{Beautiful Words Prompt}[Haikyuu!! Fic][IwaOi] Evaporate, Evaporate, Evaporate

 

 

REMARK: เป็นการลงฟิคตามรีเควสต์ค่ะ(รายละเอียดรีเควสต์>>Beautiful Words Prompt) เราว่ามันน่าสนใจดี เลยอยากลองเล่นดูบ้าง เป็นครั้งแรกเลยที่เปิดรับรีเควสต์ แอบตื่นเต้นค่ะ ฮาาาา

 

 

เขียนไว้ว่าอิวะโออิ แต่จะอ่านเป็นโออิอิวะก็ได้ค่ะ

เพราะสำหรับเราแล้ว สมการนี้มันคือโออิกับอิวะค่ะ ไม่ได้มีโพสิชั่นตายตัว

 

 

 

 

Agelast – A person who never laughs

(requested by Anonymous)

 

 

 

 

 

 

 

Evaporate, Evaporate, Evaporate

 

               

 

 

 

 

 

โออิคาวะ โทรุไม่ใช่คนยิ้มยาก แต่ในทางกลับกัน เจ้าตัวก็ไม่ได้ยิ้มบ่อยนัก

 

 

 

 

 

การนับนี้เป็นไปตามความเห็นของอิวะอิซึมิเอง นั่นจึงหมายความว่าเขาไม่รวมครั้งแล้วครั้งเล่าที่เพื่อนสนิทยิ้มร่าให้เหล่าแฟนคลับหรือเวลาถูกสัมภาษณ์โดยแหล่งข่าว สีหน้าที่เด็กหนุ่มนับว่าเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงของโออิคาวะคือสีหน้าในช่วงการซ้อมที่ทุกคนทำได้ดี ประกายตื่นเต้นปนภูมิใจยามมองผลงานของตัวเอง และเวลาที่เจ้าตัวแกล้งโอดโอยหลังโดนทุกคนในทีมโหวตแกมบังคับให้เลี้ยงข้าว

 

 

 

 

 

เพราะนับแค่ช่วงเวลาแบบนี้เท่านั้น…ภาพโออิคาวะ โทรุในสายตาของอิวะอิซึมิจึงไม่ใช่ภาพของเด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มกว้างขวางตลอดเวลาเลย และเมื่อเขาได้เห็นรูปถ่ายบนหน้านิตยสาร…ข้อเท็จจริงนี้ก็ยิ่งชัดเจนในใจ ความรู้สึกแรกตอนที่ได้เห็นนั้นคือความรู้สึกงุ่นง่านหมั่นไส้อย่างทุกที แต่หลังจากมองอยู่สักครู่…อิวะอิซึมิก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มในรูปถ่ายนี้คือใครก็ไม่รู้ เป็นคนสักคนที่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น

 

 

 

 

 

เพราะโออิคาวะ โทรุที่เขารู้จักไม่เคยใช่คนที่มีความมั่นใจเปี่ยมล้นเหมือนคนในรูปถ่ายนี่เลยสักนิด

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

“คนเขาสารภาพรักกันก็เพราะเขาอยากเป็นแฟนกันนี่นะ~ อิวะจังเอาแต่ทำตัวเป็นคุณแม่อย่างนี้ไงล่ะถึงไม่มีใครมาสารภาพด้วย~”
           

 

 

 

 

ประโยคนี้ของโออิคาวะได้รับคำตอบเป็นลูกวอลเล่ย์บอลจากมือของเขา ตามมาด้วยเสียงครางแอร่กๆ จากเจ้าตัวที่ดูจะเจ็บไม่จำสักที…อิวะอิซึมิจำได้ว่ารุ่นน้องทุกคนต่างก็หน้าซีดไปวูบหนึ่งตอนได้เห็นการโต้ตอบราวๆ นี้เป็นครั้งแรก แต่วันเวลาก็ทำให้ทุกคนค่อยๆ รู้กันในที่สุดว่านี่คือเรื่องปกติ…โออิคาวะ โทรุผู้เก่งกาจนั้นมักไม่ค่อยเป็นฝ่ายที่ได้ชนะเท่าไหร่เลยถ้าเป็นการแข่งกันเองระหว่างเหล่านักเรียนชั้นปีสามในทีม

 

 

 

 

 

การล้อเลียนแบบนี้เป็นสิ่งที่คุณกัปตันมักจะยกมาข่มชาวบ้านโดยเฉพาะอิวะอิซึมิมากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องเดียวที่โออิคาวะดูจะชนะเพื่อนร่วมชั้นได้อย่างขาดลอย…คำสารภาพไม่ว่าจะต่อหน้า ผ่านจดหมาย หรือมาในรูปของของขวัญแทนใจนั้นมีมากมายเสียจนไม่มีทางจดจำได้หมด และคำโอ่นี้ก็จะถูกพูดซ้ำทุกครั้งเมื่อเจ้าตัวเอาขนมได้รับมาแบ่งให้ลูกทีมทุกคน

 

 

 

 

 

อิวะอิซึมิไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าโยนลูกวอลเล่ย์บอลใส่หัวเพื่อนสนิทกับกินขนมพวกนั้นจนเกลี้ยง…เด็กหนุ่มผมดำไม่เคยพูดเลยสักครั้งว่าสิ่งที่โออิคาวะเข้าใจนั้นผิดถนัด ผู้คนอาจจะไม่ได้เข้ามาหาแบบเอิกเกริกเท่ากับอีกฝ่าย…แต่เขาเองก็ได้รับคำสารภาพและจดหมายกับของขวัญไม่น้อยไปกว่าเพื่อนสนิทเลยสักนิด แค่เพียงอิวะอิซึมิจัดการกับพวกมันอย่างเงียบๆ…บอกปฏิเสธอย่างนุ่มนวลหากชัดเจนทุกครั้ง ส่งจดหมายและของขวัญคืนให้กับเจ้าของในสภาพสวยงามเหมือนตอนได้รับทุกชิ้น

 

 

 

 

 

โออิคาวะไม่เคยได้รู้ถึงทุกคำสารภาพรักที่อิวะอิซึมิได้รับเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

หยดเลือดซึมขึ้นมาจากปลายนิ้วในที่สุด

 

 

 

 

 

โออิคาวะรู้ได้ก่อนที่จะเห็นเสียอีก ความเจ็บปวดที่แล่นวาบเป็นดั่งคำบอกล่วงหน้า และรสเฝื่อนๆ กับสีแดงฉานที่ได้เห็นก็ช่วยยืนยัน

 

 

 

 

 

ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองเล็บที่ถูกกัดจนสั้น…ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาติดนิสัยนี้ ในความทรงจำเลือนราง…โออิคาวะจำได้ว่ามันเริ่มต้นด้วยปลายเล็บที่จิกเข้าในอุ้งมือเวลาที่ความหวาดหวั่นอันเย็นเยียบโถมทับลงมา ความหวาดหวั่นที่ฝังรากลึกในหัวใจและกัดกินระบบความคิดของเขาตลอดเวลา…และเพราะความหวาดหวั่นนี้ไม่เคยจางหายไปและโออิคาวะไม่สามารถฝึกซ้อมได้หนักเท่าที่ต้องการถ้ามีรอยแผลบนฝ่ามือ ทำให้เมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็มีวิธีใหม่ในการจัดการกับความรู้สึกอันอึดอัดเย็นเยียบนี้แล้ว

 

 

 

 

 

หยดเลือดซึมขึ้นมามากขึ้นอีกนิด

 

 

 

 

 

ดวงตาสีน้ำตาลว่างเปล่ายามที่เปิดน้ำจากอ่างล้างมือเพื่อล้างรอยสีแดงนั่นออกไป…บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องหยุดแล้ว

 

 

 

 

 

หากนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี…ในวันที่ผลการสอบออกมาไม่ดีเท่าที่เคยเป็นมาตลอด…ในวันที่การซ้อมมีแต่ความล้มเหลว…ในวันที่เขากลับมาจากโรงพยาบาลหลังการตรวจสุขภาพของเข่ากับข้อเท้า…หยดเลือดซึมออกจากใต้เล็บที่ถูกกัดจนสั้นเกินไปอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง

 

 

 

 

 

แต่ไม่มีวันไหนที่แผลจะฉีกลึกและเลือดไม่หมดไปแม้จะพยายามกดไว้สักแค่ไหนเท่ากับวันสุดท้ายที่ทีมอาโอบะโจไซได้อยู่ในการแข่งขันวอลเล่ย์บอลระดับมัธยมปลายประจำฤดูใบไม้ผลิอีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

ถึงการซ้อมวอลเล่ย์บอลจะสำคัญแค่ไหน แต่นักเรียนชั้นปีสามทุกคนในชมรมก็ไม่ได้ลืมว่าพวกตนยังมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยรออยู่

 

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้ไม่ว่าตารางการซ้อมจะแน่นแค่ไหน…โออิคาวะ อิวะอิซึมิ ฮานามากิ และมัตสึคาวะก็จะหาเวลามาอ่านหนังสือด้วยกันเสมอ สถานที่ของการนัดหมายไม่เคยตายตัว…บ้านของทุกคนถูกใช้เป็นที่นั่งอ่านนั่งติวมาหมดแล้วทั้งสิ้น แค่เพียงว่าบ้านของอิวะอิซึมิมักจะได้เป็นที่นัดบ่อยที่สุดเพราะมีห้องนั่งเล่นที่กว้างพอที่สี่หนุ่มจะนั่งๆ นอนๆ กันได้ตามสบาย

 

 

 

 

 

เป็นวันหนึ่งที่ทุกคนตัดสินใจพักสายตาจากหน้าหนังสือที่บทสนทนานี้เริ่มต้นขึ้น…โออิคาวะชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือของอิวะอิซึมิแล้วบอกว่านี่เป็นเครื่องที่เพื่อนสนิทใช้มาตั้งแต่ตอนมัธยมต้นแล้ว

 

 

 

 

 

“แล้วไงล่ะ?” เจ้าของมือถือยักไหล่ ไม่เดือดร้อนสักนิดกับคำแซว “ก็มันใช้ถนัดมือดีนี่ แล้วก็ยังไม่เสียด้วย จะเปลี่ยนทำไม?”

 

 

 

 

 

เพราะแซวไม่ขึ้น คนแซวเลยยิ่งพยายามมากกว่าเดิม “เหตุผลของนายมันมนุษย์ลุงมากๆ เลยรู้มั้ยอิวะจัง…”

 

 

 

 

 

อิวะอิซึมิโยนยางลบใกล้มือใส่คนหาเรื่อง เรียกเสียงร้องหวาและถ้อยคำโอดโอยว่าอย่ามือบอนทำลายความงามที่ธรรมชาติอุตส่าห์สร้างสรรค์แบบนี้สิ…ส่งผลให้ปากกาข้างๆ กันโดนร่อนตามมาอีกแท่ง

 

 

 

 

 

มัตซึนหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็ชี้เพื่อนข้างตัวพร้อมบอกอิวะอิซึมิว่าไม่ต้องเหงาไป “เพราะมักกี้ก็ไม่เปลี่ยนทรงผมมาตั้งแต่สมัยประถมแล้วล่ะ…ถ้ายังไม่ใช่ถึงขั้นหมอนี่นายก็สบายใจได้แหละ”

 

 

 

 

 

คนโดนแซวอีกคนส่งเสียงโวยขึ้นมา ก่อนที่บทสนทนาจะค่อยๆ หลอมละลายไปกับจำนวนนาทีที่เลยผ่านในที่สุด

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

เราเป็นเอสประสาอะไรกัน?

 

 

 

 

 

อิวะอิซึมิไม่ได้สังเกตเลยว่าตนเป็นนักเรียนปีสามคนเดียวที่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ปิดบัง…มัตซึคาวะร้องไห้ออกมาเอาก็ตอนที่ได้ฟังคำพูดของโค้ช และนั่นเองที่ทำให้ฮานามากิถึงยอมให้กำแพงที่พยายามก่อไว้พังทลายลงมา

 

 

 

 

 

ไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้าใดบนสีหน้าของโออิคาวะ

 

 

 

 

 

บทบาทของพวกเขาชัดเจนนักในกลุ่ม…โออิคาวะจะเป็นฝ่ายที่ยิ้มสนุกสนานส่วนอิวะอิซึมิจะเป็นฝ่ายที่คอยจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อย แต่ในนาทีนี้…โออิคาวะกลายเป็นคนคนเดียวที่ยึดเหนี่ยวเพื่อนๆ และลูกทีมทุกคนเอาไว้ รอยยิ้มซนๆ ตอนนี้กลับเป็นสีหน้าสงบนิ่ง แผ่นหลังของร่างสูงโปร่งหยัดตรง…โค้งให้กับทีมฝ่ายตรงข้ามและผู้เชียร์จากโรงเรียนอย่างสง่างาม

 

 

 

 

 

เราเป็นเอสประสาอะไรกัน?

 

 

 

 

 

โออิคาวะตบหลังเขาก่อนที่จะออกจากคอร์ท ตามมาด้วยเพื่อนอีกสองคนที่เหลือ…กิริยาง่ายดายที่แทนได้นับพันคำพูด แต่นั่นก็ไม่ได้สามารถทำให้คำถามนี้หายไปจากระบบความคิดของอิวะอิซึมิได้เลย…มันเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจ เหลือไว้แค่รสชาติขมซ่านของเถ้าถ่านความรู้สึก

 

 

 

 

 

ทุกแรงกายและนาทีการฝึกซ้อมทุ่มเทมาเพื่อการแข่งนี้เท่านั้น เพราะไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่านี้อีก…หากมันก็จบลงแล้ว

 

 

 

 

 

น้ำหนักของความจริงกรีดลึกในหัวใจเหมือนกรงเล็บ

 

 

 

 

 

ไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับพวกเรา…แต่พวกเราก็เสียมันไปแล้ว

 

 

 

 

 

ข้อเท็จจริงอีกข้อในใจยิ่งทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกยามที่คิดถึง

 

 

 

 

 

ไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับโออิคาวะ

 

 

 

 

 

อิวะอิซึมิเหลือแค่เพียงความรู้สึกว่างโหวงในอกแล้วตอนที่ได้ยินบทสนทนาของเพื่อนสนิทกับกัปตันทีมโรงเรียนชิราโทริซาวะ…คำพูดที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกโกรธเกลียดตัวเองนัก เพราะไม่ว่าจะบาดลึกสักเพียงไหน…อิวะอิซึมิก็หาทางแย้งมันไม่ได้เลย

 

 

 

 

 

มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ถ้าโออิคาวะเลือกชิราโทริซาวะ…มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ถ้าโออิคาวะได้อยู่ในทีมที่มีเอสที่เก่งกว่าตัวเขา

 

 

 

 

 

“ฟังไว้ให้ดีนะ อุชิจิมะ”

 

 

 

 

 

ไม่ใช่คำเรียกแบบล้อเล่นอีกแล้ว และนั่นเองที่ทำให้ความคิดของอิวะอิซึมิชะงักงันเหมือนเชือกที่ถูกกระตุก

 

 

 

 

 

ชั่ววินาทีเลยผ่าน และแม้แต่น้ำเสียงของโออิคาวะก็ไม่มีกระแสล้อเล่นใดๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้วในประโยคต่อมา

 

 

 

 

 

“ฉันไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวว่าตัวเองตัดสินใจผิด” สิ่งที่อิวะอิซึมิได้รับรู้นั้นมีแค่เสียง…หากความผยองเกรี้ยวกราดใต้ความสงบนิ่งของคำพูดก็ชัดเจนนัก “และการเล่นวอลเล่ย์บอลของฉันก็ยังไม่จบลงเลยสักนิดเดียว”

