน?”

              

 

 

 

 

ราชาใต้ขุนเขาขมวดคิ้วใส่คำซักไซ้บ้าง “ข้าสบายดี…เจ้าทำตามที่ข้าบอกเถอะ”

              

 

 

 

 

“อืมมมมมมม” เจ้าฮอบบิทส่งเสียงรับไปอย่างนั้นแต่ไม่ได้คิดจะทำตามสักนิด ร่างป้อมๆ เดินตุ้บตั้บไปเขย่าหนึ่งในคณะเดินทางที่หลับอยู่ “ฟิลี…ตื่นเถอะ ถึงตาเจ้าอยู่ยามแล้วนะ”

              

 

 

 

 

“หะ หา…?” เจ้าของชื่องัวเงีย หาวออกมา “มะ มาสเตอร์…บะ แบ็กกินส์…?”

              

 

 

 

 

“ใช่ๆ…นี่ข้าเอง” บิลโบพูดรวบรัด “ธอรินบอกให้เจ้ามาอยู่ยามต่อน่ะ”

              

 

 

 

 

“ท่านลุงบอกเช่นนั้นหรือ?” คนแคระผมสีน้ำตาลทองตาสว่างทันควัน คว้าอาวุธประจำตัวขึ้นมาถือไว้ “ขอบคุณมากที่มาบอกข้ามาสเตอร์แบ็กกินส์…ท่านพักผ่อนเถอะนะท่านลุง”

              

 

 

 

 

บิลโบยิ้มส่งฟิลีที่เดินออกไปยืนเฝ้ายาม ก่อนจะสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงธอรินเปรยขึ้น “บอกข้าซิมาสเตอร์แบ็กกินส์…ว่าเจ้าคิดจะขัดคำสั่งของข้าอีกสักกี่หนกัน?”

              

 

 

 

 

“ข้า…เอ่อ…อืมมมมมม” ฮอบบิทพูดติดขัด ก่อนจะพูดตัดบทแบบแนบเนียน “เอาน่า…ฟิลีก็ตื่นแล้วนี่ ข้าว่าท่านนอนบ้างดีกว่านะ”

              

 

 

 

 

เขาพยักหน้าเออออเสร็จสรรพแล้วก็เดินกลับไปทิ้งตัวนอนลงตรงจุดเดิม หากก่อนที่จะทันได้ข่มตาหลับ…สัมผัสอบอุ่นของเสื้อนอกตัวหนาของธอรินก็คลุมลงบนร่างอีกครั้ง

              

 

 

 

 

“เอ่อ…ข้าว่าอย่าเลย…”

              

 

 

 

 

บิลโบหยัดตัวขึ้นนั่ง แต่โดนตัดบทด้วยเสียงเรียบหากเฉียบขาด “เจ้านอนตัวสั่นงกๆ มาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว…ข้าเห็นแล้วรำคาญตา ห่มไว้เถอะ”

              

 

 

 

 

“แต่…”

              

 

 

 

 

คนโดนว่าอ้ำอึ้ง…ได้รู้แล้วว่าธอรินสละเสื้อนอกมาห่มให้ตนตั้งแต่หัวค่ำ ซึ่งถ้านับเวลาแล้ว…เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทนหนาวได้อย่างไร นั่นจึงทำให้ตอนนี้บิลโบไม่อาจทำใจยึดเสื้ออุ่นๆ นี่มาได้อีก…ดวงตาสีดำมองร่างที่เอนลงนอนอย่างไม่สนใจเขาอีกแล้วอย่างละล้าละลัง ชั่งใจอยู่สักครู่ก่อนจะตัดสินใจได้

              

 

 

 

 

ราชาใต้ขุนเขามองท้องฟ้าพร่างดาวเงียบๆ…เขารู้ดีว่าบุคคลที่มีชีวิตในดินแดนสงบสุขและอุดมสมบูรณ์อย่างไชร์จะต้องคิดแน่นอนว่าการเดินทางแบบนี้ลำบากลำบนแค่ไหน นั่นจึงทำให้ธอรินรู้สึกรำคาญตารำคาญใจนักในช่วงแรกๆ ที่ต้องมาทนกับความอ่อนหัดหลายๆ อย่างของเจ้าฮอบบิทนี่ แต่เมื่อมาย้อนคิดดีๆ แล้ว…องค์ราชาก็พบว่าถึงจะบ่นสารพัด หากบิลโบ แบ็กกินส์ก็ไม่เคยหันหลังให้การเดินทางครั้งนี้เลย สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวคิดจะแยกทางกลับไปมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

           

 

 

 

 

…คำพูดของเขาเอง

              

 

 

 

 