 

 

 

 

 

ลมหายใจทิ้งจังหวะเว้นว่าง ก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะถูกเอื้อนเอ่ย เปลวไฟที่แผดเผาทุกสิ่งอย่างเงียบงัน

 

 

 

 

 

“เพราะงั้น…นายอย่าได้กล้าลืมความหยิ่งยโสอันไร้ค่าของฉันเชียวล่ะ”

 

 

 

 

 

ตอนที่โออิคาวะเดินเลี้ยวหัวมุมมาแล้วเจออิวะอิซึมิที่ยืนพิงกำแพงอยู่นั้น…แววตาของอีกฝ่ายก็บอกชัดเจนว่าเจ้าตัวคิดออกได้เองแล้วว่าเขายืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน

 

 

 

 

 

นั่นคงเป็นเหตุผลที่ร่างสูงโปร่งนั่นเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่อธิบายเกริ่นนำใดๆ ทั้งนั้นก่อนคำพูดเหล่านี้

 

 

 

 

 

“นายไม่เป็นเคยเป็นทางเลือกที่ผิดของฉัน…ฮาจิเมะ” น้ำเสียงนั้นแผ่วค่อยหากมั่นคง…เจือกระแสหัวเราะเล็กน้อยตอนที่เจ้าตัวครุ่นคิดก่อนเอ่ยประโยคต่อมา “อันที่จริง…ฉันคิดด้วยซ้ำว่าการเลือกนายนี่แหละที่เป็นการตัดสินใจเดียวที่ฉันมั่นใจว่าถูกต้องแน่นอน”

 

 

 

 

 

โออิคาวะพูดแค่เพียงเท่านี้ ก่อนที่จะโน้มตัวลงมา

 

 

 

 

 

จูบแรกของอิวะอิซึมิให้ความรู้สึกของปลายนิ้วที่สั่นระริกกับหยดน้ำตาที่ถูกเก็บกลั้นเอาไว้

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

“นายเลือกทางที่ผิด”

 

 

 

 

 

คำพูดนี้หมายจะทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเองโยนโอกาสที่ดีกว่าทิ้งไปอย่างน่าเสียดายแค่ไหน…แต่น่าแปลกนัก สิ่งเดียวที่โออิคาวะคิดได้จากการฟังมันกลับเป็นภาพความทรงจำอันมากมาย

 

 

 

 

 

ภาพท้องฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยกลีบซากุระของวันเปิดเทอมวันแรก

 

 

 

 

 

ภาพของโรงยิมกับห้องชมรมที่ค่อยๆ กลายมาเป็นสถานที่อันแสนคุ้นเคยในที่สุด

 

 

 

 

 

ภาพของเสื้อยืด เสื้อทีม เสื้อแจ็คเก็ต…เสื้อหลากสไตล์ที่ยังไงก็มีแค่สีขาวหรือสีเขียวอมฟ้าเท่านั้นให้เลือกใส่

 

 

 

 

 

ภาพตัวเขาและทีมนั่งจ๋อยกันอยู่ที่ร้านราเมงหลังแพ้แมทช์ฝึกซ้อมกับโรงเรียนอื่น

 

 

 

 

 

ภาพอิวะอิซึมิที่ตะโกนสั่งให้เขาเลิกหักโหมซ้อมได้แล้ว

 

 

 

 

 

ภาพมัตซึนกับมักกี้ที่หัวเราะเยาะอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเขาไม่ฟังแล้วโดนอิวะอิซึมิปาลูกบอลใส่

 

 

 

 

 

ภาพทั้งทีมที่พุ่งเข้ามารุมกอดเขาไว้ตอนที่แข่งชนะในที่สุด

 

 

 

 

 

ภาพป้ายผ้าเชียร์ผืนใหญ่ที่ยังไงก็มีแค่สีขาวกับสีเขียวอมฟ้าเท่านั้นเหมือนสีเสื้อเป๊ะๆ

 

 

 

 

 

ภาพเพื่อนทั้งสามที่พูดพร้อมเพรียงกันว่าเชื่อใจในตัวเขา…ตามมาด้วยรายการอาหารที่แต่ละคนหวังว่าจะได้รับ

 

 

 

 

 

ภาพอิวะอิซึมิที่เอามือขึ้นบังท้ายทอยตอนที่เขาเดินไปยังท้ายคอร์ทพร้อมบอลในมือ

 

 

 

 

 

ภาพเขาและทีมอาโอบะโจไซโค้งศีรษะลง บอกลาคอร์ทเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้

 

 

 

 

 

ไม่เลย โออิคาวะกระซิบในใจ มันไม่ใช่ทางเลือกที่ผิดเลยสักนิดเดียว

 

 

 

 

 

หากแค่แวบเดียวของการได้สบตากับอิวะอิซึมิก็บอกเขาอย่างชัดเจนว่าเพื่อนสนิทอาจไม่ได้คิดเหมือนตน…สีหน้าของอิวะอิซึมิมีความลังเลปะปนอยู่มากพอที่เขาจะสังเกตได้ ความอึดอัดของคำพูดที่เจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยออกมาหากการเก็บไว้ก็มีแต่จะทำให้ใจหนักหน่วงไปด้วยความเคลือบแคลง

 

 

 

 

 

และนั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้โออิคาวะไม่รอด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะพูดมันออกมาไหม

 

 

 

 

 

“นายไม่เป็นเคยเป็นทางเลือกที่ผิดของฉัน”

 

 

 

 

 

เขาพูดประโยคที่ต้องการจะบอกอีกฝ่ายที่สุดออกไป แต่เก็บคำพูดที่เหลือเอาไว้เพราะไม่สามารถเรียบเรียงมันออกไปได้

 

 

 

 

 

ฉันจะเลือกนาย…อีกครั้งและอีกครั้ง เพราะฉันไม่ต้องการใครอื่นอีกแล้ว

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

โออิคาวะไม่พูดอะไรกับเขาถึงจูบนั้นเลย

 

 

 

 

 

และโออิคาวะก็ไม่พูดอะไรกับเขาถึงผลประกาศคะแนนของมหาวิทยาลัยที่ทั้งสองไปสอบด้วยกันเลยด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

มีแค่อิวะอิซึมิคนเดียวเท่านั้นที่ผ่านการสอบคัดเลือก

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

เขาไม่ได้คุยอะไรกับอิวะอิซึมิเลยเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ…โออิคาวะเคยคิดว่าเวลาเจ็ดวันไม่ใช่อะไรที่ยาวนานเลย แต่เมื่อได้ใช้มันในความเงียบงันและรสขมซ่านของความรู้สึกโกรธเกลียดตัวเอง เขาก็พบว่าเวลาเจ็ดวันนั้นนานพอที่จะทำให้หัวใจหนักอึ้งไปพร้อมๆ กับว่างเปล่าจนไม่อาจบรรยาย

 

 

 

 

 

(และปลายนิ้วของเขาประปรายไปด้วยรอยแผลอีกแล้ว)

 

 

 

 

 

เหตุผลของการหลบหน้าไม่ใช่เพราะความอิจฉาใดๆ…แต่เป็นเพราะผลคะแนนนี้คืออีกหนึ่งสิ่งที่ตอกย้ำโออิคาวะว่าเป็นอีกครั้งที่ ‘ดีที่สุด’ ของเขาไม่ดีพอในสายตาคนอื่น และการได้เห็นหน้าอิวะอิซึมิก็ทำให้รอยกรีดในหัวใจบาดลึกมากขึ้นกว่าเดิมอีกนิด

 

 

 

 

 

นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะหนีความเจ็บปวดนี้…แต่เมื่อหันกลับไป ระยะเวลาเจ็ดวันก็ให้ความรู้สึกห่างไกลเหมือนคนละฟากฝั่งทะเลเสียแล้ว

 

 

 

 

 

จะกลับไปหาอิวะจังได้ยังไง? โออิคาวะพร่ำถามตัวเอง จะอธิบายยังไงให้อิวะจังเข้าใจ?