และเมื่อได้ฟังคำพูดและเห็นการกระทำของบิลโบ แบ็กกินส์ในไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้ว องค์ราชาก็ต้องยอมรับว่าอคติของตนนั้นมากมายเกินไปจริงๆ…นั่นจึงทำให้ตอนนี้ เขาคิดว่าตัวเองควรจะชดเชยการกระทำแย่ๆ ที่ผ่านมาด้วยการเข้าใจธรรมชาติของเจ้าฮอบบิทเสียบ้าง ซึ่งอากาศหนาวขนาดนี้…ธอรินมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องทนไม่ได้แน่ หากที่ผิดคาดก็คือการที่เจ้าตัวพยายามนอนโดยไม่บ่นอะไรอย่างทุกที

           

 

 

 

 

ไม่สิ…ถ้ามาคิดๆ ดูแล้ว บิลโบน่ะเลิกบ่นไปตั้งนานแล้ว…แต่เขาเองต่างหากที่ไม่ได้สนใจจะจำ

              

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้ราชาใต้ขุนเขาแสดงความอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อนด้วยการสละเสื้อคลุมของตนให้คนที่พยายามทนหนาว และเมื่อตอนนี้ที่ได้ยินเสียงขยับตัวและผ้าขนสัตว์ดังสวบสาบเข้ามาใกล้…ธอรินก็นึกในใจว่าตนจะต้องทำอย่างไรให้เจ้าฮอบบิทหัวดื้อนี่เลิกหาทางเอาเสื้อมาคืนสักที

              

 

 

 

 

“มาสเตอร์แบ็กกินส์…ข้าบอกแล้วไงว่า…”

              

 

 

 

 

ธอรินเตรียมจะพูดเมื่อเสื้อขนสัตว์ของตนโดนคลุมลงมา…หากความหงุดหงิดใจก็หายไปเมื่อร่างเล็กๆ ของเจ้าฮอบบิทนอนลงมาเคียงข้าง

              

 

 

 

 

“เอ่อ…ข้าคิดว่า…อืมมมมม…เสื้อท่านตัวใหญ่มาก” บิลโบพูด…พยายามทำเสียงปกติเพื่อปกปิดความเขิน “อะ อากาศหนาวมากนะ…เอ่อ…เราแบ่งกันห่มจะดีกว่า อืมมมม ใช่ๆ…แบบนี้แหละดีกว่า”

              

 

 

 

 

ธอรินนิ่งไป…ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับความดื้อด้านของอีกฝ่าย คงไม่ได้รู้เลยว่าเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่มีกระแสเอ็นดูนิดๆ เช่นนี้ทำให้คนฟังยิ่งเขินแค่ไหน ร่างเล็กจึงรีบพูดทันที

              

 

 

 

 

“ถ้าเช่นนั้น…ก็ราตรีสวัสดิ์นะ”

              

 

 

 

 

หัวใจของบิลโบยังคงเต้นแรง และยิ่งเต้นแรงเข้าไปอีกเมื่อท่อนแขนแข็งแรงขององค์ราชาตวัดให้ตัวเสื้อคลุมร่างของเขาดีๆ…ท่อนแขนที่พาดทับหากกลับไม่ยกขึ้นไปแม้ว่าเสื้อจะห่มตัวเขาเรียบร้อยแล้ว

           

 

 

 

 

ไม่หรอกนะ…นี่มันไม่เหมือนว่าเขาโดนกอดอยู่หรอก…ล่ะมั้ง…?

              

 

 

 

 

บิลโบตัดสินใจไม่พูดทักอะไรและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตอนเบียดซุกเข้าในอ้อมแขนอบอุ่นนั่น…การกระทำที่ทำให้ธอรินยิ้มบางๆ ออกมา กระชับกอดเอาไว้ก่อนจะหลับตาลงบ้าง

              

 

 

 

 

“ราตรีสวัสดิ์…มาสเตอร์แบ็กกินส์”

              

 

 

 

 

แม้ว่าระยะทางจะยังอีกยาวไกล…หากในคืนนี้ พวกเขาทั้งคู่รู้สึกราวกับว่าได้กลับถึงบ้านแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Fin.

 

******************************************

 

 

ฮาาาาาาาาาาาายยยยยยยยย /ถลาเข้ามา

 

 

นี่ควรเป็นฟิคฮอบบิทเรื่องแรกที่ได้เปิดตัวในหน้าบล็อกนะคะ แต่อืมมมมม นั่นแหละ มีเรื่องที่แล้วมาตัดหน้า… /ไม่ขอสบตาใคร

 

ตอนแรก แรกแรกแรก แรกสุดเลยเนี่ย…ไม่ได้คิดว่าจะได้จิ้นอะไรในหนังเรื่องนี้เลย มีแค่สม็อกเชอร์ลอคกับบิลโบจอห์นขำๆออกมาบ้างตามประแสติ่งพ่อเหนียงหยิกที่ดี U/////U แต่ไม่ได้คิดได้ฝันเลยค่ะว่าจะเขียนฟิคฮอบบิทจริงจัง