 

 

 

 

 

หากไม่มีคำถามใดที่น่าหวาดหวั่นเท่าคำถามนี้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

อิวะจังยังจะรอฟังอยู่หรือเปล่า?

 

 

 

 

 

(ไม่ใช่แค่นิ้วเดียวแล้วด้วยที่มีเลือดซึมออกมาจากใต้เล็บ)

 

 

 

 

 

ไม่ว่าจะกังวลสักแค่ไหน โออิคาวะก็ไม่ได้ร้องไห้…มันดูจะเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเกินไปที่จะหนีหน้าเพื่อนสนิทเองแล้วก็มาร้องไห้เพราะการกระทำของตัวเอง และเขาก็ไม่มีเวลามานั่งร้องไห้อีกด้วย…คำพูดและวิธีพูดมากมายถูกเรียบเรียงในหัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรที่ฟังดูเข้าท่าเลย

 

 

 

 

 

(เวลาล่วงเลย รอยแผลไม่หายสักทีเพราะถูกฉีกซ้ำจนเปิดใหม่)

 

 

 

 

 

วันที่สิบสี่มาถึงพร้อมเสียงทุบประตูแบบไม่เกรงใจคนในบ้านเลยสักนิด

 

 

 

 

 

โออิคาวะไม่แม้แต่จะร้องถามชื่ออีกฝ่ายก่อนเปิดประตูออกไปด้วยซ้ำ

 

 

 

 

 

“หายบ้าได้แล้วเหรอ” เด็กหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด หากลึกๆ ในดวงตา โออิคาวะก็เห็นได้ชัด…ความเจ็บปวดและเสียใจทอประกายอยู่ “ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วนะ…เพราะงั้นนายจะเลิกงี่เง่าแล้วบอกฉันตรงๆ ซะทีได้รึยังว่านายเป็นอะไร?”

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายพูดแบบนั้น แต่โออิคาวะก็รู้ดีว่าเจ้าตัวรู้ว่าอะไรคือสาเหตุของการเก็บตัวของเขา…ประโยคนี้เป็นแค่คำบอกกล่าวที่ถูกปลอมแปลงมาเท่านั้น

 

 

 

 

 

ฉันจะไม่ยอมให้พวกเราปล่อยมือจากกันไปแบบนี้

 

 

 

 

 

วินาทีนี้เองที่โออิคาวะตระหนักได้ว่าเขาโง่เง่าเพียงใด…การได้ไปแข่งระดับประเทศเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมไปแล้ว หากเขากลับยังยึดติดจนเผลอให้มันกลับมาทำให้ตนเริ่มต้นโยนสิ่งที่มีอยู่ในมือทิ้งไปเอง

 

 

 

 

 

เด็กหนุ่มจึงบอกเพื่อนสนิทไปตามตรงว่าผลสอบที่ได้เห็นนั้นทำให้เขารู้สึกอย่างไร…ซึ่งอิวะอิซึมิก็รับฟังเงียบๆ ด้วยดวงตาอันเรียบนิ่ง ก่อนจะทำลายความเงียบลงหลังจากที่เขาเล่าจบแล้ว

 

 

 

 

 

“มันก็อย่างนี้แหละ…การแข่งระดับประเทศไม่เลือกเรา มหาวิทยาลัยทุกที่ก็คงไม่เลือกเราหมด และนายก็อาจจะคิดว่าต้องพยายามมากกว่านี้อีกเพื่อให้ตัวเองดีพอ…”

 

 

 

 

 

ถ้อยคำแผ่วค่อยนั้นถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ…แต่โออิคาวะก็รู้สึกได้อยู่ดี กระแสนุ่มนวลจางๆ…ระมัดระวังราวปลายนิ้วที่โอบกอดเอาไว้

 

 

 

 

 

“แต่สำหรับฉัน…นายดีพอแล้วล่ะ” ฝ่ามือเอื้อมมา…ความอบอุ่นแตะประคองบนผิวแก้ม ดวงตาทอประกายอ่อนโยนบางเบา “นายดีพอที่สุดสำหรับฉันมานานแล้ว…โทรุ”

 

 

 

 

 

น้ำตาไหลรินออกมาในที่สุดตอนที่อ้อมแขนของอิวะอิซึมิโอบเขาเข้าไปหา

 

 

 

 

 

(ปลายนิ้วยังเจ็บจางๆ อยู่)

 

 

 

 

 

(แต่โออิคาวะรู้ว่ารอยแผลเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป)

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

แล้วถ้าฉันกลับไปแล้วเห็นว่านายยังกัดเล็บอยู่ ฉันหักแผ่นสตาร์เทร็คทั้งชุดของนายทิ้งแน่

 

 

 

 

 

อิวะอิซึมิกดส่งข้อความหลังอ่านทวนแล้ว ก่อนจะปิดเสียงโทรศัพท์เพื่อให้มือถือไม่สั่นระรัวด้วยข้อความโอดครวญ(อิวะจังงงงงงงง นายมันนิสัยแย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่ย่!!!!!)ที่รู้ว่าจะต้องตามมา เพื่อนๆ ที่นั่งล้อมอยู่หัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นรุ่นโทรศัพท์ของเขา

 

 

 

 

 

“นายยังใช้แบบฝาพับอยู่อีกเหรออิวะอิซึมิ?” ไม่แปลกที่เขายังโดนถามแบบนี้อยู่…เพราะนี่ยังเป็นแค่ช่วงสามสัปดาห์แรกในมหาวิทยาลัยเท่านั้น อย่าว่าแต่จะรู้ว่าของใช้ส่วนตัวเป็นอย่างไรเลย เพื่อนบางคนในกลุ่มยังไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันด้วยซ้ำ

 

 

 

 

 

“ขี้เกียจเปลี่ยนน่ะ” คนถูกถามตอบง่ายๆ “แถมถ้าเปลี่ยนเครื่องก็ต้องมานั่งย้ายรูปย้ายข้อมูลอีก…ยุ่งยากเป็นบ้า”

 

 

 

 

 

หนึ่งในเพื่อนที่นั่งกันอยู่เสนออย่างเอื้อเฟื้อว่าตนทำให้ได้ แต่เด็กหนุ่มผมดำก็ส่ายหน้า

 

 

 

 

 

“ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ” อธิบายเหตุผลเพิ่มเติมให้ด้วย “เพราะมันมีพวกข้อความจากเพื่อนสมัยมัธยมอยู่ด้วยน่ะ พวกนี้มันย้ายไม่ได้นี่นะ”

 

 

 

 

 

“อ๋อ…” คนฟังพยักหน้า ก่อนจะยกชื่อที่ผ่านตาที่สุดเวลาเปิดเฟซบุ๊คผ่านโพสต์ของอิวะอิซึมิขึ้นมาถาม “ใช่ที่ชื่อมักกี้กับมัตซึนรึเปล่า?”

 

 

 

 

 

“สองคนนั้นนั่นเพื่อน ม.ปลาย น่ะ” เด็กหนุ่มผมดำแก้ให้ “ที่ชอบส่งข้อความงี่เง่ามาเยอะๆ นั่นเพื่อน ม.ต้น”

 

 

 

 

 

แล้วบทสนทนาก็เลยผ่านไปเป็นเรื่องอื่น อิวะอิซึมิหาโอกาสเปิดฝาพับโทรศัพท์ขึ้นในอีกชั่วครู่ต่อมา…มีข้อความโอดครวญยาวเหยียดรออยู่ดังคาด ขัดกันนักกับชื่อผู้ส่งที่เป็นตัวคันจิแค่สามตัวอักษรเท่านั้น

 

 

 

 

 

โออิคาวะ โทรุ

 

 

 

 

 

 

**

 

 

 

 

คงเพราะไม่มีอะไรให้ทำระหว่างการรอให้รถไฟมาถึงตามเวลา…หัวสมองจึงได้คิดถึงอะไรไปเรื่อยเปื่อย

 

 

 

 

 

แล้วจู่ๆ…โออิคาวะก็พบว่าตัวเองกำลังคิดถึงรอยยิ้มของอิวะอิซึมิอยู่

 

 

 

 

 

ความประทับใจแรกพบของอิวะอิซึมิ ฮาจิเมะมักไม่ใช่รอยยิ้ม…สีหน้าปกติของเพื่อนสนิทของเขาเป็นสีหน้านิ่งๆ เฉยๆ ที่ไม่บอกอารมณ์ใดมากกว่า และก็ไม่ค่อยบ่อยด้วยที่เจ้าตัวจะยิ้มกว้างๆ หรือหัวเราะดังๆ…ทำให้คนที่ไม่ได้สนิทด้วยจึงมักจะคิดว่าอิวะอิซึมิเป็นคนที่ยิ้มยากอยู่ไม่น้อย

 

 

 

 

 

แต่เพื่อนร่วมทีมต่างก็รู้กันดีว่าภายใต้สีหน้านิ่งเฉยนั้นมีความห่วงใยกับรอยยิ้มซ่อนอยู่มากมายเพียงใด ไม่ใช่ยิ้มร่าเริงสุดๆ แบบโออิคาวะ…ไม่ใช่ยิ้มซนๆ กวนๆ แบบมัตสึคาวะกับฮานามากิ…แต่เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจ รอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกยินดีเสมอที่ได้เห็น

 

 

 

 

 

รอยยิ้มที่ทำให้ทุกความเคลือบแคลงในตัวเองของเขาเลือนหายไป

 

 

 

 

 

รอยยิ้มที่ได้เห็นหลังจากที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาดีพอที่สุดสำหรับเจ้าตัวมานานแล้ว

 

 

 

 

 

รอยยิ้มที่เขายังรับรู้ถึงมันได้อยู่แม้ว่าริมฝีปากของอิวะอิซึมิจะประทับเข้ามาหาหลังเอ่ยประโยคนั้น

 

 

 

 

 

ตัวเลขบนหน้าจอขนาดยักษ์ของสถานีบอกให้รู้ว่ารถไฟของอิวะอิซึมิมาถึงชานชาลาแล้ว

 

 

 

 

 

โออิคาวะส่งข้อความไปบอกอีกทีว่าตนยืนรออยู่ตรงไหน เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอกำมือเพราะปลายนิ้วไม่มีรอยแผลให้เจ็บแปลบอีกแล้ว…ดวงตาพยายามมองหาแม้รู้ว่ายากนักที่จะหาวงหน้าคร้ามแดดนั่นเจอในกระแสคลื่นของเหล่าผู้คน

 

 

 

 

 

หัวใจเต้นระรัวแผ่วเบาในอก แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มนุ่มนวลเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อตน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

fin.

 

*********************************

 

วันที่ 14 ยังไงมันก็คือเลข 1 กับ 4 เนอะคะ เพราะงั้นก็นับได้แหละว่าทันวันอะอุน เนอะๆๆๆๆๆ //หลบตา

 

 

นี่เป็นฟิคที่เกิดขึ้นจากไอเดียตอนตีหนึ่งค่ะ ง่วงๆอยู่นี่ลุกขึ้นมากรีดร้องแล้ววิ่งหาสมุดจดเลยค่ะฟฟฟฟฟฟ โดยส่วนตัว เราว่าเคมีของคู่นี้ลึกซึ้งและแน่นแฟ้นมากค่ะ ยิ่งกว่าแฟน ยิ่งกว่าเพื่อนสนิททั่วไป มันเหมือนครึ่งนึงของกันและกันมากๆๆๆค่ะ คอยเติมเต็ม คอยเป็นห่วง มองออกเสมอไม่ว่าจะพยายามทำตัวว่าเข้มแข็งแค่ไหน พูดแรงๆตรงๆใส่กันได้เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนฟังรู้ว่าตัวเองเป็นห่วง โอ้ยยยย มากมายก่ายกองค่ะ บทจะรั่วก็งี่เง่าว์ บทจะดราม่าก็เจ็บสุดพลัง ดีมากค่ะ ดีมากจริงๆ TxT

 

 

เราไม่ได้อ่านมังงะมา แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าแมทช์กับคาราสึโนะตอนท้ายซั่นสองจะเป็นไง โหยยย แต่ถึงรู้อยู่แล้วเราก็พังมากค่ะ ไม่มีตอนไหนของแมทช์ที่เราไม่ร้องไห้เลย ตอนแข่งเอย ตอนคุยกับอุชิวากะเอย พังพังพังรัวๆค่ะ แล้วยิ่งมาได้อ่านสเปเชี่ยลมังงะว่าหลังแข่งจบเซย์โจวไปไหนกันต่อ เรายิ่งจบชีวิตค่ะ วอลเล่ย์บอลจำเป็นต้องเศร้าขนาดนี้เหรอออออออ???????

 

 

แต่ถ้าให้โหวต เราก็ขอโหวดว่าเราชอบความ angst ของอะอุนที่สุดแล้วล่ะค่ะ— #สายเอ็ม

 

 

เป็นฟิคที่เหมือนปล่อยฟีลลิ่งบู้มมมมใส่หน้าเวิร์ด ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและขอบคุณคนรีเควสต์นะคะ…ไม่ได้ระบุขอแพร์มา หวังว่าจะชอบคู่นี้เหมือนเรานะคะ

 

 

 

ด้วยรักและขนมปังนมกับเต้าหู้ชุบแป้งทอด

 

 

 

ทิพย์เอง

9 responses to “{Beautiful Words Prompt}[Haikyuu!! Fic][IwaOi] Evaporate, Evaporate, Evaporate

  1. ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณที่เขียนฟิคคู่นี้นะคะ
    ในฐานะคนนึงที่ชอบเรือนี้เหมือนกัน รู้สึกอดอยากพอสมควรค่ะ ฮาาาา
    เจอครั้งนึงแทบจะกระโจนเข้าใส่ แถมยังเขียนดีด้วย ประทับใจมากก

    เราชอบที่เขียนว่าโออิมีรอยยิ้มการค้านะคะ เพราะมันดูเป็นแบบนั้นจริงๆ
    แล้วอิวะจังที่จัดการกับสาวๆได้เงียบๆก็ดูใช่มาก อย่างอิวะจังคงไม่ชอบอะไรที่โดดเด่นเกินเหตุสินะ
    โมเม้นท์จบแมทช์เซย์โจเจอกาเราก็สะเทือนใจค่ะ
    ยิ่งพอมาเจอในฟิคที่เขียนว่าอิวะจังเป็นคนแรกที่ร้องออกมา ฮืออออ เค้าคงเจ็บใจมากอ่ะ
    เราคิดตลอดว่าอิวะจังจะไม่ร้อง แต่คนไม่ร้องดันเป็นโออิซึ่งจุดนี้พีคมาก โออิคาวะดูเป็นคนจริงขึ้นมาทันที
    ที่บอกว่าอิวะจังไม่ใช่ทางเลือกที่ผิดและจะเลือกซํ้าอีกครั้งๆ แง้ๆๆๆ นํ้าตาจะแตกค่ะ
    ถ้ามองแบบ BL(ฮาา) โออิต้องคิดแบบนี้แน่ๆ ใครมันจะทนโดนทุบมาทั้งชีวิตได้ขนาดนี้กัน
    แต่พอบอกว่าจะเลือกอีกครั้งด้วยนี่…รู้สึกบียอนด์ค่ะ ความรู้สึกนายลึกลํ้าจริงๆ
    แล้วก็ชอบพวกดีเทลเล็กๆอย่างมือถือพับของอิวะจัง หรือเหตุผลที่ทำให้โออิยิ้มได้
    คิดว่าเสริมตัวละครได้มาก อ่านแล้วน่ารักดีค่ะ
    ภาษาเขียนอ่านลื่นด้วยนะคะ ชอบมากเลย
    ขอบคุณที่เขียนให้ได้อ่านอีกครั้งค่ะ