 

 

แต่…แต่…แต่…./สะอื้น/ หลังจากได้ไปดูมา สารภาพเลยว่าสม็อกโบหายวูบไปจากใจเลยทีเดียวเมื่อเจอทรั่นราชาคนแคระ ยิ่งดูไปเรื่อยๆก็ยิ่งบรั่บ…ทำไมทรั่นด่าเอาด่าเอา แต่ทรั่นก็ช่วยบิลโบสุดตัวเลยเค๊อะ?? แถมพอบิลโบจะกลับบ้าน ทรั่นก็มีแอบมองด้วยสายตาอ่อนไหวเสียใจฝุดๆด้วย ทำไมมมมมมมมมมมมม???????? /กระชากเคราถาม //โดนไม้โอ๊คตบ

 

 

 

 

โอเค หยุช…./เสยผม

 

 

เราก็ดูด้วยสายตาแบบ “อืมมมมม โอเค….=____=” มาจนสุดท้าย สุดท้าย สุดท้ายยยยยยยยยยยย

 

 

เนี่ยอ่ะ!!!! เนี่ยเนี่ยเนี่ยยยยยย!!!

 

 

แล้วดูสีหน้านั่นสิห์หหหหหหหหหห์

 

 

 

 

 

……………………………แป็บดิ

 

 

………………แป็บนะ

 

 

……แป็บนึงนะ

 

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

 

 

ฮืออออออออออออออออออออพวกเธอต้องการอะไรจากฉันนนนนนนนนนนนนนนนนน

 

 

สรุป: ใครบอกธอรินไม่ซึนมาคุยกันได้นะห์ /หน้าเข้ม //ย้อเย่นก่ะ

 

 

ทิพย์เลยมโนซีนในฟิคนี้ออกมา แต่ก็นั่นแหละ ความเสื่อมมันมาเหนือกว่าอ่ะ เลยก็…นะ…เอนทรีย์ที่แล้วอ่ะแหละ #แง

 

 

เข้าโรงไปด้วยความใส ออกมาเรือเต็มอ่าวเลยค่าาาา ธอรินบิลโบ สม็อกบิลโบ คิลีบิลโบ คิลีทิพย์ #นังนี่ยังไม่เลิก

 

 

 

เห็นพี่ๆน้องๆหลายคนบ้าฮอบบิทกันไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ; v ; แฟนอาร์ตเพียบด้วย สงสัยทิพย์จะช้าไปแล้วสินะ… TxT เอาเถอะ หวังว่าจะเอนจอยฟิคนี้นะคะ!

 

 

 

รักทุกคนม๊ากมากค่ะ /ขว้างปาหัวใจใส่

 

 

 

 

ทิพย์เอง

 

 

 

ps. ดองเอนทรีไว้เขียนฉลองวันกอดเลยนะห์ อิ v อิ

 

 

8 responses to “[The Hobbit Fic] Your Heart is the Place I Call Home

  1. โอวววว จะเป็นลม
    ฮอบบิทน้อยน่ารักใสซื่อเสียนี่กระไรคะ O<-<
    นี่ถ้าทั่นธอรินทนไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังง้ายยย

    Like

  2. งือ~บิลโบน่ารักอ่ะ
    @$#^!**$^&!;:”^£(¥×€€÷,(‘¥- ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แล้วคือแบบธอรินก็ดูเป็นห่วงบิลโบมากเลยไงแล้วพอมันมารวมกันนะมันกลายเป็นแบบ
    บู้ม!!!ความฟินระดับ 10

    Like

  3. ทำไมอ่านไปเขินไป >////< แบบว่า บิดเกลัวสามสิบแปดตลบบบ บิลโบ แบบน่ารักกกง่ะ

    Like

  4. อะหืมมมม แบบว่าภาพมันลอยมาเป็นฉากๆเลยต่าาา นึกหน้าบิลโบ้ตอนอ้ำๆอึ้งๆออกเลย ตามาร์เจสติกก็สุดจะซึน โอยยยยยย เป็นรักที่ทรมาณของติ่งอย่างเราๆจริงๆในการจะเชียร์คู่เนี้ยยยยยย

    Like

    • ชอบมาเจสติกเนียนแบบซึนๆมากค่ะอิอิอิ
      เป็นห่วงฮอบบิทก็บอกกกก
      ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ

      Like

  5. ละมุนมากค่ะ
    บิลโบช่างน่ารัก. ถึงตัวจะเล็ก แต่จิตใจกล้าหาญแข็งแกร่งมาก.
    ชอบเวลาท่านแบกกิ้นส ์ เขิน. พูดติดๆขัดๆ. น่าเอ็นดู. >///<

    Like

  6. เอ็นดูฮอบบิทเขินได้น่าจับกินม้ากมาก

    Like

Leave a comment