    ป.ล. วันนี้ยังเป็นวันอิวะโออิอิวะค่ะ ลงได้ไม่เสียหาย ฮาาา
    ป.ล.2 เราก็ชอบเรียกว่าอะอุนเหมือนกัน คู่นี้มันจะยังไงก็ได้จริงๆนะ ชอบที่บอกว่าสถานะคู่นี้เป็นมากกว่านั้นด้วย ฮือออ เก๊าเข้าใจ
    ป.ล.3 ขอโทษที่เขียนเวิ่นเว้อ และขึ้นบรรทัดอ่านยากค่ะ กะไม่ถูก orz

    Like

  2. เราคิดอยู่นานมากว่าจะเม็นชั่นหาคุณทิพย์ (ในทวิต) ยังไงดี เพราะแน่นอนว่ามันยาวพอสมควร จะตัดหลายทวีตก็สุดจะเกรงใจ กลัวจะเพลียใจกันไปซะก่อน ผลท้ายก็เลยมาขอใช้พื้นที่ตรงนี้นะคะ T v T

    ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วค่ะ พูดได้แค่ว่า… “สุดๆ” ดันอารมณ์มาดีมาก เราชอบตั้งแต่บอกว่าพี่โอยแกะแทะเล็บละค่ะ (ขอใช้ว่า “แทะ” นะคะ ดูเฮฮาปาจิงโกะลดความดราม่าหน่อย ถถถถถถถ) พอคุณทิพย์ใส่ตรงนี้มา รู้สึกตัวละครกลมขึ้นมาเลย เราชอบพี่โอยที่แกมีด้านแข็งแกร่งและอ่อนแอ ซึ่งเรื่องนี้นำเสนอสลับกันมาดีมากๆเลยค่ะ ฮืออออออ จะร้อง อ่านไปมีจุดที่เผลออุทานออกมาหลายรอบมาก ชอบมากๆค่ะ มากๆๆๆๆๆๆ T – T

    ตอนที่เล่าเนื้อหาจอยแพ้คาราสุโนะ รู้สึกเหมือนได้คุณทิพย์พูดแทน ตอนนั้นเราคิดจริงๆว่าพี่โอยแกเท่มาก มองอีกมุมก็คิดนะว่าแกกำลังรู้สึกยังไงบ้างนะ กำลังเสียใจมากแค่ไหน ให้กับเรื่องอะไรบ้าง มีความรู้สึกว่าต้องทนอะไรไว้หรือเปล่า หรือว่าไม่ได้อดทนและไม่ได้อยากร้อง แค่รู้ว่าต้องยืนหยัดไว้เท่านั้น หรือยังไง เราสงสัยเยอะมากเลยค่ะ แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนา รู้แต่เพียงว่าพี่แกเท่มาก คนจริง ตอนพี่อิวะร้องแล้วเดินไปตบหลัง อื้อหืมมมมม นี่แหละ ลูกผู้ชายจะอะไรมาก ปลอบกันเท่านี้แหละพอแล้ว คนบ้าเอ๊ยยยยย T________T

    ถึงจะปีสุดท้ายแล้ว แต่ระดับประเทศก็ยังไม่มีที่ทางสำหรับพวกเขา เจ็บเหลือเกินค่ะกับสิ่งนี้ แต่พอคิดว่าตรงนี้ไม่มีที่ทางสำหรับพวกเขา แต่ทางอื่นก็ยังมีให้เดินไปอีกนะ เป็นกำลังใจให้พวกพี่เค้าจริงๆ จากก้นบึ้งจิตใจ (ทำไมต้องอินขนาดเน้!!!)

    ชอบตอนเล่าเรื่องสั้นๆตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วมากๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ ให้ความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลง พวกเขายังเดินทางไปต่อ แม้จะไม่ได้ไปอยู่ที่เดียวกัน แต่ทั้งสองก็ยังอยู่ด้วยกันเสมอ สัมพันธ์มากกว่าเพื่อน มากกว่าแฟนของสองคนนี้ ตัดยังไงก็ตัดไม่ขาดจริงๆค่ะ จะอินอะไรเบอร์นี้ ขอโทษค่ะพิมพ์อะไรไม่รู้ซะยาว

    จนตอนนี้ยังชอบสำนวนคุณทิพย์อยู่เลยค่ะ มีวิธีเขียนวิธีใช้คำน่ามาฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยจริงๆ ดันอารมณ์ถึงมาก ลำดับเรื่องก็ดี ตัดฉากบ่อยแต่ไม่มีงงเลย ตามเก็บเนื้อหาได้ตลอด ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านนะคะ ขอบคุณจริงๆ ช่วงนี้อดอยากมาก จะผลิตเองก็ไม่มีแรง ไร้พลัง มาเจอเรื่องนี้แทบวิ่งเข้าใส่เลยค่ะ 5555555555

    จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขอบคุณจริงๆ

    Like

  3. มันเป็นอะไรที่กินใจมากค่ะ ;—;
    เราอ่านจบแล้วถึงกับสครีมดังๆ แล้วก็นั่งน้ำตาไหลพรากๆ
    ฮืออ มันสุดๆจริงๆ
    เข้าถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ความปีสามทั้งหลาย ความเสียใจของอาโอบะตอนแพ้ครสน. อ่านแล้วรู้สึกดีมาก
    ชอบวิธีการเขียนมากเลยค่ะ ; v ;

    ชอบจุดหนึ่งของเรื่องที่เขียนถึงนิสัยกัดเล็บของโออิมากค่ะ
    ค่อนข้างทำให้เป็นตัวบีบน้ำตาเราได้ดีมาก ฮาา
    และก็รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่แฝงเข้าไปในเรื่องได้ดีมาก เช่น ร้านราเมงหรือโทรศัพท์ฝาพับอะไรพวกนี้ เราชอบมากเลยค่ะ

    ร่างกายกำลังต้องการฟิคอะอุนมาก แล้วก็โผล่จากการรีทวิตขึ้นมาพอดี ถึงกับเข้ามาอ่านแล้วก็ชอบมากๆ U v U
    ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านนะคะ

    Like

  4. “อันที่จริง…ฉันคิดด้วยซ้ำว่าการเลือกนายนี่แหละที่เป็นการตัดสินใจเดียวที่ฉันมั่นใจว่าถูกต้องแน่นอน”
    “นายดีพอที่สุดสำหรับฉันมานานแล้ว”
    ฮือออออออออ ได้ฤกษ์มานั่งอ่านดีๆ จะตายมากค่ะพี่ทิพย์ ฟกกฟฟหฟฟฟ /สลบ
    ชอบความอะอุนนี้เหลือเกิน
    อิวะจังหล่อมาก แต่ก็มีมุมอ่อนไหว โออิเท่มาก แต่ก็มีมุมอ่อนแอ
    เขาขาดกันไม่ได้จริงๆนะ
    และจะเป็นอิอิหรืออิอิก็ไม่รู้ แค่เขาอยู่ด้วยกันแล้วมันอะอุน ;/////;
    ชอบมากเลยค่ะ
    ฟีลที่พี่ทิพย์สื่อมันช่างใช่และกินใจ ไคอิน พรากๆๆ

    Like

  5. เราเห็นด้วยกับประโยคแรกของเรื่องมากค่ะ

    และย่อหน้าต่อมาคือมันใช่มาก โออิคาวะที่แจกยิ้มไปทั่ว รอยยิ้มแบบนั้น ไม่ไม่เหมือนรอยยิ้มจริงๆเวลาเล่นวอลเลย์บอลเลยสักนิดเดียว เราเข้าใจความรู้สึกของอิวัจังหมั่นไส้อยากปาบอลใส่สักทีมากค่ะ

    ใช่ค่ะ เราคิดเหมือนกันว่าอิวะจังดูเป็นคนประเภทที่สาวๆน่าจะชอบ แต่น่าจะไม่ออกหน้าออกตาเหมือยอ้อยคาว- แค่ก! โออิคาวะ
    แล้วไอ้การเอาของไปคืนคนให้แบบนั้น โอ้ยย อิวะจัง ทำไมเป็นคนดีแบบนี้
    แล้วที่ปิดไม่ให้โออิคาวะรู้นี่เพราะอะไรกันน้าาาาา

    เรื่องนิสัยกัดเล็บนี่ ทำไมเราคิดว่าคนที่เครียดหลบใน(?) แบบโออิน่าจะทำ โอ้ยยยย นึกภาพมือยาวๆสวยๆของโออิที่เลือดซึมเพราะกัดเล็บจนเล็บเสียแล้วอยากให้ให้อิวะจังมาดุ มาเช็ด มาทำแผล ค่อยๆตัด ค่อยๆตะไบเล็บให้จังเลยค่ะ ฟฟฟฟฟฟ

    ไปว่าอิวะจังเป็นมนุษย์ลุงได้ยังไงงงงง เดี๋ยวเถอะะะะ แถมยังไปกวนเขาอีก เราเป็นอิวะจังเราจะจับมาดึงแก้มให้ยืดดดดด

    อิวะจัง อิวะจังเป็นเอสที่เยี่ยมที่สุดเลยนะ เชื่อเราเถอะ อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ /โยนโออิใส่ให้ไปปลอบ

    ตอนที่อ่านมังงะ/ดูอนิเมะเราเสียใจและเสียดายมากค่ะที่เซย์โจวไปไม่ถึงระดับประเทศ ไม่เคยเลยที่จะผ่านกำแพงนั้นไปได้
    ยังไงก็ตาม เราอยากให้ในอนาคตพวกเขาไปถึงค่ะ /ตบไหล่ยาฮาบะและหมาบ้าจัง

    ส่วนอุชิจิมะน่าตีมากค่ะ ตอนที่อ่าน/ดูถึงตอนที่มาคุยกะโออินี่เราอยากโดดเข้าไปท้าต่อยมากลเย ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ

    ใช่แล้วโออิคาวะ นายไม่ได้เลือกผิดหรอก ไม่ได้เลือกผิดแม้แต่นิดเดียว

    เราคิดว่าต้องมีบางมุม บางเวลา ที่อิวะจังมานั่งคิด ว่าโออิคาวะจะเสียดายที่ไม่ไปชิราโทริซาวะหรือเปล่า เพราะถ้าไป โออิคาวะอาจจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้

    “นายไม่เป็นเคยเป็นทางเลือกที่ผิดของฉัน…ฮาจิเมะ”
    “อันที่จริง…ฉันคิดด้วยซ้ำว่าการเลือกนายนี่แหละที่เป็นการตัดสินใจเดียวที่ฉันมั่นใจว่าถูกต้องแน่นอน”

    เราชอบตรงนี้มากค่ะ เพราะเหมือนโออิรู้ว่าอิวะจังคงมีความคิดแบบนั้นอยู่ ถึงต้องยืนยัน ว่ามันไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดแน่นอน

    ไอ้บ้าคาวะะะะ หายหัวไปตั้งสองอาทิตย์! ถ้าเราเป็นอิวะจังนี่เราพังห้องเข้ามาตั้งแต่สามวันแรกแล้วค่ะ ฮา

    “แต่สำหรับฉัน…นายดีพอแล้วล่ะ”
    “นายดีพอที่สุดสำหรับฉันมานานแล้ว…โทรุ”

    สองคนนี้เหมือนอ่านใจกันได้จริงๆค่ะ รู้ว่าอีกคนคิด กังวลเรื่องอะไรอยู่ และช่วยแก้ไขความกังวลนั้น ให้สบายใจขึ้น เราอิจฉาความสัมพันธ์ของสองคนนี้มากเลยค่ะ

    ฮือออออ อิวะจังน่ารักมากมากมากเลยค่ะ ไม่ยอมเปลี่ยนโทรศัพท์เพราะเสียดายข้อความ ทำไมถึงเป็นคนน่ารักแบบนี้ ฮืออออ /ปาหัวใจใส่ /ปาโออิคาวะใส่อีก

    อยากแซวโออิมากค่ะ ว่า เขินล่ะสิ จะได้เจอเขาอีกทีนี่เขินละซี่~ ทำเป็นนึกถึงความหลังจริงๆเขินใช่ม้าาา /ผิด

    เราเชื่อนะคะ ว่าต่อให้ไปเรียนกันคนละมหาลัย แยกกัน ห่างกันแค่ไหน สองคนนี้ก็ต้องหาทางกลับมาหากันจนได้ เหมือนตอนจบบนนี้ เราเชื่อแบบนั้นค่ะ

    ขอบคุณที่แต่งขึ้นมานะคะ เราแอบๆซุ่มๆอ่านฟิคของคุณทิพย์มาก็หลายเรื่องอยู่ /รอวินเทอร์แมคคานิคอยู่นะคะ– /แค่กๆ

    ถ้ามีโอกาส หวังว่าจะได้อ่านคู่นี้ฝีมือคุณทิพย์อีกนะคะ ฟิคไฮคิวคู่อื่นด้วย เราจะรอคะ /ผิดมาก

    สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ /บรรจงสาดน้ำตาหนึ่งขัน

    ปล. ไดจิสึกะเราอ่านแล้วน่ารักมากเลยค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟ /บีบตุ๊กตาปลาโลมา
    ปลล. ขอโทษที่เม้นต์ยาวมากนะคะ มือมันไหลไปเอง ฮือออออ

    Like

  6. ยังขอยืนยันอีกครั้งว่าฟิคนี้มันสวยมากๆเลยค่ะ ไม่รู้พี่ทิพย์จะรำคาญไหมที่เอาแต่พูดว่ามันสวย แต่สำหรับน้องมันสวยจริงๆค่ะ ;__;) เป็นฟิคที่สวยเหมือนกับชื่อ prompt เลย ที่สวยคือไม่ใช่แค่สำนวนที่ใช้ในเรื่อง การเล่าถึงความรู้สึกของโออิออกมาได้กินใจมากๆเลยค่ะ ฮืออ ที่รักโออิอยู่แล้วในเรื่อง อ่านที่พี่ทิพย์เสริมด้านอีกด้านที่ไม่ใช่ด้านแทรชติ๊งต๊องแล้วยิ่งรักมากกว่าเดิมเลยค่ะ

    เรื่องนิสัยกัดเล็บที่พี่ทิพย์ใส่เข้าไปชอบมากค่ะ มันทำให้เห็นถึงความเครียดและกดดันของโออิได้ชัดเจนแล้วก็ชอบที่แผลค่อยๆหายไปตอนท้ายด้วยค่ะ (ส่วนนึงอาจจะโดนจุดนี้มากๆเพราะว่าส่วนตัวจะมีนิสัยเดียวกันเวลาขึ้นเครื่องบินค่ะ เป็นโรคกลัวเครื่องบินเวลาขึ้นเลยจะเครียดแล้วพอลงเครื่องมาแบบเลือดซิบที่นิ้วตลอดเลย แล้วพอได้อ่านเลยเหมือนเข้าใจถึงความเครียดที่เกิดแล้วเอาไประบายกับนิ้วค่ะ หนูเลยคิดว่าพี่ทิพย์ถ่ายทอดนิสัยจิกนิ้วเพราะเครียดนี้ออกมาได้ดีมากๆๆเลยค่ะ)

    ชอบที่เวลาอ่านแล้วเหมือนได้มองโออิผ่านสายตาของอิวะจังด้วยค่ะ อาจจะเพราะการที่ได้มองโออิผ่านสายตาของเพื่อนสนิท/คนรู้ใจ เลยทำให้รู้สึกเข้าถึงตัวโออิมากกว่าเดิม เหมือนว่าได้รู้จักกับโออิที่อิวะจังรู้จัก ไม่ใช่โออิจากสายตาคนนอก ชอบที่บอกว่ารอยยิ้มของโออิคือตอนที่โอดครวญเวลาโดนเพื่อนๆในทีมบังคับเลี้ยงข้าว มันน่ารักแล้วอบอุ่นหัวใจมากเลยค่ะ ;___;) รายละเอียดเรื่องโทรศัพท์ของอิวะจังก็น่ารักเหมือนกันค่ะ ชอบที่บอกว่าไม่เปลี่ยนเพราะมีความทรงจำที่คุยอยู่ ฮือๆๆ น่ารักมากๆๆๆเลยค่ะ

    แมตช์เซโจสะเทือนใจมากค่ะ ถึงแม้ว่าจะรักอีกามาก แต่ก็รักเซโจมากเหมือนกัน และอยากให้เซโจชนะและไประดับประเทศ เพราะความพยายามของโออิ ความทุ่มเทของโออิและทุกๆคนเลยค่ะ ตอนที่ถึงตอนนั้นเลยคิดว่าคงจะได้เห็นน้ำตาของโออิ แต่กลับกันกลายเป็นน้ำตาของอิวะที่ร่วงแล้วเป็นโออิที่ไปตบหลังปลอบ มันทำให้คิดว่าอะอุนมันอะอุนจริงๆ เหมือนเป็นครึ่งนึงของกันและ เติมเต็มซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์มันเกินกว่าคำว่าเพื่อนหรือคู่รักจะนิยามได้แล้วหล่ะค่ะ ;___;) แล้วที่โออิบอกกับอิวะจังว่าอีกกี่ครั้งๆก็จะเลือกนาย มันตอกย้ำความอะอุ่นของคู่นี้ได้ดว่เวฟก่ดเดหฟกาเ้สฟ มากค่ะ (หาคำมาอธิยายไม่ได้ได้แหล่ว)

    ตอนจบที่ของฟิคที่เห็นอนาคตของสองคนนี้ทำให้อุ่นใจมากๆเลยค่ะ ถึงไม่ได้อยู่ทีมเดียวกันแล้วไม่ได้ทำให้อะอุนลดความอะอุนลงแต่อย่างใด ประทับใจมากเลยค่ะ ฮือออ อ่านแล้วรู้สึกฮีลจากมังงะตอนพิเศษนั้นมาก *วางขวดเป็ดโปรลง*

    ขอบคุณที่แต่งฟิคที่ดีแบบนี้ขึ้นมานะคะ มันลงตัวทุกอย่างเลยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกได้ทั้งรอยยิ้มจากดีเทลเล็กๆน่ารักๆที่พี่ทิพย์ใส่มา รวมไปถึงความปวดใจแต่ก็อบอุ่นของความสัมพันธ์ของอะอุน ขอบคุณอีกทีนะคะ

    ปล ถ้าเขียนไม่เข้าใจยังไงน้องขอโทษนะคะ

    Like

  7. อ่านแล้วขมดีจังค่ะ
    แต่เป็นความขมที่ดีนะคะ เหมือนกาแฟดำหอมๆที่จิบแรกขมร้อนคอแต่กลืนลงไปแล้วหวานติดลิ้นน่ะค่ะ

    มันจุกอกเลยล่ะค่ะ ทำให้นึกถึงตอนดูอนิเมะ ถึงจะเชียร์เจ้าพวกลูกกาแต่พอเจอสีหน้าของเซย์โจดันดีใจได้ไม่สุดซะอย่างนั้นเลยล่ะค่ะ
    พลอยอึ้กมาตั้งแต่เห็นอิวะจังน้ำตาร่วงแล้ว พอเจอสีหน้าเรียบนิ่งของโออิเข้าไปนี่วูบเลยค่ะ น้ำตาปริ่มเลย ข้างในเขาจะเจ็บปวดขนาดไหนกัน

    เพราะงั้นฉากตอนที่อิวะจังมาหา ตอนที่โออิยอมปล่อยให้น้ำตามันไหลเสียที
    ตอนนั้นพลอยดันโล่งใจที่สุดเลยค่ะ เป็นคนที่รู้ใจ แล้วก็เชื่อใจกันมากๆจริงๆสินะ

    ชอบที่ทิพย์ใส่เรื่องการกัดเล็บของโออิเข้าไปมากเลยค่ะ เราก็เคยติดกัดเล็บสมัยเด็กๆนะคะ พอความกังวลมันล้นปริ่ ความคิดประดังประเดในหัว ก็เผลอยกนิ้วขึ้นมาขบมากัดทุกที

    เป็นกัปตันใช่ว่าจะต้องฝืนเข้มแข็งตลอดเวลานะโออิคาวะซัง //กอด

    ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ ❤

    Like

  8. แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
    โฮรววววว ชอบความอะอุนมากเลยค่ะะะ
    ฮืออออ
    ชอบความอ่อนแอของโอยจัง ถึงโออิจะแกล้งทำเป็นยิ้มร่าเริงพูดอะไรบ้าบอคอแตกแค่ไหน แต่โออินั่นแหละที่คิดมากที่สุด คิดมากตลอดเวลา
    ชอบมุมนี้ของโออิมากเลยค่ะ
    ชอบเคมีของคู่นี้
    ชอบความเข้าใจความเป็นห่วงของอิวะจัง อิวะจังแบบรู้ทันตลอดดดด
    มันน่ารักอบอุ่นหวานละมุนปนขมมากเลยค่ะ
    ใจเราไม่ไหวแล้วววว

    Like

  9. อ่านแล้วรู้สึกมีความรู้สึกมากมายในหัวใจ ชอบที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่ปะติปะต่อ ฟุ้งกระจาย แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่ไปตามความรู้สึกของสองคนนี้ และที่เราชอบคู่นี้มาก มันเพราะเหมือนเป็นคู่ที่ไม่ต้องกำหนดเลยว่าใครจะเป็นฝ่ายกดใคร มันเหมือนกับว่าเขาผูกพันกันมากจนเกินกว่าที่จะต้องมาคิดถึงเรื่องอย่างว่า และเพราะเเบบนี้ เราจึงชอบมากที่ทั้งเรื่องนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ค่อยๆ ล้นเอ่อ มากกว่าที่จะไปมีเรื่องแบบนั้น และเราชอบ ชอบตั้งเเต่ที่โออิคาวะยกประโยคสุดยอดนี้มาพูด “อย่าได้กล้าลืมความหยิ่งยโสอันไร้ค่าของฉันเชียวล่ะ” ชอบที่บอกกับอิวะจังว่า “นายไม่เคยเป็นทางเลือกที่ผิดของฉัน” “ฉันจะเลือกนาย อีกครั้งและอีกครั้ง เพราะฉันไม่ต้องการใครอีกแล้ว” จนสุดท้ายก็คงจะเป็นประโยคของอิวะจังที่ว่า “แต่สำหรับฉัน นายดีพอแล้วล่ะ นายดีพอสำหรับฉันมานานแล้ว โทรุ” …มัน…รู้สึกมากมายเต็มไปหมดข้างในเลยค่ะ แล้วก็ชอบตอนจบมากๆ เลยด้วย ที่ล้อเล่นเรื่องหักแผ่นสตาร์เทร็ค แต่ที่ทำให้หัวใจของเรากระตุกมากที่สุดก็คือ สองวรรคสุดท้าย ทั้งๆ ที่ไม่มี “…” เลย แต่เรากลับยิ้มตามออกมา เหมือนได้ยินเสียงของอิวะจัง หัวใจเราเหมือนเเตกเป็นเสี่ยงๆ เลยค่ะ เเต่เป็นการเเตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทางที่ดีนะคะ ไม่เคยได้อ่านฟิคที่อิ่มเอมเท่านี้มานานเเล้ว ขอบคุณที่เขียนนะคะ ขอบคุณที่เขียนคู่นี้ ขอบคุณมากๆ เลย

    Like

Leave a reply to PumpkinPloy Cancel reply